พระเจ้าอโศกมหาราช

จักรพรรดิอโศก (พราหมี: 𑀅𑀲𑁄𑀓, Ashoka,[2] IAST: Aśoka) หรือ อโศกมหาราช เป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเมารยะ ผู้ปกครองส่วนใหญ่ของอนุทวีปอินเดีย ตั้งแต่ พ.ศ. 275 - พ.ศ. 311[3][4] ท่านเป็นหลานของจันทรคุปต์ เมารยะ ปฐมจักรพรรดิของราชวงศ์ และเป็นผู้มีบทบาทมากต่อการเผยแผ่ศาสนาพุทธไปทั่วเอเชียโบราณ[5] และได้รับการยกย่องโดยทั่วไปว่าเป็นหนึ่งในจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดพระองค์หนึ่งของประวัติศาสตร์อินเดีย จักรพรรดิอโศกขยายดินแดนของจักรวรรดิจากสมัยของพระเจ้าจันทรคุปตเมารยะไปถึงพื้นที่ที่ปัจจุบันคืออัฟกานิสถานจนถึงบังกลาเทศ เกือบทั่วทั้งอนุทวีปอินเดีย ยกเว้นเพียงบางส่วนของที่ซึ่งปัจจุบันคือรัฐทมิฬนาฑู, กรณาฏกะ และเกรละ ราชธานีในรัชสมัยคือปาฏลีบุตร (ใน มคธ, ปัจจุบันคือปัฏนา) และราชธานีชนบทที่ตักศิลา และ อุชไชนะ

พระเจ้าอโศกมหาราช
จักรพรรดิแห่งโมริยะ องค์ที่ 3
ครองราชย์ประมาณ พ.ศ. 275–พ.ศ. 311[1]
ราชาภิเษกพ.ศ. 276[1]
ก่อนหน้าพระเจ้าพินทุสาร
ถัดไปพระเจ้าทศรถ
ประสูติประมาณ พ.ศ. 239 ณ ปัฏนา
สวรรคตพ.ศ. 311 (71–72 พรรษา) ณ ปัฏนา
อัครมเหสีพระนางอสันธิมิตรา
พระสนม5 นาง
ราชวงศ์โมริยะ
พระราชบิดาพระเจ้าพินทุสาร
พระราชมารดาพระนางสุภัทรางคี

ศึกครั้งสำคัญของจักรพรรดิอโศกคือศึกต่อรัฐกลิงคะ (ปัจจุบันอยู่ในรัฐโอริสา)[6] ซึ่งท้ายที่สุดทรงยึดครองได้เมื่อ พ.ศ. 283[7] ข้อมูลจากการตีความจารึกพระเจ้าอโศก ระบุว่าพระองค์เปลี่ยนศาสนาเป็นศาสนาพุทธ[6] หลังต้องเผชิญกับการล้มตายครั้งใหญ่ในสงครามกลิงคะ ซึ่งมีรายงานเสียชีวิตอยู่ที่ราว 100,000 รายเป็นอย่างต่ำ[8] จักรพรรดิอโศกเป็นที่จดจำในฐานผู้ตั้งอโศกสตมภ์ และเผยแผ่จารึกของพระองค์[9] และจากการส่งพระสงฆ์ไปยังศรีลังกาและเอเชียกลาง[5] รวมถึงการสร้างวิหารขึ้นเพื่อบูชาและเป็นอนุสรณ์ต่อช่วงชีวิตสำคัญของพระโคตมพุทธเจ้า[10]

จักรวรรดิอโศก

อ้างอิง แก้

  1. 1.0 1.1 Upinder Singh 2008, p. 331.
  2. In his contemporary Maski Minor Rock Edict his name is written in the Brahmi script as Devanampriya Asoka.Inscriptions of Asoka. New Edition by E. Hultzsch (ภาษาสันสกฤต). 1925. pp. 174–175.
  3. Chandra, Amulya (14 May 2015). "Ashoka | biography – emperor of India". Britannica.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 August 2015. สืบค้นเมื่อ 9 August 2015.
  4. Thapar 1980, p. 51.
  5. 5.0 5.1 Strong, John S. (2002–2003). Faure, Bernard (บ.ก.). "Aśoka's Wives and the Ambiguities of Buddhist Kingship". Cahiers d'Extrême-Asie. Paris: École française d'Extrême-Orient. 13: 35–54. doi:10.3406/asie.2002.1176. eISSN 2117-6272. ISSN 0766-1177. JSTOR 44167352. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 August 2021. สืบค้นเมื่อ 8 August 2021.
  6. 6.0 6.1 Bentley 1993, p. 44.
  7. Kalinga had been conquered by the preceding Nanda Dynasty but subsequently broke free until it was reconquered by Ashoka c. 260 BCE. (Raychaudhuri, H. C.; Mukherjee, B. N. 1996. Political History of Ancient India: From the Accession of Parikshit to the Extinction of the Gupta Dynasty. Oxford University Press, pp. 204–9, pp. 270–71)
  8. Bentley 1993, p. 45.
  9. Bisschop, Peter C.; Cecil, Elizabeth A. (May 2019). Copp, Paul; Wedemeyer, Christian K. (บ.ก.). "Columns in Context: Venerable Monuments and Landscapes of Memory in Early India". History of Religions. University of Chicago Press for the University of Chicago Divinity School. 58 (4): 355–403. doi:10.1086/702256. ISSN 0018-2710. JSTOR 00182710. LCCN 64001081. OCLC 299661763.
  10. Bentley 1993, p. 46.

แหล่งข้อมูลอื่น แก้

  • สุรพศ ทวีศักดิ์. (2560). ความคิดทางการเมืองของพุทธศาสนายุคต้น: กำเนิดและพัฒนาการรัฐพุทธศาสนายุคอโศกและยุคกลาง. ใน ความ (ไม่) เป็นสมัยใหม่: ความเปลี่ยนแปลงและย้อนแย้งของไทย. บรรณาธิการโดย ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ. น. 115-39. กรุงเทพฯ: สยามปริทัศน์, 2560.
ก่อนหน้า พระเจ้าอโศกมหาราช ถัดไป
พระเจ้าพินทุสาร   กษัตริย์แห่งราชวงศ์โมริยะ
(ประมาณ 268–232 ปีก่อนคริสตกาล)
  พระเจ้าทศรถ เมารยะ