ประวัติส่วนตัว
แก้
โอ๊ต กฤษณะ ม้าทอง เกิดวันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 เวลาประมาณ 01.55 น. ที่โรงพยาบาลบางมูลนาก ตำบลหอไกร อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร เป็นบุตรคนเดียวของนายวัชระ ม้าทอง และนางสาวจิราภรณ์ แก้วพูล (ขณะนั้นใช้ชื่อว่า นางจิราภรณ์ ม้าทอง ปัจจุบันได้จดทะเบียนหย่าตามกฎหมาย และแยกทางกันแล้ว) แต่มีพี่น้องร่วมมารดา 1 คน คือ กฤษฎา เนาวะบุตร
ยุคตกกระป๋องและยุคแห่งความลำบาก
แก้
ชีวิตของเขาต้องล้มลุกคลุกคลานมาตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะตอนเด็ก ๆ เขาอยู่ด้วยกันสามคน ร่วมกับยายและตา ซึ่งเขาเรียกว่า แม่ (ยาย) และพ่อ (ตา) ฐานะทางการเงินค่อนข้างขัดสน แต่เนื่องด้วยวัยเด็กที่เขานั้น ต้องมีดื้อและซุกซนอยู่บ้าง หรือบางวันเขาไม่อยากไปโรงเรียน เขาจึงถูกลงโทษด้วยการล่ามโซ่กับขาโต๊ะ แต่เมื่อเวลาผ่านไป แพทย์บอกว่า ยายของเขาเป็นโรคติดเชื้อในกระแสเลือด และโรคเบาหวาน ขณะนั้นรักษาตัวที่โรงพยาบาลบางมูลนาก เมื่ออาการย่ำแย่ลง จึงส่งตัวไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลพิจิตร (พักรักษาตัวที่ห้องไอซียู) เขาและตาของเขาจึงถือโอกาสตอนเย็นของทุก ๆ วัน ไปเยี่ยมยายของเขาที่โรงพยาบาล ยายของเขาได้เสียชีวิตลงเมื่อปี พ.ศ. 2553 (ขณะนั้นเขากำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาล) นับเป็นความโศกเศร้าครั้งยิ่งใหญ่ของครอบครัวของเขา
ตรวจพบว่าเป็นเด็กพิเศษ
แก้
เมื่อเขากำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ครูที่โรงเรียนเก่าของเขานั้น ต่างพากันครหานินทาว่า เขาเป็นเด็กพิเศษ มีความผิดปกติบางอย่างที่เขายังไม่รู้ เมื่อพาไปพบแพทย์ แพทย์ก็สันนิษฐานว่า ตัวเขานั้นมีความยึดติดกับสิ่งที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษ ขาดเจ้าสิ่งนั้นไม่ได้ เหมือนกำลังเสพติดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเขาโตขึ้นจึงทราบว่าเขามีความสนใจที่เขาพึงสนใจ แต่ไม่ได้ยึดติดกับสิ่งนั้นจนเป็นอาจิณ พยายามปล่อยว่างและรอคอยให้มากยิ่งขึ้น
เมื่อหลังจากการไปทัศนศึกษา และศึกษาดูงานที่จังหวัดกาญจนบุรี แต่เขาไม่ได้ไป เพราะแม่ของเขาเป็นห่วงด้านความปลอดภัยของชีวิต จนคณะครูขู่เข็ญหมายหัวลงโทษสถานหนัก นั่นทำให้เขา และพ่อแม่ของเขา ตัดสินใจว่าจะย้ายสถานศึกษา เพื่อความอยู่รอดปลอดภัย และชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
เริ่มงานกับอาจารย์คนสนิทของเขา
แก้
