พระราชวังมัณฑะเลย์
พระราชวังมัณฑะเลย์ (พม่า: မန္တလေး နန်းတော်) เป็นพระราชวังหลวงในประเทศพม่า เป็นพระราชวังสุดท้ายแห่งระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของอาณาจักรพม่า ถูกสร้างโดยพระเจ้ามินดง ระหว่างปี พ.ศ. 2400–2402 หลังการย้ายเมืองหลวงจากอมรปุระมายังมัณฑะเลย์ แผนผังของพระราชวังมัณฑะเลย์ส่วนใหญ่เป็นแบบพระราชวังพม่าโบราณ คือตั้งอยู่ในกำแพงมีป้อมปราการและคูเมืองล้อมรอบ มีพระราชวังอยู่ตรงกลางและหันหน้าไปทางทิศตะวันออก อาคารทั้งหมดในพระราชวังมีความสูงหนึ่งชั้น จำนวนยอดแหลมเหนืออาคารบ่งชี้ถึงความสำคัญของอาคารด้านล่าง[1]
พระราชวังมัณฑะเลย์ | |
---|---|
မန္တလေး နန်းတော် | |
บริเวณพระราชวังมัณฑะเลย์ | |
ข้อมูลทั่วไป | |
ประเภท | พระราชวังหลวง |
ที่ตั้ง | มัณฑะเลย์ |
ประเทศ | พม่า |
พิกัด | 21°59′34.59″N 96°5′45.28″E / 21.9929417°N 96.0959111°E |
เริ่มสร้าง | พ.ศ. 2400 |
แล้วเสร็จ | พ.ศ. 2402 |
เจ้าของ | รัฐบาลพม่า |
พระราชวังมัณฑะเลย์เป็นที่ประทับหลักของพระเจ้ามินดงและพระเจ้าสีป่อ ซึ่งเป็นกษัตริย์สององค์สุดท้ายของพม่า พระราชวังแห่งนี้ได้ยุติการเป็นที่ประทับและที่ทำการเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2428 ระหว่างสงครามอังกฤษ–พม่าครั้งที่สาม กองทหารของอังกฤษได้เข้ายึดพระราชวังและควบคุมราชวงศ์ อังกฤษเปลี่ยนบริเวณพระราชวังเป็นป้อมดัฟเฟรินซึ่งตั้งชื่อตามผู้สำเร็จราชการอินเดียในขณะนั้น ตลอดยุคอาณานิคมของอังกฤษชาวพม่ามองว่าพระราชวังแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์หลักของอธิปไตยและอัตลักษณ์ บริเวณพระราชวังส่วนใหญ่ถูกทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองโดยการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตร มีเพียงโรงกษาปณ์และหอสังเกตการณ์เท่านั้นที่เหลือรอด พระราชวังจำลองถูกสร้างขึ้นใหม่ในช่วงพ.ศ. 2533 ด้วยวัสดุที่ทันสมัย
ปัจจุบันพระราชวังมัณฑะเลย์เป็นสัญลักษณ์หลักของมัณฑะเลย์และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ
ชื่อ
แก้ชื่อทางการของพระราชวังมัณฑะเลย์ในภาษาพม่าคือ เมียนน่านซานจอ (မြနန်းစံကျော်, [mja̰ nán sàn tɕɔ̀]; "พระราชวังมรกตลือเลื่อง") มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ชเวน่านดอจี้ (ရွှေနန်းတော်ကြီး, [ʃwè nán dɔ̀ dʑí]) อันหมายถึง "พระราชวังทองอันยิ่งใหญ่"
ประวัติศาสตร์
