ประวัติศาสตร์มวยไทย
ประวัติศาสตร์มวยไทย มีส่วนเกี่ยวข้องกับการอพยพของประชากรที่อาศัยอยู่ในมณฑลยูนนาน บนฝั่งแม่น้ำแยงซีเกียง ของประเทศจีน โดยตามตำนานของไทย เชื่อว่ามีผู้คนจำนวนมากที่เดินทางออกจากมณฑลยูนนาน ประเทศจีน มาสู่ประเทศไทย เพื่อค้นหาที่ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์สำหรับการเกษตร อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการโยกย้ายของพวกเขา ชาวไทยกลุ่มนี้ได้ถูกโจมตีโดยโจรและสัตว์ นอกจากนี้ ยังมีโรคต่าง ๆ ที่พวกเขาต้องเผชิญ เพื่อเพิ่มความสามารถในการป้องกันร่างกายและจิตใจ, การรับมือกับความทุกข์ยาก ชาวไทยสยามจึงได้คิดค้นวิธีการต่อสู้ โดยในเบื้องต้น ได้มีการเรียกกันในชื่อฉุปศาสตร์[1] ซึ่งพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้ความหมายว่า "วิชาว่าด้วยการสงคราม"

แม้ว่าการจัดเก็บเอกสารตำราทางประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่จะสูญหายไปเมื่อครั้งที่ถูกกองทัพพม่าทำลาย และขับไล่ออกจากเมืองอยุธยาในสมัยสงครามพม่า-ไทย (พ.ศ. 2302–2303) แต่เราก็ยังสามารถพบได้จากบันทึกของพม่า, กัมพูชา และจากชาวยุโรปเมื่อครั้งมาเยือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นครั้งแรก รวมถึงจากบันทึกเหตุการณ์ของล้านนา หรือเมืองเชียงใหม่ในปัจจุบัน[1][2]
สมัยหริภุญชัย
แก้ต้นกำเนิดมวยสืบย้อนไปได้ถึง พ.ศ. 1200 สมัยหริภุญชัย[3] มีพระฤๅษีนามว่า พระฤๅษีสุกกะทันตะ เป็นพระอาจารย์ผู้สั่งสอนวิทยาธรรมะและศิลปศาสตร์สำหรับผู้ปกครองแคว้น และขุนนางแม่ทัพนายกองต่อมาได้ตั้งสำนักเรียน ณ เขาสมอคอน เมืองลวะปุระ หรือละโว้[3]: 17, 151 (อาศรมของพระฤๅษีสุกกะทันตะในปัจจุบันเข้าชมได้ที่วัดเขาสมอคอน จังหวัดลพบุรี)
วิชาของพระฤๅษีสุกกะทันตะมีชื่อว่า มัยศาสตร์[3]: 18 (มาจาก มัย + ศาสตระ) แปลว่า วิชาที่ฝึกเพื่อให้สำเร็จ คำที่มีความหมายตรงกัน คือ Mai Śāstra (กันนาดา: ಮೈಶಾಸ್ತ್ರ, อักษรโรมัน: Mai Śāstra) คำ ಮೈ (Mai)[4] แปลว่า ความกล้าหาญ การกล้าเผชิญอันตราย คำ ಶಾಸ್ತ್ರ (Śāstra)[5] แปลว่า คู่มือ ความรู้ การศึกษา หรือหลักการ ซึ่งวิชามัยศาสตร์ประกอบด้วยวิชามวย วิชาดาบ วิชาธนู วิชาบังคับช้างและม้าสำหรับฝึกฝนเพื่อใช้ป้องกันตัวและการศึกสงคราม
ศิษย์ของพระฤๅษีสุกกะทันตะที่สำคัญเช่น พญามังรายผู้ครองแคว้นล้านนา พญางำเมืองผู้ครองแคว้นพะเยา พ่อขุนบานเมือง และพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระร่วงเจ้าแห่งกรุงสุโขทัย[3]: 151
สมัยน่านเจ้า
แก้สมัยน่านเจ้า นับเป็นจุดแรกเริ่มของการรวมกลุ่มคนไทย[3]: 21 มีการทำสงครามกับจีนเป็นเวลานานจึงมีการฝึกใช้อาวุธและการต่อสู้ด้วยมือเปล่า วิชามวยไทยจึงมีจุดเริ่มต้นมาจากวิชาเจิงคล้ายกับมวยจีนชื่อ เล่ยไถ (จีน: 擂台) ในสมัยราชวงศ์ซ่งตรงกับสมัยน่านเจ้า กล่าวคือ เป็นวิชาร่ายรำเรียกว่า ฟ้อนเจิง[3]: 21 โดยรำตามกระบวนท่าทั้งแบบมีอาวุธและมือเปล่า เช่น ฟ้อนเจิงหอก (ฟ้อนด้วยอาวุธหอก) ฟ้อนเจิงดาบ (ฟ้อนด้วยอาวุธดาบ) ฟ้อนเจิงลา (ฟ้อนมือเปล่า) เป็นต้น ในอดีตก่อนเรียนฟ้อนเจิงจะต้องผ่านการทดสอบจากครูผู้สอนโดยดูวิธีการเชือดไก่จะต้องให้ไก่ตายภายในเส้นที่ขีดไว้ หรือฝึกความอดทนโดยให้เดินฝ่าดงหญ้าพร้อมดาบคนละเล่มแล้วครูผู้สอนจะดูอุปนิสัยของแต่ละคน[3]: 22 การฟ้อนเจิงจัดเป็นนาฏศิลป์ไทยล้านนาที่ยังมีมาถึงปัจจุบัน ส่วนครูผู้สอนวิชาเจิงที่มีชื่อเสียงที่สุดของล้านนาในปัจจุบัน คือ พ่อครูปวน คำมาแดง แต่ได้ถึงแก่กรรมแล้วเมื่อ พ.ศ. 2500[3]: 26
สมัยอู่ทอง
แก้หลังจากพระยาพาล ผู้ปกครองเมืองพันธุมบุรี (ปัจจุบันคือจังหวัดสุพรรณบุรี) สวรรคตเมื่อ พ.ศ. 1459[6] พระพรรษา หรือพระพันวสา พระราชบุตรได้ขึ้นปกครองเมืองพันธุมบุรี ต่อมาพระพรรษาเสด็จไปครองเมืองอู่ทองแล้วตั้งเมืองอู่ทองเป็นราชธานีมีนามเมืองใหม่ว่า เมืองศรีอยุธยา[6] (พระราชพงศาวดารเหนือ เขียนว่า เมืองศรีอยุทธยา คือ กรุงอโยธยาที่มีอยู่ก่อนการสถาปนาอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา) พระพรรษาได้บำรุงศิลปะการต่อสู้ โดยเอาคนปล้ำพนันเมือง (มวย) ขึ้นมาจากเมืองอินทปัตถ์นคร (ปัจจุบันคืออำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี) แล้วจีนได้ส่งมวยจีนเข้ามาต่อสู้กันครั้งแรกแต่มวยจีนไม่สามารถสู้มวยไทยได้ พวกมวยจีนจึงหนีกลับไป[6]
