พระนางยอดคำทิพย์
พระนางยอดคำทิพย์, นางยอดคำ[3], นางยอดคำราชกัญญา[4] หรือ พระนางหอสูง[5] มีพระนามเต็มว่า สมเด็จบรมบพิตรเป็นเจ้าเหนือหัวพระราชมารดาอัครมหาเทวี[6] (อักขรวิธีเก่า: สัมเดัจบรมบํพิตฺรเปนเจาเหนิอหัวพฺรราชมาดาอะคํมหาเทวี)[7] เป็นพระราชธิดาในพระเมืองเกษเกล้า กับพระนางจิรประภาเทวีแห่งอาณาจักรล้านนา ต่อมาได้อภิเษกสมรสเป็นพระอัครมเหสีในพระยาโพธิสาลราชแห่งอาณาจักรล้านช้าง มีพระราชโอรสพระองค์หนึ่งคือสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช[6] ตามทัศนะของมหาสิลา วีระวงส์ แต่ทั้งในพงสาวดารโยนกเชียงแสนและพงสาวดารเมืองหลวงพระบางซึ่งเป็นหลักฐานชั้นต้นที่เก่าแก่ต่างมีระบุตรงกันว่า พระนางยอดคำทิพย์มีพระราชโอรสร่วมกับพระยาโพธิศาราชทั้งหมด 3 พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช, เจ้าท่าเรือ และ เจ้าวรวงษา หรือ เจ้ามหาอุปราชวรวังโส ตามลำดับ[8][9]
ยอดคำทิพย์ | |
---|---|
มหาเทวีแห่งล้านช้าง | |
พระราชสวามี | พระยาโพธิสาลราช |
พระราชบุตร | สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช เจ้ากิจธนวราธิราช พระเจ้าศรีวรวงษาธิราช นางเเก้วกุมารี นางคำเหลา นางคำไบ[1][2] |
ราชวงศ์ | มังราย (ประสูติ) ล้านช้าง (อภิเษกสมรส) |
พระราชชนก | พระเมืองเกษเกล้า |
พระราชชนนี | พระนางจิรประภาเทวี |
พระราชประวัติ
แก้พระชนม์ชีพช่วงต้น
แก้พระนางยอดคำทิพย์ หรือนางยอดคำ ประสูติในราชวงศ์มังรายแห่งอาณาจักรล้านนา เป็นพระราชธิดาในพระเมืองเกษเกล้า ประสูติแต่พระนางจิรประภาเทวีพระอัครมเหสี เมื่อจำเริญพระชันษาขึ้นจึงได้อภิเษกสมรสเป็นอัครมเหสีของพระยาโพธิสาลราชแห่งอาณาจักรล้านช้าง เพื่อหวังสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรทั้งสอง รวมทั้งเป็นการผนึกกำลังต่อต้านอิทธิพลของอาณาจักรอยุธยาที่ขยายตัวขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว[3] ใน พงศาวดารโยนก ระบุว่าพระนางยอดคำทิพย์ประสูติกาลพระราชบุตรจำนวนห้าพระองค์ได้แก่ เจ้าเชษฐวงศ์ (ต่อมาคือสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช), ท้าวท่าเรือ (เจ้ากิถนาวะราช), ท้าววรวงษ์ (เจ้าสีวละวงษาราชกุมาร), นางแก้วกุมารี และนางคำเหลา[10] ส่วนเอกสารที่รวบรวมโดยสิลา วีระวงส์นั้น เชื่อว่าพระนางยอดคำทิพย์มีสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชเป็นพระราชโอรสเพียงพระองค์เดียว[11]
ในอาณาจักรล้านนา
แก้ใน พ.ศ. 2081 เหล่าขุนนางมีอำนาจเหนือพระมหากษัตริย์ล้านนา แล้วร่วมกันปลดพระเมืองเกษเกล้าลงจากพระราชอำนาจแล้วส่งไปอยู่เมืองน้อย หลังจากนั้นจึงสถาปนาท้าวชายเสวยราชย์แทนแต่ครองราชย์ไม่นานก็ถูกลอบปลงพระชนม์ ขุนนางจึงยกพระเมืองเกษเกล้าให้กลับมาครองราชย์อีกครั้ง แต่ทว่าครองราชย์ได้เพียงสองปีก็ถูกขุนนางกลุ่มแสนคราวลอบปลงพระชนม์ แผ่นดินล้านนาว่างกษัตริย์ ขุนนางเกิดความแตกแยกเป็นหลายกลุ่ม และเกิดกลียุค[12] ภายหลังขุนนางกลุ่มเชียงแสนนำโดยพระนางจิรประภาเทวีได้กำจัดขุนนางกลุ่มแสนคราวได้สำเร็จ แล้วตั้งตนเป็นกษัตริย์ ในปี พ.ศ. 2088 เพื่อรอการเสด็จมาของท้าวอุปโย พระราชนัดดาผู้มีเชื้อสายราชวงศ์มังรายทางฝ่ายพระราชชนนีคือนางยอดคำ[13] ในช่วงเวลาที่พระนางจิรประภาเทวีเสวยราชย์นั้น ก็มีศึกติดพันอยู่ไม่ขาด พระองค์จึงทรงของกำลังทหารล้านช้างผ่านทางนางยอดคำให้มาช่วยเหลือ ก่อให้เกิดการแทรกแซงล้านนาโดยล้านช้าง[14]
เมื่อท้าวอุปโยเสด็จมาถึง พระนางจิรประภาเทวีจึงสละราชสมบัติแก่พระราชนัดดา[13] ท้าวอุปโยครองล้านนาช่วงปี พ.ศ. 2089-2090 จนกระทั่งพระยาโพธิสาลราชเสด็จสวรรคตกะทันหัน ท้าวอุปโยจึงเสด็จกลับล้านช้าง พร้อมกับพระนางยอดคำ, พระนางจิรประภา และพระแก้วมรกต แผ่นดินล้านนาจึงว่างกษัตริย์และเกิดกลียุคอีกครั้ง[14]
ในอาณาจักรล้านช้าง