แก้พระราชวังมัณฑะเลย์สร้างขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการก่อตั้งเมืองหลวงมัณฑะเลย์ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2400[2] โดยพระราชวังสร้างใหม่จากพระราชวังเมืองอมรปุระที่ถูกย้ายไปยังมัณฑะเลย์[3] แผนผังเมืองแบ่งเป็นรูปตารางสี่เหลี่ยมจัตุรัส 144 บล็อก โดยพระราชวังมีขนาด 16 บล็อกอยู่ตรงกลางจากเขามัณฑะเลย์[4] พระราชวังกินบริเวณพื้นที่ 413 เฮกตาร์ (2,581 ไร่) ล้อมรอบด้วยกำแพงยาว 2 กิโลเมตร (6,666 ฟุต) ทั้งสี่ด้าน และคูเมืองกว้าง 64 เมตร (210 ฟุต) ลึก 4.5 เมตร (15 ฟุต) ตามกำแพงมีมุขป้อมที่มียอดแหลมทองคำตามช่วงระยะทาง 169 เมตร (555 ฟุต)[5] กำแพงแต่ละด้านมีประตูสามบานรวมทั้งหมดสิบสองประตู แต่ละบานมีสัญลักษณ์จักรราศี[2] ป้อมปราการมีสะพานห้าแห่งทอดข้ามคูเมือง[4]
ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2400 เริ่มการก่อสร้างพระราชวัง หลังจากสงครามอังกฤษ–พม่าครั้งที่สอง ในปี พ.ศ. 2395 อาณาจักรพม่าที่เผชิญศึกมีทรัพยากรไม่มากนักในการสร้างวังอันโอ่อ่าแห่งใหม่ อดีตพระราชวังอมรปุระถูกรื้อถอนและย้ายโดยช้างไปยังตำแหน่งใหม่ที่เชิงเขามัณฑะเลย์ การก่อสร้างบริเวณพระราชวังเสร็จสมบูรณ์อย่างเป็นทางการในวันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2402[2]
ระหว่างช่วงสงครามอังกฤษ–พม่าครั้งที่สาม อังกฤษได้เข้ายึดและรื้อค้นพระราชวัง และเผาหอสมุดหลวงที่ซึ่งเคยเป็นสถานที่สำคัญที่ใช้เก็บต้นฉบับคัมภีร์ใบลานชั้นสูงภาษาบาลีและพม่าดั้งเดิมจำนวนมาก อีกทั้งเครื่องราชกกุธภัณฑ์ของพม่าถูกปล้นสะดมและไปปรากฏจัดแสดงเป็นหนึ่งในโบราณวัตถุของพิพิธภัณฑ์เซาท์เคนซิงตัน (ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์วิกตอเรียแอนด์อัลเบิร์ตลอนดอน) ในปี พ.ศ. 2507 เครื่องราชกกุธภัณฑ์ถูกส่งคืนกลับมาพม่าเพื่อแสดงไมตรีจิตร[6][7] อังกฤษเปลี่ยนชื่อบริเวณพระราชวังเป็นป้อมปราการดัฟเฟอรินและใช้เป็นค่ายกองทหาร ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองพระราชวังได้กลายเป็นคลังพัสดุของจักรวรรดิญี่ปุ่น และถูกเผาราบจากการวางระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตร มีเพียงโรงกษาปณ์และหอนาฬิกาเท่านั้นที่เหลือรอดจากการทำลาย
พ.ศ. 2532–ปัจจุบัน: การฟื้นฟูและการอนุรักษ์
แก้การบูรณะพระราชวังเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2532 โดยกรมโบราณคดี[8] แต่ด้วยเงินทุนของรัฐบาลไม่เพียงพอ จึงมีการก่อตั้งคณะกรรมการฟื้นฟูพระราชวังมัณฑะเลย์ด้วยเงินทุนที่มาจากสภาสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐซึ่งเป็นผู้สนับสนุนโครงการนี้[8] รัฐบาลระดับภูมิภาคของมัณฑะเลย์, มะกเว และซะไกง์ มีหน้าที่รับผิดชอบในการวางแผนสถาปัตยกรรมและสร้างส่วนต่าง ๆ ของพระราชวังขึ้นมาใหม่ โดยแบ่งออกเป็น:[8]
- แผนกมัณฑะเลย์: ตำหนักท้องพระโรงใหญ่, สีหาสนบัลลังก์
- แผนกมะกเว: หอสังเกตการณ์, ปทุมาสนบัลลังก์
- แผนกซะไกง์: หงสาสนบัลลังก์
ในขณะที่การออกแบบโดยรวมพยายามยึดถือตามแผน กระบวนการก่อสร้างได้รวมเทคนิคการก่อสร้างทั้งแบบดั้งเดิมและสมัยใหม่ มีการใช้แผ่นโลหะลูกฟูกสำหรับมุงหลังคาของอาคารส่วนใหญ่ ยังมีการใช้คอนกรีตเป็นส่วนมากของสถาปัตยกรรม (พระราชวังเดิมถูกสร้างขึ้นโดยใช้เพียงไม้สักเท่านั้น)[8]