ใน พระราชพงศาวดารเหนือ มีบันทึกเกี่ยวกับมวยเรียกว่า ปล้ำพนันเมือง เมื่อปลายรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอู่ทองเมืองศรีอยุทธยา (พ.ศ. 1748–1796) กระทำราชาภิเษกเจ้าชัยเสนกุมาร พระราชบุตรของสมเด็จพระยาสุคนธคีรี เจ้าเมืองพิไชยเชียงใหม่ ขึ้นเสวยราชสมบัติกรุงอโยธยาสืบต่อราชบัลลังก์ มีรับสั่งให้นำคนปล้ำพนันเมืองจากเมืองอินทปัตรนครมาไว้ในเมืองศรีอยุทธยา[7]
รัชกาลสมเด็จพระเจ้าสุวรรณราชา (พ.ศ. 1823–1844) หลังพระเจ้ากรุงจีนทรงทราบข่าวการขึ้นเสวยราชย์แล้วทรงแต่งชาวจีนผู้มีฝีมือเดินทางโดยเรือสำเภามายังเมืองศรีอยุทธยาเพื่อประลองฝีมือปล้ำพนันเมืองกับฝ่ายเมืองอยุทธยาแต่ชาวจีนพ่ายแพ้สู้ไม่ได้แล้วหลบหนีไป[7]
พระบริหารเทพธานี (เฉลิม กาญจนาคม) กล่าวว่า ประวัติมวยไทยน่าจะเกิดจากพวกไทยลุ่มแม่น้ำโขงก่อนพวกอื่น[6]
สมัยโยนก
แก้สมัยโยนก ว่าเป็นอาณาจักรแรกที่ก่อตั้งโดยกลุ่มคนไทยภายใต้ผู้นำแคว้น คือ พระเจ้าลวะจักราช (ปู่เจ้าลาวจก) ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์สิงหนวัติ[3]: 29 ศ.เกียรติคุณสวัสวดี อ๋องสกุล กล่าวว่า พระเจ้าลวะจักราชเป็นขุนลัวะสืบเชื้อสายไตอ้ายหลาว (จีน: 哀牢) มาตั้งถิ่นฐานบริเวณเชิงดอยตุงมีปฏิสัมพันธ์กับคนพื้นราบซึ่งเป็นคนไท รับวัฒนธรรมไท พูดภาษาไท และนับถือพุทธศาสนา ควรถือว่าเป็นไท[8] ต่อมาราชวงศ์มังรายของอาณาจักรล้านนาซึ่งสืบเชื้อสายจากพระเจ้าลวจักราชมีอำนาจมากขึ้นจึงได้ทำศึกสงครามกับพวกขอม และคนไทยก็ขยายอำนาจลงมายังแผ่นดินลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ดินแดนสุวรรณภูมิ แล้วก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัยภายใต้ผู้นำแค้วน คือ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์พระร่วง ซึ่งพระองค์ทรงสืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าพรหมมหาราช ราชวงศ์สิงหนวัติ
หลังโยนกล่มสลายแล้วปรากฏแคว้นพะเยาซึ่งเป็นอาณาจักรร่วมกับหิรัญญนครเงินยางเชียงเเสน สมัยนั้นมีวิชาต่อยมวย เรียกว่า เชิงตีลคุย กล่าวถึงพญาเจืองมหาราช (ขุนเจิง) รัชกาลที่ 2 แคว้นพะเยา (พ.ศ.1625 - 1705) เรียนวิชาการดูช้างม้า การเชิงหอกดาบ การฟ้อนเจิง การต่อยมวย เมื่อขุนจอมธรรม พระราชบิดาสวรรคตจึงได้ขึ้นครองราชย์สืบต่อไป
ตำนานเมืองพะเยา ฉบับวัดศรีบุญเรือง กล่าวว่า:–
ไนเมิงภะยาวที่นั้นคํเรียนเชิงช้าง เชิงม้า เชิงหอก เชิงดาบ เชิงฟ้อน เชิงป้า เชิงตีลคุย (ต่อยมวย ป้องกันตัว) สพพเพส บํหลอแล คันขุนจอมตนพ่อตายแล้ว ขุนเจิงคํได้กินเมิงภะยาว[9]
สมัยล้านนา
แก้เมื่อ พ.ศ. 1839 พญามังรายผู้ครองอาณาจักรล้านนาทรงตรากฏหมายชื่อ มังรายศาสตร์[3]: 30 จารลงใบลาน เป็นกฎหมายมังรายที่เป็นลายลักษณ์อักษรเก่าแก่ที่สุดที่ปรากฏคำที่เกี่ยวกับมวย[3]: 30 คือ เหตุคนผิดกัน 18 ประการ ในประการที่ 7 ระบุว่า ชกต่อย หรือทุบตีกัน เข้าใจว่ามังรายศาสตร์เป็นกฎหมายที่ปรับปรุงมาจากพระธรรมศาสตร์ของรามัญ[10]
มังรายศาสตร์ ฉบับปริวรรต:-
พระญามังรายเจ้า จิ่งตั้งอาชญาไว้ เพื่อหื้อท้าวพระญาทังหลาย อันเปนลูก หลาน เหลน หลีด หลี้ แลเสนาอามายตย์ฝูงแต่งบ้านปองเมืองสืบไพ หื้อรู้อันผิดอันชอบ ดังนี้ ฯ [..] คนทังหลายในโลกนี้ จักผิดกันด้วยเหตุ ๑๘ ประการ ดังนี้ คือ [..] ด้วยอันตีกัน ๗[11]
สมัยสุโขทัย