แก้เมื่อท้าวอุปโยเสด็จถึงเมืองหลวงพระบาง ก็ทรงปราบปรามพระราชอนุชาทั้งสอง แล้วเสวยราชสมบัติทรงพระนามว่าพระอุปภัยพุทธบวรไชยเชษฐาธิราชเมื่อ พ.ศ. 2091 ขณะมีพระชันษาเพียง 14 ปี ด้วยเหตุนี้การจัดการปกครองอาณาจักรจึงอยู่ในกำกับของพระนางยอดคำ ที่ต่อมาได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จบรมบพิตรเป็นเจ้าเหนือหัวพระราชมารดาอัครมหาเทวี[7] ถือเป็นพระเกียรติยศสูงสุดเทียบเท่าพระมหากษัตริย์[6] รวมทั้งพระนางจิรประภาเทวี พระอัยยิกาก็ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระไอยกามหาเทวเจ้า (พระราชอัยยิกาพระมหาเทวีเจ้า)[15] โดยอิทธิพลทางการเมืองของพระนางยอดคำยังคงอยู่จนกระทั่งปี พ.ศ. 2094 อันเป็นปีที่สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชสามารถปกครองอาณาจักรได้ด้วยตนเอง[16]
พระราชกรณียกิจ
แก้พ.ศ. 2096 สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชพร้อมด้วยนางยอดคำพระราชมารดา และพระอัยยิกามหาเทวีเจ้าได้พระราชทานที่ดิน ข้าวัด และภาษี ณ วัดเชียงสา เมืองเชียงของ[17]
พ.ศ. 2098 นางยอดคำพระราชมารดาบำเพ็ญพระราชกุศลในนามสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช พระราชทานที่ดิน และข้าวัดแก่วัดมณีเชษฐาราม (ปัจจุบันคือวัดจอมมณี) เมืองหนองคาย[7]
อ้างอิง
แก้- ↑ ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๕, (๒๔๖๐). "พงศาวดารเมืองหลวงพระบาง ตามฉบับที่มีอยู่ในศาลาลูกขุน", วิกิซอร์ซ [ออนไลน์]. แหล่งที่มา: https://th.m.wikisource.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%87_%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%99 [๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๓].
- ↑ สุรศักดิ์ ศรีสำอาง. ลำดับกษัตริย์ลาว. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร, 2545, หน้า 79
- ↑ 3.0 3.1 สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ : อมรินทร์, 2552, หน้า 175
- ↑ สุรศักดิ์ ศรีสำอาง. ลำดับกษัตริย์ลาว. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร, 2545, หน้า 80
- ↑ สุรศักดิ์ ศรีสำอาง. ลำดับกษัตริย์ลาว. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร, 2545, หน้า 102
- ↑ 6.0 6.1 6.2 สุรศักดิ์ ศรีสำอาง. ลำดับกษัตริย์ลาว. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร, 2545, หน้า 115
- ↑ 7.0 7.1 7.2 "จารึกวัดจอมมณี". ฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์มหาชน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-07-11. สืบค้นเมื่อ 13 กุมภาพันธ์ 2561.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๕, (๒๔๖๐). "พงศาวดารเมืองหลวงพระบาง ตามฉบับที่มีอยู่ในศาลาลูกขุน", วิกิซอร์ซ [ออนไลน์]. แหล่งที่มา: https://th.m.wikisource.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%87_%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%99 [๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๓].
- ↑ สุรศักดิ์ ศรีสำอาง. ลำดับกษัตริย์ลาว. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร, 2545, หน้า 79
- ↑ สุรศักดิ์ ศรีสำอาง. ลำดับกษัตริย์ลาว. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร, 2545, หน้า 79
- ↑ สุรศักดิ์ ศรีสำอาง. ลำดับกษัตริย์ลาว. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร, 2545, หน้า 81
- ↑ สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ : อมรินทร์, 2552, หน้า 176
- ↑ 13.0 13.1 สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ : อมรินทร์, 2552, หน้า 177
- ↑ 14.0 14.1 สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ : อมรินทร์, 2552, หน้า 178
- ↑ สุรศักดิ์ ศรีสำอาง. ลำดับกษัตริย์ลาว. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร, 2545, หน้า 96
- ↑ สุรศักดิ์ ศรีสำอาง. ลำดับกษัตริย์ลาว. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร, 2545, หน้า 103
- ↑ "จารึกวัดเชียงสา". ฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์มหาชน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-09-17. สืบค้นเมื่อ 13 กุมภาพันธ์ 2561.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help)