โดยหนึ่งในอาคารที่ถูกรื้อถอนในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าสีป่อ และสร้างขึ้นใหม่เป็นวัดชเวน่านดอ เป็นโครงสร้างหลักเพียงแห่งเดียวของพระราชวังไม้แบบดั้งเดิมที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน
ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2564 หลังรัฐประหารในประเทศพม่า พ.ศ. 2564 สภาบริหารแห่งรัฐได้เริ่มก่อสร้างสวนสาธารณะที่อยู่ติดกับกำแพงพระราชวังมัณฑะเลย์ ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายว่าด้วยการอนุรักษ์และคุ้มครองอาคารโบราณ พ.ศ. 2558 ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์จากนักอนุรักษ์ท้องถิ่น[9]
ปราการ
แก้กำแพง
แก้กำแพงเมืองยาว 2 กิโลเมตรทั้งสี่ด้าน เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่สมบูรณ์แบบ พร้อมด้วยมุขป้อม 48 มุข ที่มียอดแหลมสีทองหรือ ปยะตะ ทุกช่วงระยะ 169 เมตร (555 ฟุต) และล้อมรอบด้วยคูเมืองกว้าง 64 เมตร (210 ฟุต) ลึก 4.5 เมตร (15 ฟุต) ผนังสร้างด้วยอิฐพม่าทั่วไปปูด้วยปูนโคลน หนา 3 เมตร (10 ฟุต) ที่ฐาน และ 1.47 เมตร (4 ฟุต 10 นิ้ว) ที่ด้านบน สูง 6.86 เมตร (22.5 ฟุต) ไม่รวมใบสอ และ 8.23 เมตร (27 ฟุต) เมื่อรวมใบสอ ช่องกำแพงกว้าง 0.84 เมตร (2 ฟุต 9 นิ้ว) เพื่อให้สามารถขึ้นเชิงเทินได้ในกรณีที่มีภัยและในเวลาเดียวกันเพื่อเสริมความแข็งแรงแก่กำแพง เนินดินที่มีความลาดเอียงปานกลางจึงถูกสร้างขึ้นด้านหลังกำแพง ยอดเนินกว้าง 1.83 เมตร (2 ฟุต) ปูด้วยอิฐและทอดยาวขนานไปกับด้านหลังช่องกำแพง[2]
ประตู
แก้ในแต่ละด้านของกำแพงมีประตูสามประตูอยู่ในระยะห่างเท่ากัน (508 เมตร; 1666.5 ฟุต) รวมทั้งหมดสิบสองประตู แต่ละประตูกว้าง 4.8 เมตร (15.75 ฟุต) และมีสัญลักษณ์จักรราศี ทั้งสองข้างขนาบด้วยป้อมซึ่งพื้นที่ครึ่งหนึ่งรองรับเสาซุ้มประตูหรือปยะตะที่อยู่เหนือประตู ปยะตะที่อยู่เหนือประตูกลางที่ราชวงศ์ใช้นั้นมีเจ็ดชั้น ส่วนที่เหลือมีเพียงห้าชั้น จากประตูทั้งสิบสองประตู ประตูหลักคือประตูกลางจากกำแพงทิศตะวันออก ซึ่งหันไปทางตำหนักท้องพระโรงใหญ่และสีหาสนบัลลังก์ในพระราชวัง
ป้อมประตูยื่นออกมาจากตัวกำแพง 7 เมตร (23 ฟุต) แต่ละข้างกว้าง 10.36 เมตร (34 ฟุต) ด้านนอกตกแต่งด้วยงานปั้นและงานแกะสลักปูนปลาสเตอร์แบบเรียบง่าย แต่พื้นผิวด้านในซึ่งเป็นส่วนติดตัวประตูนั้นจะเรียบโดยไม่มีฐานหรืองานปั้นจากระดับพื้นดิน มีบันไดสองข้างในแต่ละข้างของป้อมประตู ซึ่งทอดสู่ด้านบนของป้อมและกำแพง ประตูทางเข้าแต่ละประตูมีไม้หนาสองบาน ซึ่งถูกรื้อออกหลังจากการผนวกดินแดนของอังกฤษ[2]
ป้อม