แก้เมืองหลวงของประเทศไทยในช่วงนี้ตั้งอยู่ที่เมืองสุโขทัย เมื่อปี พ.ศ. 1781 ถึง พ.ศ. 1951 ตามรายการที่บันทึกไว้ในศิลา สุโขทัยมีความขัดแย้งกับหลายเมืองที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งมักจะเผชิญหน้ากับข้าศึกจากภูมิภาคต่าง ๆ ดังนั้น ทางเมืองสุโขทัยจึงมีคำสั่งให้มีการฝึกฝนในกองทัพ รวมถึงการใช้ดาบ, หอก และอาวุธอื่น ๆ เพื่อใช้ในการต่อสู้ นอกจากนี้ การฝึกต่อสู้โดยใช้ร่างกายมีประโยชน์มากในยามบ้านเมืองไม่มีสงคราม ทักษะการต่อสู้ด้วยการใช้หมัด, เข่า และศอก ล้วนเป็นส่วนหนึ่งในการฝึกซ้อมของกองทัพสุโขทัย[2][12] ซึ่งการรบสมัยสุโขทัยจะเป็นลักษณะประจัญบาน คือ รบแบบตะลุมบอน และรบแบบแอบซุ่มโจมตี การฝึกมวยไทยสมัยนั้นมีทั้งฝึกตามสำนักต่าง ๆ อาทิ สำนักหลวง เช่น สำนักราชบัณฑิต (สำหรับเจ้านายและขุนนาง) สำนักราษฎร์ เช่น วัดต่าง ๆ (ขุนนางและประชาชนทั่วไป)[3]: 18
ในยามสงบ การฝึกมวยไทยจะเป็นกิจกรรมแบบไม่แบ่งชนชั้น โดยบรรดาชายไทยวัยหนุ่มจะได้รับทักษะการต่อสู้และป้องกันตัว ซึ่งเป็นการเตรียมพร้อมล่วงหน้าก่อนเข้ารับราชการทหาร[2] ศูนย์ฝึกซ้อมส่วนใหญ่จัดขึ้นที่บริเวณรอบเมือง โดยเฉพาะสำนักสมอคร ในแขวงเมืองลพบุรี รวมถึงมีการสอนตามลานวัด โดยมีพระภิกษุเป็นผู้ฝึกสอน[12]
ในช่วงเวลานี้ มวยไทยได้รับการยกย่องเป็นศิลปะชั้นสูงทางสังคม และนำมาใช้จริง ในการพัฒนาสมรรถภาพทางกายแก่นักรบ, การสร้างความแข็งแกร่ง และความกล้าหาญต่อผู้ปกครองบ้านเมือง[2] พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์แรกของสุโขทัย ทรงเชื่อมั่นในประโยชน์ของมวยไทย จึงส่งราชโอรสสองพระองค์ไปยังสำนักสมอคร คือ พ่อขุนบานเมือง และพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เพื่อเตรียมความพร้อมในการสืบทอดราชบัลลังก์
พงศาวดารโยนก กล่าวว่า:-
พระยางำเมืองเจ้านครพะเยาตนนี้ เป็นบุตรพระยามิ่งเมืองผู้ครองเมืองพะเยาลำดับที่ ๙ ตั้งแต่ขุนจอมธรรมเป็นต้นมา [...] เมื่อเจริญชนมายุได้ ๑๔ ปี ได้เรียนศาสตรเพทกับเทพอิสิตนอยู่ ณ ภูเขาดอยด้วน ครั้นชนมายุได้ ๑๖ ปี ไปเรียนศิลปในสำนักพระสุกทันตฤๅษี ณ กรุงละโว้ อาจารย์เดียวกันกับสมเด็จพระร่วงเจ้ากรุงสุโขทัย เหตุดังนั้นพระยางำเมืองกับสมเด็จพระร่วงเจ้ากรุงสุโขทัยจึงได้เป็นสหายแก่กัน[13]
ระหว่างปี พ.ศ. 1818 ถึง 1860 พ่อขุนรามคำแหงทรงนิพนธ์ตำหรับพิชัยสงคราม ที่มีการกล่าวถึงมวยไทย เช่นเดียวกับทักษะการต่อสู้อื่น ๆ[3]: 40 [12] นอกจากนี้พระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) เมื่อครั้งยังทรงพระเยาวน์นอกจากจะได้ศึกษาจากสำนักราชบัณฑิตในพระราชวังแล้ว พระองค์ทรงต้องฝึกวิชาปฏิบัติด้วย โดยเฉพาะการต่อสู้ป้องกันตัวแบบมือเปล่า เช่น มวยไทย รวมถึงการใช้อาวุธ อาทิ ดาบ หอก มีด โล่ ธนู เป็นต้น[3]: 40
สมัยกรุงศรีอยุธยา
แก้สมัยกรุงศรีอยุธยา อยู้ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 1988 ถึง พ.ศ. 2310 ในช่วงนี้มีสงครามจำนวนมากระหว่างไทย, พม่า และกัมพูชา[2] จึงได้มีการฝึกพัฒนาทักษะด้านมวยไทยเพื่อการป้องกันตัว อาจารย์ผู้ถ่ายทอดศิลปะการต่อสู้นี้ให้แก่ชาวไทยไม่ได้มีจำกัดเฉพาะในพระบรมมหาราชวังดังเช่นก่อนหน้านี้[12] โดยมีสำนักดาบพุทไธสวรรย์ ที่ได้รับความนิยมในสมัยนี้ มีนักเรียนหลายคนเข้ามาเรียนรู้เรื่องระเบียบวินัย พวกเขาฝึกวิชาดาบ และการต่อสู้ระยะประชิด ด้วยดาบหวาย จากการเรียนรู้การต่อสู้โดยไม่ใช้อาวุธของทหารนี้เอง ที่ทำให้เกิดการเรียนรู้มวยไทยโบราณ ซึ่งเป็นรูปแบบดั้งเดิมของมวยไทย โดยสำนักมวยไทยในยุคนั้น ได้เริ่มถ่ายทอดความรู้นี้ให้แก่ประชาชน[2]
สมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) พ.ศ. 1967–1991
แก้เมื่อ พ.ศ. 1962 สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) เสด็จตีเมืองพระนครหลวง (นครธม) โปรดให้ขุนศรีไชยราชมงคลเทพเป็นขุนพลพร้อมขุนนางอื่น ๆ ปรากฏว่ามีฝูงมวยร่วมรบการศึกในครั้งนี้ด้วย ครั้นตีได้มีชัยชนะเหนือเมืองพระนครหลวง (นครธม) แล้ว โปรดให้ทำจารึกประกาศชัยชนะไว้ที่บรรณศาลาแห่งหนึ่ง และเลื่อนฐานะขุนศรีไชยราชมงคลเทพขึ้นเป็นฐานะสูงสุด คือ เอกมนตรีพิเสส (ต่อมาคือ ออกญาอุปราช หรือเจ้าพระยามหาอุปราช ในธรรมเนียบพระไอยการตำแหน่งนาพลเรือน นาทหาร หัวเมือง พ.ศ. 1998)[14]