เมื่อเขากำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เขาเรียนอยู่สถานศึกษาแห่งใหม่ และนั่นทำให้เขาได้พบกับอาจารย์คนสนิท ชื่อว่า อาจารย์สุรีย์พร หงส์นำบัญชาชัย เขาได้แจ้งเกิดในการแข่งขันสะกดคำศัพท์ภาษาอังกฤษ (Spelling Bee) เขาได้ร่วมงานศูนย์ประสานงานภาษาอังกฤษประจำอำเภอ (ชื่อเต็ม : ศูนย์พัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษระดับประถมศึกษา [PEER Center] ประจำอำเภอ) และงานอนามัยโรงเรียน ร่วมทำงานจนกระทั่งอาจารย์คนสนิทเกษียณอายุราชการ จึงขอหยุดร่วมงานกับอาจารย์ท่านนั้นไปก่อน เพราะต้องเตรียมตัวสอบ O-NET และสอบไล่เข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษา จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังจากนั้นเขาและอาจารย์คนสนิท ก็ไม่ได้พบหน้ากัน นาน ๆ ครั้งถึงจะได้เจอกัน
ดำรงตำแหน่งประธานนักเรียน
แก้
เมื่อเขาเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ครูที่โรงเรียนจึงแต่งตั้งเขาให้เป็นรักษาการประธานนักเรียน เป็นการชั่วคราว เมื่อถึงช่วงการเลือกตั้งประธานนักเรียนคนใหม่ เขาจึงลงสมัครเลือกตั้งโดยได้รับหมายประจำตัวผู้สมัคร คือ หมายเลข 5 ด้วยนโยบายที่เขาเป็นคนคิดเอง คือ เน้นวินัย ใฝ่หลักธรรม และเขาสามารถทำคะแนนนำโด่งขึ้นมาได้ นั่นเป็นก้าวแรกของการลงเล่นการเมือง เมื่อเขาเป็นประธานนักเรียนอย่างเต็มตัวเต็มรูปแบบ เขาจึงต้องปรับความเข้าใจ และเรียนรู้ระบบการดูแลนักเรียนอย่างค่อยเป็นค่อยไป ต้องเรียนรู้อะไรอีกมากมาย เดี๋ยวก็จะดูแลนักเรียนอย่างเต็มที่ได้เอง จนคณะครูครหานินทาอีกว่า เขาเป็นคนไม่เอาไหน ขี้เกียจสันหลังยาว ไม่รับผิดชอบดูแลนักเรียน ไม่สมควรมาเป็นประธานนักเรียนด้วยซ้ำ แต่เหตุผลที่เขาได้รับคำตำหนิจากคณะครู นั่นคือเด็กนักเรียนไม่เอาด้วย ไม่ให้ความร่วมมือ และได้มีชนกลุ่มน้อยที่จะคอยล้มการปฏิบัติหน้าที่ของเขา นั่นทำให้เขารู้สึกเจ็บใจอย่างยิ่ง เขาอยากจะออกจากหน้าที่ เพราะรับไม่ได้กับสิ่งที่ได้รับแล้ว หลังจากที่เขากลับจากการอยู่ค่ายพักแรมของลูกเสือ - เนตรนารี ครูที่โรงเรียนจึงให้รุ่นน้องของเขา รับหน้าที่ดังกล่าวแทนที่เขา นั่นหมายความว่า เขาจะต้องลาออกจากตำแหน่งไปโดยปริยาย หากจะพูดให้เข้าใจยิ่งขึ้นก็คือ เขาถูกปลดกลางอากาศ โดยที่เขาไม่รู้เรื่องเลย ไม่มีการมาบอกกล่าวกับเขาแม้แต่คำเดียวเสียเลย แต่ทว่าเขาต้องคอยแนะนำขณะนำหน้าแถวทุกครั้ง จนตัวเขาเองจบการศึกษา
ความขี้เกียจเล่นงานทำให้กลับมาตกกระป๋องอีกครั้ง
แก้