แก้ทางเข้าประตูแต่ละประตูได้รับการป้องกันด้วยป้อมม่านหรือป้อมโล่ ที่สร้างขึ้นห่างจากคูเมืองด้านหน้าทางเข้าเพียงไม่กี่เมตร มีความยาว 17.5 เมตร (57 ฟุต 5 นิ้ว) หนา 5.2 เมตร (17 ฟุต) สูง 1.5 เมตร (1 ฟุต 8 นิ้ว) ยกสูงจากฐานด้านล่างเพื่อการโจมตีจากด้านบน บนนั้นมีเชิงเทินที่มีใบสอสามด้านเท่านั้น โดยด้านที่หันไปทางประตูเปิดโล่งไว้ การขึ้นด้านบนทำได้โดยใช้บันไดเท่านั้น โดยใช้เป็นงานป้องกันขั้นสูงซึ่งปกป้องทั้งประตูและสะพานที่อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร ข้าง ๆ ป้อมนี้มีเสาไม้สักขนาดใหญ่อยู่บนฐานอิฐที่ยื่นออกมาทั้งสองด้าน และมีกระดานไม้สลักชื่อประตูไว้ใกล้ด้านบนพร้อมทั้งปีและวันที่ประตูนั้นถูกสร้างขึ้น
กำแพงทั้งสี่ด้านมีมุขป้อม 13 มุข รวมทั้งหมด 48 มุข มุขป้อมเหล่านี้ทั้งหมดมีซุ้มประตูห้าชั้นคลุมอยู่ด้านบน ซุ้มหลังคาหลายจั่วเหล่านี้ถูกปิดทับด้วยงานแกะสลัก[2]
คูเมือง
แก้คูเมืองกว้าง 64 เมตร (210 ฟุต) ลึกเฉลี่ย 4.5 เมตร (15 ฟุต) ห่างจากกำแพงที่ล้อมรอบประมาณ 18 เมตร (60 ฟุต) ในกรณีของศัตรูที่ติดอาวุธโบราณ คูเมืองนี้คงเป็นอุปสรรคที่น่าเกรงขามสำหรับกองทัพที่ปิดล้อม ซึ่งจะถูกทหารที่ป้องกันยิงอาวุธใส่จากช่องกำแพงและป้อม
เดิมคูเมืองถูกทอดข้ามด้วยสะพานไม้ห้าแห่ง โดยสี่สะพานทอดสู่ประตูหลักหรือประตูกลางทั้งสี่ด้านของกำแพง ประตูที่ห้าทอดสู่ประตูทิศตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งใช้ในสมัยกษัตริย์เพื่องานอวมงคลหรือในโอกาสอันไม่เป็นมงคล เช่น การขนศพ อังกฤษได้สร้างสะพานเพิ่มเติมอีกสองแห่ง แห่งหนึ่งทางทิศตะวันตกเฉียงใต้และอีกสะพานหนึ่งที่มุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เพื่อรองรับวัสดุและเสบียงสำหรับกองทหารเข้าไปในป้อม
สะพานดั้งเดิมทั้งห้าแห่งมีการออกแบบที่คล้ายคลึงกัน และสอดคล้องกับการป้องกันของป้อมและคูเมือง เขื่อนดินสองแห่งที่ถูกหุ้มด้วยกำแพงอิฐก่อให้เกิดหัวสะพานที่ยื่นลงสู่คูเมืองจากทั้งสองฝั่ง ช่องว่างระหว่างนี้ทอดข้ามด้วยสะพานไม้สักที่มีเสาห้าต้น โดยส่วนหัวเสาของทั้งสองด้านจะเชื่อมเข้ากันด้วยเดือยไม้ ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อให้สามารถรื้อถอนโครงสร้างทั้งหมดได้อย่างรวดเร็วในกรณีที่มีภัย[2]
บริเวณรอบพระราชวัง
แก้หอนาฬิกา
แก้เมื่อเข้าสู่บริเวณพระราชวังจากทิศตะวันออก ด้านขวาหรือทิศเหนือจะมีหอนาฬิกา (ပဟိုရ်စင်) เป็นอาคารเรียบง่ายประกอบด้วยฐานสี่เหลี่ยมสูง ด้านบนของเสาทั้งสี่รองรับอาคารไม้ที่มีหลังคาสองชั้น ปลายสุดประดับฉัตรเล็ก ๆ จากหอนี้เองที่ทำให้ชาวเมืองรู้ถึงเวลาที่ผ่านไป โดยการตีฆ้องและกลองขนาดใหญ่เป็นประจำในแต่ละยาม นั่นคือทุก ๆ สามชั่วโมง กลางวันและกลางคืนถูกแบ่งออกเป็นช่วงละสี่ยาม เวลาถูกสร้างจากนาฬิกาน้ำ ประกอบด้วยตุ่มใส่น้ำขนาดใหญ่ มีชามทองเหลืองเจาะรูเล็ก ๆ ที่ก้น ลอยบนผิวน้ำ เมื่อชามมีน้ำเต็มตกลงสู่ก้นตุ่ม ช่วงเวลานั้นก็คือหนึ่งชั่วโมง[2]
หอพระธาตุ