จารึกดังกล่าวคือ จารึกขุนศรีไชยราชมงคลเทพ จารเมื่อ พ.ศ. 1974 ด้านที่ 2 ความว่า:-
สมเด็จพระอินทรามหาบรมจักรพรรดิธรรมิกราชเป็นเจ้าให้ขุนศรีไชยราชมงคลเทพเอาจตุรงค์ช้างม้ารี้พลไปโจมจับพระนครพิมายพนมรุ้งเป็นราชเสมาแลราบทาบดังพระมโนสากัลป์แลจึงจะละพระราชเสาวนีย์หาขุนศรีไชยราชมงคลเทพแดฝูงมวยลูกขุนทั้งหลาย เอาช้างม้ารี้พลถอยคืนมา มาลุเถิงเมสบรธานจรดบรรณศาลาประดิษฐาสีลาประสัสนี้ไว้จุ่งเป็นเกียรติยศสบบดลพระราชอาญาว่าขุนศรีไชยราชมงคลเทพเอกมนตรีพิเสส[15]
สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พ.ศ. 1991–2031
แก้ในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงตราพระไอยการตำแหน่งนาพลเรือน นาทหาร หัวเมือง พ.ศ. 1988 มีกรมหนึ่งชื่อ กรมนักมวย สังกัดในกรมทนายเลือกฝ่ายซ้ายและขวา ตำแหน่งเจ้ากรม คือ ขุนภักดีอาสา และขุนโยธาภักดี กรมนักมวยมีความหมายตามพจนานุกรมว่า นักมวยสำหรับป้องกันพระเจ้าแผ่นดิน ชื่อกรม ๆ หนึ่งสำหรับกำกับมวย มีหน้าที่ถวายความปลอดภัยพระมหากษัตริย์ในระยะประชิดโดยไม่ใช้อาวุธนอกเหนือจากมือเปล่าและอยู่เวรในพระราชวัง พระเจ้าแผ่นดินทรงคัดเลือกนักมวยมีฝีมือ ร่างกายล่ำสัน แข็งแรงเข้ามาเป็นทหารรักษาพระองค์[16]
สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ. 2133–2147)
แก้สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงให้ความสำคัญต่อมวยไทยอย่างยิ่ง โดยให้การฝึกแก่บรรดาชายหนุ่ม เพื่อเสริมสร้างความสามารถด้านมวยไทยทั้งในแง่ของความกล้าหาญและความเชื่อมั่นในตนเอง พวกเขาได้รับคำสั่งให้เรียนรู้การต่อสู้ด้วยอาวุธทุกชนิด นอกจากนี้ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชยังทรงแต่งตั้งกองเสือป่าแมวมอง ซึ่งเป็นหน่วยรบแบบกองโจร[2] โดยกองทหารเหล่านี้ สามารถกอบกู้เอกราชของประเทศไทยจากประเทศพม่าได้ในช่วงเวลาดังกล่าว[12][17]
สมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ (พ.ศ. 2148–2153)
แก้มีกฎหมายที่เกี่ยวกับมวย ตราขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระเอกาทศรถ ชื่อ พระอัยการเบ็ดเสร็จ มีมาตราหนึ่งระบุว่า:-
117 มาตราหนึ่ง ชนชั้นสองเป็นเอกจิกเอกฉันท์ตีมวยด้วยกันก็ดี แลปล้ำกันก็ดี แลผู้หนึ่งต้องเจ็บปวดก็ดี ขั้นหักถึงแก่มรณภาพก็ดี ท่านว่าหามีโทษมิได้…[18]
สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2147–2233)
แก้ในช่วงเวลานี้ เป็นช่วงที่ประเทศไทยมีแต่ความสงบสุข จึงทำให้มีโอกาสในการพัฒนาสังคม, เศรษฐกิจ และการทหารแห่งราชอาณาจักร สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงให้การสนับสนุนและส่งเสริมกีฬา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมวยไทย ที่ได้กลายเป็นกีฬาประจำชาติ ในช่วงเวลานี้ ได้มีค่ายมวยเกิดขึ้นหลายแห่ง[2] ซึ่งมีการพัฒนาพื้นที่ในการฝึกโดยเฉพาะ โดยการสร้างสังเวียนมวยและลานดิน ซึ่งมีเชือกเพียงเส้นเดียวกั้น และมีกฎกติการการแข่งขัน ในบริเวณสี่เหลี่ยมจัตุรัส[12] นักมวยจะใช้ด้ายดิบชุบแป้งหรือน้ำมันดินให้แข็งเพื่อพันข้อมือ วิธีการเช่นนี้จึงได้รับการเรียกกันในชื่อคาดเชือก (การใช้เชือกพัน) หรือที่รู้จักกันในชื่อมวยคาดเชือก (การต่อสู้กันโดยมีเชือกพัน)[2][12]
จดหมายเหตุลาลูแบร์ กล่าวถึงความนิยมชกมวยว่าในสมัยอยุธยามีการชกมวย หมัด ศอก เข่า และเท้า ผู้คนนิยมกันมาก จนบางคนก็ยึดเป็นอาชีพ:-[3] : 59
La lutte, & le combat à coups de poing ou de coude y ſont des mêtiers de batteleur.[19]
(คำแปล): การชกมวยปล้ำและรำกระบี่กระบองบ้าง ก็เป็นสักแต่ว่าทางหากินเลี้ยงชีพ[20]
— ซีมง เดอ ลา ลูแบร์ (ค.ศ. 1687) (พระนิพนธ์แปลโดยกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์), Du Royaume de Siam : Envoyé extraordinaire du ROY auprès du Roy de Siam en 1687 & 1688.