เมื่อช่วงที่เขาเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 เขาไม่รู้ว่าครูที่สอนวิชาวิทยาศาสตร์สั่งให้ไปทำรายงาน จนโดนครูทำโทษทุกคาบที่มีเรียน เมื่อ ผอ. และครูคนอื่น ๆ มาเห็น เขาจึงได้รับคำตำหนิอย่างรุนแรง จนครูที่โรงเรียนโทรศัพท์มาที่บ้าน ทำให้เขาต้องรีบปั่นงานอย่างเร่งด่วน เมื่อเกรดผลการเรียนออก เกรดไม่เป็นที่หวังไว้เพราะได้เกรดเพียงแค่ 3.5 แทนที่จะได้เกรด 4 ทุกวิชา
เขาจึงตั้งปณิธานไว้ว่า ตอนมัธยมเขาจะต้องส่งงานทุกชิ้น จะตามงานทุกงานและไม่ขี้เกียจสันหลังยาวอีกต่อไป
เส้นทางสู่มัธยมสุดปั่นป่วน
แก้
เมื่อถึงช่วงที่เขาจะต้องไปสมัครเรียนต่อระดับชั้นมัธยมศึกษา ผอ.โรงเรียนของเขา ถึงกับบังคับให้เขาต้องสอบให้ติดห้องเรียนพิเศษให้ได้ ซึ่งห้องเรียนพิเศษดังกล่าว รับสมัครแค่นักเรียนที่มีภูมิลำเนาในเขตบริการเท่านั้น แต่เขามีภูมิลำเนานอกเขตบริการ และเอกสารการรับสมัครของเขา มีแต่ฉบับสำเนา ซึ่งการสมัครเรียนดังกล่าวนั้น ให้ใช้แค่ฉบับจริงอย่างเดียว ทำให้เขาต้องไปสมัครเรียนที่อื่น และใกล้บ้านของเขามากที่สุด
ก้าวเข้าสู่ชีวิตมัธยมบนทางเปื้อนฝุ่น
แก้
เมื่อเข้าเริ่มเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นช่วงที่เขาต้องปรับตัวเพื่อเข้ากับเพื่อนใหม่ ที่มาจากโรงเรียนต่าง ๆ ทำให้เขาสามารถใช้ชีวิตกับเพื่อน ๆ ในโรงเรียนได้อย่างอิสระ ซึ่งครูที่ปรึกษาประจำชั้นเรียนของเขานั้น เป็นครูสอนภาษาไทย ครูคนดังกล่าวจึงปั้นเขาให้ร่วมแข่งขันการประพันธ์กาพย์ยานี 11 ซึ่งผลงานของเขาก็เป็นที่น่าประทับใจ แม้จะไม่ได้เป็นตัวแทนไปแข่งขันในระดับต่อไป ก็ถือว่าเขามีความสามารถทางด้านภาษา อีกระดับหนึ่ง
เขามีเพื่อนสนิทสมัยเรียนมัธยม คือ สุริยจามร แสงบุญ ชื่อเล่น แบงค์ (เป็นชื่อที่เขาเรียกเพื่อนสนิทของเขาได้คนเดียว) แต่เพื่อน ๆ ในห้องชอบเรียกฉายาว่า จามร เขากับเพื่อนสนิทของเขามักจะเดินไปพักเที่ยงด้วยกันแทบทุกวัน เดินไปหาคณะครูด้วยกัน แต่บางทีเขากับเพื่อนสนิทของเขาก็มีเรื่องขัดใจกันบ้าง แต่ก็ยังรักเป็นเพื่อนสนิทกันเรื่อยมา แต่เมื่อเขาและแบงค์จบชั้น ม.2 แบงค์ก็ขอลาบรรพชาเป็นสามเณรไปตลอดชีวิต ทำให้เขาต้องอยู่คนเดียว
กลับมาลงเล่นการเมืองอีกครั้ง
แก้
เมื่อเขาเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ช่วงการเลือกตั้งประธานนักเรียน คณะรุ่นพี่จึงให้เขาลงสมัครเป็นสมาชิกโดยใช้ชื่อว่า พรรคการเรียน โดยมีหมายเลขประจำพรรค คือ หมายเลข 1 และเขาดำรงตำแหน่งโฆษกพรรค และเขาเป็นคนช่วยคิดนโยบาย โดยมีความว่า