แก้ทางด้านใต้ของหอนาฬิกา ฝั่งตรงข้ามใกล้ถนนคือ หอพระธาตุ (စွယ်တော်စင်) หรือ หอพระทันตธาตุ เป็นตัวอย่างที่ดีของสถาปัตยกรรมพม่าแบบดั้งเดิม หอพระธาตุประกอบด้วยสามชั้น ชั้นแรกเป็นชั้นระดับพื้นดิน ชั้นที่สองเป็นฐานสี่เหลี่ยมมีระเบียงที่ยกสูงจากชั้นแรก และชั้นที่สามเป็นห้องพระธาตุที่มีหลังคาสามชั้น (ปยะตะ) ด้านบน ยอดแหลมบนสุดประดับฉัตร ตลอดสี่ด้านของชั้นแรกและชั้นสองมีรั้วเชิงเทินรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนประดับ แต่ละมุมทั้งสี่มีเสาสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก แต่ละเสาประดับด้วยมนุสสีหะหินอ่อนที่ด้านบน
ห้องพระธาตุด้านบนเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ทางเข้าเพียงทางเดียวอยู่ทางทิศตะวันตกซึ่งหันหน้าไปทางบันได โดยเข้าถึงชานด้านบนด้วยบันไดแคบ ๆ ที่อยู่ระหว่างผนังบันไดก่ออิฐทั้งสองด้าน มีการประดับสันบันไดทั้งสามชั้น ปลายสุดของสันบันไดในแต่ละชั้นสิ้นสุดลงด้วยลายก้นหอยอันอ่อนช้อยขนาดใหญ่ บันไดประดับประเภทนี้ซึ่งมีรายละเอียดแตกต่างกันเล็กน้อยอาจพบเห็นได้ทั่วประเทศพม่า ไม่ว่าจะเป็นอิฐหรือไม้ก็ตาม ผนังและหลังคาของหอพระธาตุประดับด้วยงานแกะสลักปูนปลาสเตอร์อันวิจิตร
แม้ว่าอาคารหลังนี้จะเรียกว่าหอพระธาตุ แต่ก็ไม่เคยมีพระธาตุประดิษฐานอยู่ในนั้นเลย โดยสร้างขึ้นเพราะเป็นจารีตประเพณีที่จะมีหอเช่นนี้ในราชสำนัก ซึ่งเป็นประเพณีที่มีมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าบุเรงนอง
ลุตตอ
แก้ลุตตอ (လွှတ်တော်, [l̥ʊʔ tɔ̀]) หรือสภาสูงสุด ที่ซึ่งประชุมออกว่าราชการของกษัตริย์ เป็นที่ประดิษฐานสีหาสนบัลลังก์ เป็นบัลลังก์ประธานทั้งแปดในพระราชวัง ประกอบด้วยโครงสร้างไม้สามหลังคาสองหลัง ประดับประดาอย่างวิจิตรด้วยรูปปั้นและดอกไม้ รองรับด้วยเสาไม้สักขนาดใหญ่ที่ทาสีแดงด้านล่างและปิดทองที่ด้านบน[2]
สุสานหลวง
แก้ทางทิศเหนือจากหอนาฬิกาเป็นกลุ่มสุสานที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงสมาชิกราชวงศ์บางองค์ สุสานที่สำคัญที่สุดคือสุสานของพระเจ้ามินดง ซึ่งสวรรคตในปี พ.ศ. 2421 เดิมทีเป็นปยะตะก่ออิฐถือปูนและทาสีขาว สร้างขึ้นโดยพระเจ้าสีป่อเพื่อรำลึกถึงพระราชบิดา ตกแต่งด้วยกระเบื้องโมเสกแก้ว เป็นโครงสร้างสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่มีหลังคาเจ็ดชั้น ยอดบนสุดประดับฉัตร นอกจากนี้ยังมีสุสานพระมเหสีของพระเจ้ามินดง เช่น พระนางจักราเทวี พระอัครมเหสีในพระเจ้ามินดง, พระนางลองซี พระมารดาของพระเจ้าสีป่อ, พระนางอเลนันดอ พระมารดาของพระนางศุภยาลัต เป็นต้น[2]
โรงกษาปณ์หลวง
แก้โรงกษาปณ์ตั้งอยู่ห่างไม่กี่ร้อยเมตรไปทางตะวันออกเฉียงเหนือของสุสานหลวง เป็นที่ซึ่งเหรียญพม่ารุ่นแรกถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2408 หลังจากการผนวกกับอังกฤษโรงกษาปณ์ก็ถูกใช้เป็นโรงงานเบเกอรี่สำหรับกองทหารเป็นเวลาหลายปี ที่นี่เป็นหนึ่งในอาคารไม่กี่หลังในพระราชวังที่รอดจากการทิ้งระเบิดของฝ่ายพันธมิตรช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