และกล่าวถึงลักษณะการชกมวยไทยไว้ว่ามีการชกมวยกันกลางพื้นดินใช้เชือกกั้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส นักมวยไม่สวมนวมแต่ถักหมัดด้วยด้ายดิบ[3]: 61
สมัยสมเด็จพระเพทราชา (พ.ศ. 2231–2246)
แก้มีบันทึกเกี่ยวกับมวยในรัชสมัยสมเด็จพระเพทราชาว่าได้ใช้มวยสำหรับรับศึกกับฝรั่งเศสที่อาจมายึดเมืองมะริดซึ่งเป็นเมืองท่าของกรุงศรีอยุธยาในตอนนั้น[21]
เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2241 กรุงศรีอยุธยาทราบข่าวว่า ที่อินเดียมีเรืออังกฤษมาจอดเทียบท่าหลายลำ ต่อมามีนายเรือชาวดัตช์คนหนึ่งมาแจ้งข่าวต่อกรุงศรีอยุธยาว่า กองทัพเรือฝรั่งเศสแล่นผ่านแหลมกู๊ดโฮป (Cape of Good Hope) มาแล้ว และกองทัพเรือฝรั่งเศสจะมายึดเมืองปุฑุเจรี (เมืองพอนดิเชอร์รี) ที่อินเดีย และอาจเป็นไปได้ว่ากองทัพเรือฝรั่งเศสจะมายึดเมืองมะริดของกรุงศรีอยุธยาด้วย เป็นเหตุให้สมเด็จพระเพทราชาทรงวิตกกังวลหลังจากทรงทราบข่าวแม้ว่ายุโรปได้ทำหนังสือสัญญาสงบศึกแล้วก็ตาม สมเด็จพระเพทราชาจึงทรงเกณฑ์คนให้มีการฝึกหัดการต่อสู้เพื่อเตรียมรับศึกสงคราม อาทิ หัดมวยปล้ำ ต่อยมวย กระบี่กระบอง และฝึกหัดทักษะการต่อสู้ต่าง ๆ[21]
จดหมายมองซิเออร์โบรด์ถึงผู้อำนวยการคณะการต่างประเทศ กรุงศรีอยุธยา วันที่ ๙ เดือนมิถุนายน ค.ศ. ๑๖๙๙ (พ.ศ. ๒๒๔๒) กล่าวว่า:-
ข่าวอันนี้ได้ทำให้ข้าราชการในราชสำนักตกใจเป็นอันมาก พระเจ้ากรุงสยามจึงได้ตั้งต้นเกณฑ์คนฝึกหัดการต่าง ๆ บางทีหัดให้ปล้ำกัน บางทีหัดให้ต่อยมวย บางทีหัดกระบี่กระบอง และหัดการต่าง ๆ ชนิดนี้อีกหลายอย่าง การฝึกเหล่านี้ได้ทำให้ขุนนางข้าราชการมีงานมากขึ้น[21]
สมัยสมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี (พ.ศ. 2246–2251)
แก้สมเด็จพระเจ้าเสือนับเป็นพระมหากษัตริย์ในสมัยกรุงศรีอยุธยาที่ถูกกล่าวขวัญในชั้นเชิงมวยมากที่สุดพระองค์หนึ่ง[22] เมื่อยังทรงพระเยาว์ได้ฝึกฝนวิชามวยไทยในราชสำนักและเร่ร่อนไปฝึกมวยไทยตามสำนักต่าง ๆ ทรงพอพระทัยในการชกมวยและฝึกซ้อมมวยอยู่เสมอ แล้วยังทรงส่งเสริมกีฬามวยไทยโดยทรงเป็นมักมวยเองแล้วปลอมเป็นชาวบ้านไปท้าชกมวยตามที่ต่าง ๆ เป็นที่ปิติของราษฎร[3]: 50
จดหมายเหตุของเทเลอร์แรนดัล เล่าการชกมวยไว้ว่า สมเด็จพระเจ้าเสือทรงชำนาญ และมีฝีมือการชกมวยไทยอย่างมาก เคยใช้มวยไทยไล่ชกเจ้าพระยาวิไชเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) ข้าราชการชาวกรีกคนโปรดของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชจนได้รับบาดเจ็บสาหัส และก่อนสมเด็จพระเจ้าเสือเสด็จขึ้นครองราชย์ก็ปรากฏว่ามีเรื่องชกต่อยกับฝรั่งอยู่เสมอเพราะเกรงว่าบ้านเมืองจะตกอยู่ในอำนาจของฝรั่งเศส[3]: 52
ภายหลังจากพระองค์ขึ้นครองราชย์ เมื่อ พ.ศ. 2245 อยู่วันหนึ่งสมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี (พระเจ้าเสือ) มีพระราชโองการตรัสถามข้าราชการว่านอกกรุงศรีอยุธยามีงานมหรสพจัดที่ไหนบ้าง ข้าราชการจึงทูลตอบว่าวันพรุ่งนี้ชาวบ้านตำบลบ้านตระหลาดตรวจ แขวงเมืองวิเศษไชชาญ (จังหวัดอ่างทองในปัจจุบัน) มีงานฉลองพระอาราม และงานมหรสพใหญ่[23]: 283 พระองค์ทราบความเช่นนั้น จึงมีพระราชดำรัสว่า:-
แต่เราเป็นจ้าวมาช้านาน มิได้เล่นมวยปล้ำบ้างเลย แลมือก็หนักเหนื่อยเลื่อยล้าช้าอ่อนไป เพลาพรุ่งนี้เราจะไปเล่นสนุกนิ์ชกมวยลองฝีมือให้สะบายใจสักน่อยหนึ่งเถีด[23]
วันต่อมา สมเด็จพระเจ้าเสือเสด็จประพาสโดยเรือพระที่นั่งพร้อมเหล่าข้าราชการไปยังถึงตำบลบ้านตระหลาดตรวจ โปรดให้หยุดเรือพระที่นั่งแล้วทรงตรัสห้ามข้าราชการติดตามการเสด็จ ทรงเปลี่ยนพระภูษา (เสื้อผ้า) ปลอมพระองค์เป็นสามัญชนแล้วเสด็จไปร่วมงานฉลองพระอารามพร้อมตำรวจมหาดเล็กคนสนิทจำนวน 4-5 คน