เราจะมีความมุ่งมั่น ขยันหมั่นเพียร ตั้งใจพัฒนาโรงเรียน ประสบการณ์เปี่ยมล้น ห่วงใย เคารพรุ่นน้องและรุ่นพี่ทุกคน ใจดี ทำงานดี มีความสร้างสรรค์และใส่ใจคุณภาพ มีความเป็นผู้นำ รับใช้มหาชนด้วยความจริงใจ เข้าถึงง่าย รับฟังทุกปัญหา ทุกทางแก้ ระเบียบวินัยจะกลับมา ผลการเรียน 0, ร จะต้องถูกขจัดออกไป ทุกคนจะต้องมีแต่ความสุข โรงเรียนดงเจริญพิทยาคม สายเลือดฟ้า-ขาว จะพัฒนาไปด้วยกันทุกวัน
ด้วยคะแนนเสียงที่เฉียดฉิวดุจเส้นยาแดงผ่าแปด ทำให้พรรคของเขาชนะ และได้พัฒนาโรงเรียนให้ดูดียิ่งขึ้น และเขาคอยมีหน้าที่ช่วยงานสภานักเรียนและงานโรงเรียน
ช่วง รอบรั้ว ดจ.พ. พิทยาคม น่าชมยิ่ง
แก้
เขาเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากยิ่งขึ้น โดยการดำเนินรายการที่ใช้ชื่อว่า ช่วง รอบรั้ว ดจ.พ. พิทยาคม น่าชมยิ่ง (ดจ.พ. คืออักษรย่อของโรงเรียนดงเจริญพิทยาคม ซึ่งเป็นโรงเรียนที่เขาศึกษาอยู่) ผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ซึ่งคณะครูและนักเรียนให้ความสนใจเป็นอย่างดี โดยแนวการบรรยายแบบเป็นกันเอง โดยนำรูปแบบการบรรยายจากรายการ ด้วยลำแข้ง ของคุณคำรณ หว่างหวังศรี ซึ่งนำเรื่องที่คณะครูได้กล่าวกับนักเรียนช่วงเช้าก่อนขึ้นเรียน (สภากาแฟ) และวันศุกร์คาบสุดท้าย ที่คณะครูและนักเรียนร่วมประชุมกัน มาบรรยาย และก่อนจบการบรรยาย เขามักจะปิดท้ายด้วยประโยค วลีเด็ด คำคม หรือพุทธศาสนสุภาษิต ดังตัวอย่าง อาทิ
ประเภทคำ
|
ตัวอย่าง
|
หมายเหตุ
|
---|
ประโยค วลีเด็ด |
ถึงเวลาของการ...กำจัดจุดอ่อน |
ประโยคเด็ดของรายการ The Weakest Link กำจัดจุดอ่อน ออกอากาศทางช่อง 3 อ.ส.ม.ท. เมื่อปี พ.ศ. 2545
|
โชคดีมีสุข |
ใช้ในโอกาสอวยพร
|
พุทธศาสนสุภาษิต |
อนาคตํ ปฏิกยิราถ กิจฺจํ |
หมายความว่า จงเตรียมกิจการสำหรับอนาคตไว้ให้พร้อม
|
ปญฺญา โลกสฺมิ ปชฺโชโต |
หมายความว่า ปัญญาเป็นแสงสว่างในโลก
|
ตั้งแต่เขาเริ่มดำเนินรายการในช่วง รอบรั้ว ดจ.พ. พิทยาคม น่าชมยิ่ง ตั้งแต่วันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 ผลตอบรับในระยะแรกถือว่าค่อนข้างดี แต่เมื่อเขาได้ดำเนินรายการมาสักระยะหนึ่ง ความนิยมและผลตอบรับกลับเสื่อมถอยลงไป เพราะบางครั้งเขาเปลี่ยนชื่อช่วงรายการของเขาบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็น ห้องข่าว ดจ.พ. สัมพันธ์, สี่แยกไฟแดงข่าว ดจ.พ. หรือแม้กระทั่ง รอบรั้ว ดจ.พ. ทำให้แฟนคลับของรายการของเขาเริ่มน้อยลงไป
เขาได้ดำเนินรายการดังกล่าวในครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 หลังจากนั้นเขาจึงยุติการดำเนินรายการนี้แล้ว