หอสังเกตการณ์
แก้บริเวณพระราชวังมีหอสังเกตการณ์ น่าน-มหยิ่นซอง (နန်းမြင့်ဆောင်) สูง 24 เมตร (78 ฟุต) บนยอดหอคอยมีปยะตะเจ็ดชั้น หอคอยนี้เป็นจุดที่สามารถชมวิวเมืองได้[1] กษัตริย์และพระมเหสีบางครั้งจะเสด็จขึ้นหอคอยเพื่อชมทัศนียภาพของพื้นที่โดยรอบ พร้อมด้วยแม่น้ำ ลำธาร และทะเลสาบ นอกจากนี้พระองค์ยังชมทัศนียภาพการประดับไฟในเมืองช่วงเทศกาลจุดประทีปปลายวันเข้าพรรษา กล่าวกันว่าจากที่นี่พระนางศุภยาลัตทรงเห็นการเข้ามาของกองทัพอังกฤษ ซึ่งเข้ามายึดมัณฑะเลย์ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2428 หอสังเกตการณ์รอดพ้นจากการทิ้งระเบิดของฝ่ายพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
บริเวณพระราชวัง
แก้ถนนจากประตูตะวันออกซึ่งตัดผ่านระหว่างหอนาฬิกาและหอพระธาตุ นำไปสู่ตำหนักท้องพระโรงและยอดแหลมสีทองเหนือห้องบัลลังก์สิงห์ ซึ่งถือเป็นจุดศูนย์กลางของเมือง อาคารพระราชวังทั้งหมดตั้งอยู่บนพื้นยกสูง ประกอบด้วยสามส่วนที่แตกต่างกัน ด้านทิศตะวันออกตำหนักท้องพระโรงใหญ่และห้องบัลลังก์สิงห์ถูกสร้างขึ้นบนชั้นใต้ดินจากกำแพงอิฐ ส่วนทิศตะวันตกจากปลายสุดตะวันตกไปจนถึงหอแก้ว ชั้นใต้ดินก็ล้อมรอบด้วยกำแพงก่ออิฐเช่นเดียวกัน ชั้นใต้ดินทั้งสองนี้เชื่อมต่อกันตั้งแต่หอแก้วจนถึงห้องบัลลังก์สิงห์โดยมีพื้นไม้กระดานระดับเดียวกันที่รองรับด้วยเสาไม้สักจำนวนมาก พื้นยกสูงทั้งหมดนี้วัดความยาวสูงสุดได้ 306 เมตร (1,004 ฟุต) กว้างสูงสุด 175 เมตร (574 ฟุต) ความสูงของชั้นใต้ดินคือ 2 เมตร (6 ฟุต 9 นิ้ว) กำแพงคันดินสูง 3 เมตร (10 ฟุต 9 นิ้ว) จากพื้นที่โดยรอบ และก่อเป็นผนังเชิงเทินสูง 1.2 เมตร (4 ฟุต) การขึ้นด้านบนจากระดับพื้นดินทำได้โดยบันไดสามสิบเอ็ดขั้นโดยหลักอยู่ที่ปลายสุดด้านตะวันออกและตะวันตก[2]
ท้องพระโรงใหญ่
แก้ห้องโถงนี้ประกอบด้วยสามส่วน ได้แก่ ห้องโถงด้านเหนือ (หรือซ้าย) และห้องโถงด้านใต้ (หรือขวา) ทั้งสองส่วนนี้ถูกเรียกเช่นนี้เพราะเมื่อพระมหากษัตริย์ประทับบนบัลลังก์โดยหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ส่วนแรกจะอยู่ทางซ้ายและส่วนที่สองจะอยู่ทางขวาของพระองค์ อาคารปีกทั้งสองนี้เชื่อมกันด้วยห้องโถงกลางที่ทอดยาวไปสู่รอบบัลลังก์ ท้องพระโรงใหญ่มีความยาวรวมจากเหนือไปใต้ 77.1 เมตร (253 ฟุต)
ในแต่ละด้านล่างชานบันไดพระราชวัง ทิศตะวันออกอาจเห็นปืนใหญ่ลวดลายยุโรปเก่า ๆ สองสามกระบอก และมีลูกกระสุนปืนใหญ่อยู่ใกล้ ๆ มีปืนรูปแบบเดียวกันอีกสองสามกระบอกวางอยู่ที่ด้านข้างของบันไดทางด้านหน้าทิศตะวันตกของพระราชวัง[2]