ครั้นเสด็จถึงงานแล้ว ขณะนั้นเจ้าภาพงานแข่งชกมวย เตรียมจัดคู่มวยขึ้นชก สมเด็จพระเจ้าเสือโปรดให้ข้าราชการไปแจ้งว่าจะขอขึ้นชกมวยทันที แม้ข้าราชการทูลทัดทานก็ทรงไม่ยอมจะขอขึ้นชกมวยเสียให้ได้[23]: 283 เมื่อการแข่งชกมวยเริ่มขึ้น ผลการชกมวยยกแรก คู่มวยเสมอกับสมเด็จพระเจ้าเสือไม่แพ้ชนะกัน ชาวบ้านต่างส่งเสียงร้องเชียร์พระองค์ และคู่มวยอย่างกึกก้อง ครั้นสู้กันไปได้ยกครึ่ง คู่มวยของพระเจ้าเสือจึงหย่อนกำลังเสียทีพ่ายแพ้ให้แก่สมเด็จพระเจ้าเสือ เนื่องจากพลาดถูกสมเด็จพระเจ้าเสือชกเข้าจุดสำคัญถึงกับเจ็บป่วยสาหัสไปหลายวัน นายสนามจึงตกรางวัลแก่พระเจ้าเสือเป็นเงิน 1 บาท และตกรางวัลแก่คู่มวย 2 สลึง[23]: 283
หลังการแข่งขันรอบแรกผ่านไป สมเด็จพระเจ้าเสือมีพระประสงค์จะขึ้นชกมวยอีกจึงตรัสให้ข้าราชการบอกความแก่นายสนามให้จัดหาคู่มวยมาชกกับพระองค์อีกรอบ คู่มวยก็ยังพ้ายแพ้ให้แก่พระองค์อีกครั้งหลังชกไปได้ครึ่งยก บรรดาชาวบ้านที่มาดูการแข่งขันจึงส่งเสียงแห่สรรเสริญฝีมือสมเด็จพระเจ้าเสือกันถ้วนหน้าว่านักมวยคนนี้มีฝืมือดียิ่งนัก แล้วนายสนามจึงตกรางวัลให้สมเด็จพระเจ้าเสือเป็นเงิน 1 บาทเท่ากับรอบแรก จึงเสด็จกลับมายังเรือพระที่นั่งทรงเกษมพอพระทัยฝีมือมวยของพระองค์แล้วเสด็จกลับไปยังกรุงศรีอยุธยา[23]: 283
สมัยกรุงธนบุรี
แก้เมื่อ พ.ศ. 2323 หลังจากสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงรวบรวมดินแดนไทยสองฝั่งแม่น้ำโขงได้แล้วทรงอันเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) จากเวียงจันทร์มาประดิษฐาน ณ วัดแจ้งแล้วโปรดให้มีการสมโภชพระแก้วมรกตริมแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งสองฝั่ง ใน จดหมายเหตุสมโภชพระแก้วมรกต ต้นปีชวด พ.ศ. ๒๓๒๓ กล่าวว่าโปรดให้มีการละเล่นมวยคู่ปล้ำภายในงานสมโภช[24]
สมัยรัตนโกสินทร์
แก้รัชกาลที่ 1
แก้เมื่อ พ.ศ. 2331 มีสองพี่น้องชาวฝรั่งเศสเดินทางโดยเรือกำปั่นเข้ามายังพระนคร ฝ่ายน้องชายนั้นเป็นมวยมีฝีมือจึงออกตระเวนท้าพนันมวยแลกรางวัลตามหัวเมืองต่าง ๆ ล้วนชนะมาแล้วทั้งสิ้น สองพี่น้องชาวฝรั่งเศสจึงให้ล่ามเป็นคนกลางแจ้งต่อเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาจะขอท้าพนันมวย[25]: 154
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงมีพระบรมราชโองการดำรัสปรึกษากรมพระราชวังบวรสุรสิงหนาท พระราชอนุชาจึงกราบบังคมทูลว่า:-
การที่ฝรั่งท้าขึ้นมาดังนั้นครั้นไม่แต่งคนมวยออกต่อสู้ด้วยฝรั่ง ๆ เป็นชาติต่างประเทศก็จะดูหมิ่นมวยไทยว่องแท้ แม้ร่างเล็กแต่ใจเด็ดเดี่ยวจริงแฮ มอญพม่าทั้งเก้าแพ้พ่ายสิ้นมวยไทยได้ว่า กรุงเทพพระนครทั้งกรุงรัตนโกสินทร์หาคนมวยดีจะต่อสู้มิได้จะเสื่อมเสียพระเกียรติปรากฏไป ขนมต้มนามท่านนี้โด่งดังจริงเฮยนานาประเทศ ข้าพระพุทธเจ้าจะขอรับแต่งคนมวยลับ แต่ชีพนามยังเด่นไซร้ที่มีฝีมือเอกออกต่อสู้ด้วยฝรั่งเอาชัยชนะให้จงได้[25]: 154
กรมพระราชวังบวรสุรสิงหนาททรงรับตกลงการพนักมวยกับชาวฝรั่งเศสเป็นเงิน 50 ชั่ง (4,000 บาท) ทรงจัดนักมวยผู้มีฝีมือร่างกายล่ำสันจากกรมทนายเลือกฝ่ายพระราชวังบวรผู้หนึ่งนามว่า หมื่นผลาญ แล้วจึงดํารัสสั่งให้ปลูกพลับพลาตั้งสนามมวยโดยใช้เชือกผูกเสา 4 ต้น สูงราว 70 เซนติเมตร ใกล้กับโรงละครทางทิศตะวันตกของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม[25]: 155
เมื่อถึงวันกำหนดแข่งขัน กรมพระราชวังบวรสุรสิงหนาทมีพระราชบัณฑูรดํารัสให้เอาน้ำมันว่านอันอยู่คงทาชโลมหมื่นผลาญทั่วร่างกายแล้วให้ขึ้นคอคนลงมายังพระบรมมหาราชวัง ฝ่ายคู่มวยชาวฝรั่งเศสผู้น้องก็ขึ้นมายังสนามเตรียมขึ้นชก เมื่อถึงเวลาแข่งขัน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและกรมพระราชวังบวรสุรสิงหนาทเสด็จพระราชดำเนินมายังพลับพลาเพื่อทอดพระเนตรพร้อมด้วยพระราชวงศานุวงศ์และข้าราชบริพาร หมื่นผลาญกับคู่มวยชาวฝรั่งเศสฝ่ายน้องก็เข้ามากราบถวายบังคมที่กลางสนามมวยแล้วตั้งท่าเตรียมชกกัน[25]: 155