ท้องพระโรงประดับด้วยงานแกะสลักปิดทองส่วนที่เป็นไม้ทั้งหมดของหลังคา ยกเว้นแผ่นระหว่างหลังคาทั้งสอง ที่ปิดทองเพียงแค่หน้าจั่ว แผงหน้าจั่วและแผงเชิงชายเท่านั้น งานแกะสลักมีลักษณะนูนต่ำประกอบด้วยบัวและแถบใบไม้เป็นหลักที่เชิงชาย แผงหน้าจั่วประดับด้วยลายขดม้วน การตกแต่งหรูหราฟุ่มเฟือยอยู่ที่มุมหลังคาและยอดหน้าจั่ว ตลอดจนส่วนปลายด้านล่างหลังคา ลวดลายหลักที่ประดับคือ ลายใบไม้ ลายแถบบัว และลายเกลียวไขว้
รูปนกยูงซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์ มักถูกประดับตามส่วนใต้แผงชายคา นกยูงแบบเดียวกันนี้พบเห็นอยู่ทั่วไปตามยอดหน้าจั่ว
งานแกะสลักทั้งหมดนอกจากจะปิดทองแล้ว ยังตกแต่งด้วยงานโมเสกแก้วแบบเรียบง่าย รายละเอียดข้างต้นใช้กับอาคารอื่น ๆ ทั้งหมดเป็นส่วนใหญ่
ห้องบัลลังก์สิงห์
แก้ในพระราชวังมีบัลลังก์อยู่แปดบัลลังก์ โดย บัลลังก์สิงห์ หรือ สีหาสนบัลลังก์ (သီဟာသနပလ္လင်, ตีฮาตะนะปะลีน) เป็นบัลลังก์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และด้วยเหตุนี้จึงมีการแกะสลักและตกแต่งอย่างประณีตมากกว่าบัลลังก์อื่น ๆ กษัตริย์เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ์นั่งบนนั้น และสำหรับใครก็ตามที่ทำเช่นนั้นจะถือเป็นการกบฏ ฐานบัลลังก์เป็นรูปทรงดอกบัวสองดอก คือบัวหงายและบัวคว่ำ ตรงกลางที่แคบที่สุดคือจุดที่ดอกบัวทั้งสองมาบรรจบกันเป็นวงเล็ก ๆ ที่มีช่องเป็นแถว โดยมีอันที่ใหญ่กว่าเล็กน้อยอยู่ด้านบน ในช่องเหล่านี้มีสิงโตตัวเล็ก ๆ อยู่ นอกเหนือจากสิงโตตัวใหญ่สองตัวที่ปัจจุบันเห็นได้ในแต่ละข้างของบัลลังก์ บัลลังก์เข้าถึงได้โดยการขึ้นบันไดในห้องด้านหลัง ซึ่งปิดด้วยประตูบานเลื่อนที่ทำด้วยเหล็กชุบทองถักเป็นตาข่าย
บัลลังก์อื่น ๆ ได้แก่ หงสาสนบัลลังก์, คชาสนบัลลังก์, สังขาสนบัลลังก์, มิคาสนบัลลังก์, มยุราสนบัลลังก์, ปทุมาสนบัลลังก์, ภมราสนบัลลังก์
บัลลังก์สิงห์ดั้งเดิมได้รับการช่วยเหลือไม่ถูกทำลายจากการทิ้งระเบิดช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เนื่องจากทางอังกฤษได้ขนส่งไปยังอินเดียในปี พ.ศ. 2428 หลังสงครามอังกฤษ-พม่าครั้งที่สาม และได้กลับคืนมาอีกครั้งในเวลาต่อมา ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพม่า (ย่างกุ้ง)
หอแก้ว
แก้หอแก้ว มานน่านดอจี้ (မှန်နန်းတော်ကြီး) เป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดและถือว่าเป็นหนึ่งในห้องที่สวยที่สุดของพระราชวัง เชื่อกันว่าเป็นห้องประทับหลักของพระเจ้ามินดงในพระราชวัง เช่นเดียวกับห้องบัลลังก์อื่น ๆ มักถูกแบ่งด้วยฉากกั้นไม้ออกเป็นสองห้อง
ในห้องตะวันออกเป็นที่ประดิษฐาน ภมราสนบัลลังก์ (บัลลังก์ผึ้ง) ซึ่งเรียกเช่นนี้เพราะประดับด้วยรูปผึ้งในช่องเล็ก ๆ ด้านล่างที่ฐาน ที่นี่เป็นสถานที่จัดพิธีสถาปนาพระอัครมเหสีและพิธีสมรสของราชวงศ์ นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ที่กษัตริย์และพระมเหสีเฉลิมฉลองปีใหม่ของพม่า และเป็นที่เจาะพระกรรณอย่างเป็นทางการของเจ้าหญิงน้อย ห้องนี้ใช้จัดแสดงพระวรกายของพระเจ้ามินดงหลังจากที่พระองค์สวรรคตในปี พ.ศ. 2421
ห้องตะวันตกซึ่งเดิมถูกแบ่งออกเป็นห้องเล็ก ๆ หลายห้องเป็นห้องนั่งเล่นหลักของพระมินดง และไม่อนุญาตให้บุคคลอื่นเข้านอนที่นั่น ยกเว้นพระมเหสีหลักทั้งสี่พระองค์ ซึ่งแต่ละพระองค์จะได้ห้องใกล้ห้องบรรทมของกษัตริย์ ซึ่งประกอบด้วยห้องเล็กที่มีปยะตะเจ็ดชั้น คล้ายกับปยะตะเหนือห้องบัลลังก์สิงห์ ยอดปยะตะนี้เป็นทองแดงชุบทอง ทั้งสองข้างของห้องที่มีปยะตะนี้จะมีฉัตรสีขาวสองคันเปิดอยู่เสมอ เหล่าข้าราชบริพารของหอแก้วจะคอยประจำการอยู่รอบ ๆ ห้องตะวันตกเพื่อคอยรับใช้ฝ่าบาท ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหญิงหรือมเหสีรอง ไม่อนุญาตให้เข้าไปในห้องนี้โดยสวมรองเท้าแตะหรือฉัตรทองคำ พวกเธอจะต้องทิ้งร่มเหล่านี้ไว้ที่ทางเข้ากับข้าราชบริพาร
ในสมัยพระเจ้าสีป่อ พระนางศุภยาลัตมีห้องเล็ก ๆ เป็นส่วนตัวด้านทิศตะวันตกของหอแก้ว
อ้างอิง
แก้- ↑ 1.0 1.1 John Falconer; Luca Invernizzi; Daniel Kahrs; Elizabeth Moore; Luca Invernizzi Tettoni; Alfred Birnbaum; Joe Cummings (2000). Burmese design & architecture. Tuttle Publishing. p. 70. ISBN 9789625938820.
- ↑ 2.00 2.01 2.02 2.03 2.04 2.05 2.06 2.07 2.08 2.09 2.10 2.11 "Mandalay Palace" (PDF). Directorate of Archaeological Survey, Burma. 1963. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 28 January 2018. สืบค้นเมื่อ 2006-08-22.
- ↑ List of Ancient Monuments in Burma (I. Mandalay Division). Vol. 1. Rangoon: Office of the Superintendent, Government Printing, Burma. 1910. p. 2.
- ↑ 4.0 4.1 Kyaw Thein (1996). The Management of Secondary Cities in Southeast Asia. Case Study: Mandalay. United Nations Centre for Human Settlements. UN-Habitat. ISBN 9789211313130.
- ↑ Vincent Clarence Scott O'Connor (1907). Mandalay and Other Cities of the Past in Burma. Hutchinson & Co. pp. 6–9.
- ↑ Lowry, John,1974, Burmese Art, London
- ↑ Bird, George W. (1897). Wanderings in Burma. London: F. J. Bright & Son. p. 254.
- ↑ 8.0 8.1 8.2 8.3 Moore, Elizabeth (1993). "The Reconstruction of mandalay Palace". Bulletin of the School of Oriental and African Studies. University of London. 56 (2). doi:10.1017/s0041977x0000553x.
- ↑ "Myanmar Junta Criticized Over Mandalay Palace Park Plan". The Irrawaddy (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2021-10-13. สืบค้นเมื่อ 2021-10-14.
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- Wanderings in Burma by George W Bird, 1897 – F J Bright & Son, London
- Recent photos of Mandalay Palace