ฝ่ายคู่มวยชาวฝรั่งเศสล้วงมือหมายจะจับหักกระดูกไหปลาร้าหมื่นผลาญ ส่วนหมื่นผลาญยกมือขึ้นป้องกันสลับกับเข้าชกต่อยบ้าง ถอยออกบ้าง แต่ฝ่ายคู่มวยฝรั่งไม่สามารถจับหมื่นผลาญได้เนื่องจากร่างกายหมื่นผลาญชโลมไปด้วยน้ำมันว่านอันอยู่คง ชาวฝรั่งเศสฝ่ายพี่ชายเห็นโอกาสจึงเข้าไปผลักหมื่นผลาญไม่ให้ถอยหนี แต่กรมพระราชวังบวรสุรสิงหนาททอดพระเนตรเห็นก็ทรงพระพิโรธแล้วทรงดำรัสว่า "เล่นชกพะนันกันก็ตัวแต่ตัวไฉนจึงช่วยกันเป็น ๒ คนเล่า"[25]: 156 จึงเสด็จลงจากพลับพลาแล้วยกพระบาทถีบชาวฝรั่งผู้เป็นพี่ชายให้ล้มลง พวกกรมทนายเลือกฝ่ายวังหน้าก็วิ่งเข้ารุมชกต่อยพี่น้องชาวฝรั่งเศสทั้งสองคนจนได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้วจับตัวลากออกไปจากสนามมวย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงมีรับสั่งพระราชทานให้หมอนวดหมอยาตามไปรักษาตัวสองพี่น้องชาวฝรั่งจนกระทั่งหายดีแล้วจึงถอยเรือกำปั่นแล่นออกจากพระนครไป[25]: 156
ดูเพิ่ม
แก้อ้างอิง
แก้- ↑ 1.0 1.1 "The History of Muay Thai" (ภาษาอังกฤษ). muaythai-fighting.com. February 2008. สืบค้นเมื่อ 27 January 2013.
- ↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 2.5 2.6 2.7 2.8 "History and Traditions of Muay Thai" (PDF) (ภาษาอังกฤษ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (pdf)เมื่อ 2014-04-14. สืบค้นเมื่อ 27 January 2013.
- ↑ 3.00 3.01 3.02 3.03 3.04 3.05 3.06 3.07 3.08 3.09 3.10 3.11 3.12 3.13 3.14 3.15 3.16 3.17 กรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สนามกีฬาแห่งชาติ. (2559). ประวัติศาสตร์มวยไทย History of Muay Thai. กรุงเทพฯ: บีทีเอส เพรส. ISBN 978-616-297-337-6
- ↑ "ಮೈ". “Alar” V. Krishna's Kannada → English dictionary. Retrieved on 29 May 2024.
- ↑ "ಶಾಸ್ತ್ರ". “Alar” V. Krishna's Kannada → English dictionary. Retrieved on 29 May 2024.
- ↑ 6.0 6.1 6.2 6.3 บริหารเทพธานี (เฉลิม กาญจนาคม), พระ. (2514). พงศาวดารชาติไทยสมัยศรีอยุธยา ภาคแรก. พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ ๕ สิงหาคม ๒๕๑๔. พระนคร: บพิธ. หน้า 4–5.
- ↑ 7.0 7.1 คณะกรรมการอำนวยการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี. (2542). "พระราชพงศาวดารเหนือ," ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๑. จัดพิมพ์เป็นที่ระลึกเนื่องในมหามงคลสมัยฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี พุทธศักราช ๒๕๓๙. กรุงเทพฯ: กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร. หน้า 124–125. ISBN 974-419-215-1
- ↑ สวัสวดี อ๋องสกุล. (2566). ประวัติศาสตร์ล้านนา. (พิมพ์ครั้งที่ 13). เชียงใหม่: สำนักงานบริหารงานวิจัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. หน้า 37. ISBN 978-616-398-905-5
- ↑ คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารวิชาการเฉลิมฉลอง 60 ปีวิทยาลัยครูเชียงใหม่. (2527). ล้านนากับการศึกษาแบบใหม่. จัดพิมพ์เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลอง 60 ปีวิทยาลัยครูเชียงใหม่. เชียงใหม่: วิทยาลัยครูเชียงใหม่. หน้า 37. ISBN 978-974-8-15006-2 อ้างใน ตำนานเมืองพะเยา หน้า 32.
- ↑ กำธร กำประเสริฐ และสุเมธ จานประดับ. (2540). ประวัติศาสตร์กฎหมายไทยและระบบกฎหมายหลัก. กรุงเทพฯ: คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง. หน้า 22-23. ISBN 974-593-270-1
- ↑ ชัปนะ ปิ่นเงิน. (2551). การปริวรรตและวิเคราะห์เนื้อหากฎหมายมังรายศาสตร์ฉบับวัดแม่คือ (Wat Mae Khue version: The Transliteration and Analytical Study of Mangrai customary law). เชียงใหม่: สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ฐานข้อมูลงานวิจัย: https://cmudc.library.cmu.ac.th/frontend/Info/item/dc:31236. หน้า 81, 97-98.
- ↑ 12.0 12.1 12.2 12.3 12.4 12.5 12.6 "Histoy of Muay Thai and Muay Thai Tranning" (ภาษาอังกฤษ). tigermuaythai.com. 2013. สืบค้นเมื่อ 27 February 2013.
- ↑ กรมศิลปากร. (2504). พงศาวดารโยนก ฉบับหอสมุดแห่งชาติ. (เรียบเรียงโดย พระยาประชากิจกรจักร์ (แช่ม บุนนาค) เมื่อ พ.ศ. 2478). กรุงเทพฯ: ศิลปาบรรณาคาร. หน้า 270.
- ↑ วินัย พงศ์ศรีเพียร. "จารึกขุนศรีไชยราชมงคลเทพกับรัชกาลสมเด็จพระอินทรา บรมราชาธิราชที่ ๒ แห่งสมัย “ศรีอโยธยา”ตอนต้น", วารสารวิชาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 7(1)(มกราคม - มิถุนายน 2562):5.
- ↑ ศานติ ภักดีคำ. (2557). ยุทธมรรคา เส้นทางเดินทัพไทยเขมร. กรุงเทพฯ: มติชน. หน้า 69. ISBN 978-974-0-21342-0
- ↑ ถนอมวงศ์ กฤษณ์เพ็ชร์. (2525). พัฒนาการของพลศึกษาในประเทศไทยระหว่าง พ.ศ. 2325 - 2525. กรุงเทพฯ: โครงการเผยแพร่ผลงานวิจัย ฝ่ายวิจัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 37.
- ↑ "The Historical Origin of Muay Thai" (ภาษาอังกฤษ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-04-22. สืบค้นเมื่อ 23 January 2014.
- ↑ มันตะ มันตะลัมพะ. (2561). ปัญหาข้อกฎหมายและการบังคับใช้ในพระราชบัญญัติกีฬามวย พ.ศ. 2542 : ศึกษาเฉพาะกรณีการทุจริตและคุณสมบัติของบุคคลในกีฬามวยไทย. สารนิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต (กฎหมายอาญาและกระบวนการยุติธรรมทางอาญา) มหาวิทยาลัยศรีปทุม กรุงเทพฯ. หน้า 48.
- ↑ La Loubère, Simon de. (1691). « De la Muſique, & des Exercices du Corps. », DU ROYAUME DE SIAM : Envoyé extraordinaire du ROY auprès du Roy de Siam en 1687 & 1688, TOME PREMIER. Paris: Chez Abraham Wolfgang, près de la Bourſe. p. 211.
- ↑ นราธิปประพันธ์พงศ์, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ. (2505). "ประลองกายกรรม", จดหมายเหตุลาลูแบร์ เล่ม ๑. พระนิพนธ์พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์. กรุงเทพฯ: องค์การค้าของคุรุสภา. หน้า 304.
- ↑ 21.0 21.1 21.2 "จดหมายมองซิเออร์โบรด์ถึงผู้อำนวยการ คณะการต่างประเทศ กรุงศรีอยุธยา วันที่ ๙ เดือนมิถุนายน ค.ศ. ๑๖๙๙ (พ.ศ. ๒๒๔๒) เรื่องบาทหลวงตาชาร์ดกลับมาอีกครั้ง ๑", ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๒๑ (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๓๕ และ ๓๖). กรุงเทพฯ: องค์การค้าของคุรุสภา. หน้า 206–207.
- ↑ รัฐพล ศรีวิลาส. (2549). "Culture Vision II: ศิลปะการต่อสู้แห่งนักรบไทย... มวยไชยา", Advanced Thailand Geographic 11(88)(2549):269. ISSN 0849-5356
- ↑ 23.0 23.1 23.2 23.3 23.4 พระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ตรวจสอบชำระจากเอกสารตัวเขียน. มูลนิธิ "ทุนพระพุทธยอดฟ้า" ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดพิมพ์โดยเสด็จพระราชกุศลในการพระราชทานเพลิงศพ พระธรรมปัญญาบดี (ถาวร ติสฺสานุกโร ป.ธ.๔) ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันอาทิตย์ที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๘. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2558. ISBN 978-616-92351-0-1
- ↑ ตากสินมหาราช, สมเด็จพระเจ้า, ธนิต อยู่โพธิ์ และปรีดา ศรีชลาลัย. (2484). บทละครรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี มีเล่าเรื่องหนังสือรามเกียรติ์ และเรื่องงานสร้างชาติไทยเป็นเรื่องประกอบ. พิมพ์ในงานศพนายอาคม อินทรโยธิน เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๔ ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส. พระนคร: โรงพิมพ์พระจันทร์. หน้า 232–233. อ้างใน จดหมายเหตุสมโภชพระแก้วมรกรต พ.ศ. ๒๓๒๓. "(๒๖) มวย (๒๗) คู่ปล้ำ".
- ↑ 25.0 25.1 25.2 25.3 25.4 25.5 กองศิลปวิทยาการ กรมศิลปากร. (2478). "ฝรั่งเข้ามาพะนันชกมวย," พระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑. ทรงพระกรุณาโปรดให้พิมพ์พระราชทานแจกในงานพระราชทานเพลิงพระศพพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นอนุวัตน์จาตุรนต์ที่พระเมรุวัดเทพศิรินทราวาส. พระนคร: พระจันทร์. หน้า 154–156.
บรรณานุกรม
แก้- Roza, Greg (2012). The Rosen Publishing Group (บ.ก.). "Muay Thai Boxing": 48. ISBN 1448869684. สืบค้นเมื่อ 23 January 2013.
{{cite journal}}
: Cite journal ต้องการ|journal=
(help) - Delp, Christoph (2012). Blue Snake Books (บ.ก.). "Muay Thai Basics: Introductory Thai Boxing Techniques": 211. ISBN 1583941401. สืบค้นเมื่อ 23 January 2013.
{{cite journal}}
: Cite journal ต้องการ|journal=
(help)