ประธานาธิบดีเม็กซิโก

ประมุขแห่งรัฐของประเทศเม็กซิโก

ประธานาธิบดีเม็กซิโก (สเปน: Presidente de México) หรือเรียกอย่างเป็นทางการว่า ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐเม็กซิโก (Presidente de los Estados Unidos Mexicanos)[2] เป็นประมุขแห่งรัฐและหัวหน้ารัฐบาลของเม็กซิโก ภายใต้รัฐธรรมนูญของเม็กซิโก ประธานาธิบดีจะเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารของรัฐบาลกลางและเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพเม็กซิโก ผู้ดำรงตำแหน่งคนปัจจุบันคือ อันเดรส มานูเอล โลเปซ โอบราดอร์ ซึ่งเข้ารับตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ประธานาธิบดี
แห่งสหรัฐเม็กซิโก
Presidente de los Estados Unidos Mexicanos
ตราประทับของรัฐบาลกลาง
ธงประจำตำแหน่ง
ผู้ดำรงตำแหน่งคนปัจจุบัน
อันเดรส มานูเอล โลเปซ โอบราดอร์

ตั้งแต่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2561
ตำแหน่งบริหารของรัฐบาลเม็กซิโก
จวนพระราชวังแห่งชาติ
ที่ว่าการเม็กซิโกซิตี
ผู้แต่งตั้งคะแนนนิยม
วาระ6 ปี (ไม่สามารถต่ออายุได้)
ตราสารจัดตั้งรัฐธรรมนูญเม็กซิโก
ตำแหน่งก่อนหน้าจักรพรรดิเม็กซิโก
สถาปนา10 ตุลาคม พ.ศ. 2367
คนแรกกัวดาลูเป บิกโตเรีย
รองรองประธานาธิบดีเม็กซิโก (ยกเลิก)
เงินตอบแทน208,570.92 เปโซเม็กซิโกต่อเดือน[1]
เว็บไซต์www.gob.mx/presidencia

ตำแหน่งประธานาธิบดีเม็กซิโก ถือเป็นตำแหน่งจากการปฏิวัติ ในแง่ที่ว่าอำนาจของตำแหน่งได้มาจากรัฐธรรมนูญฉบับปฏิวัติ พ.ศ. 2460 มรดกอีกประการหนึ่งของการปฏิวัติเม็กซิโก คือการห้ามผู้ที่ดำรงตำแหน่งนี้จนครบวาระลงสมัครเลือกตั้งใหม่ ประธานาธิบดีเม็กซิโกมีวาระการดำรงตำแหน่งเพียง 6 ปีเท่านั้น ซึ่งเรียกว่า เซกเซนิโอ (Sexenio) ผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งนี้จนครบวาระแล้ว (แม้จะรักษาการแทนก็ตาม) จะไม่ได้รับอนุญาตให้ดำรงตำแหน่งต่ออีก รัฐธรรมนูญและตำแหน่งประธานาธิบดีเม็กซิโกจึงมีความเกี่ยวข้องกันค่อนข้างมาก

ข้อกำหนดการดำรงตำแหน่ง แก้

หมวด 3 ของลักษณะ 3 ในรัฐธรรมนูญเม็กซิโกเกี่ยวข้องกับฝ่ายบริหารของรัฐบาลและกำหนดอำนาจของประธานาธิบดีตลอดจนคุณสมบัติสำหรับผู้ที่จะดำรงตำแหน่ง ประธานาธิบดีจะได้รับมอบ "อำนาจบริหารสูงสุดของสหภาพ"

มาตรา 82 ของรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าผู้ที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

  • เป็นพลเมืองเม็กซิโกโดยการเกิด (mexicano por nacimiento) สามารถใช้สิทธิความเป็นพลเมืองได้อย่างเต็มที่ และมีพ่อหรือแม่อย่างน้อยคนใดคนหนึ่งเป็นพลเมืองเม็กซิโกโดยการเกิด
  • เป็นผู้อยู่อาศัยในเม็กซิโกเป็นเวลาอย่างน้อย 20 ปี
  • มีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปีในขณะที่มีการเลือกตั้ง
  • เป็นผู้อยู่อาศัยในเม็กซิโกตลอดทั้งปีก่อนการเลือกตั้ง (แต่การอยู่นอกประเทศเป็นเวลา 30 วันหรือน้อยกว่านั้นไม่ถือว่าขาดระยะการอยู่อาศัย)
  • ไม่เป็นนักบวชหรือศาสนาจารย์ของศาสนจักรหรือลัทธินิกายใด ๆ
  • ไม่รับราชการทหารในช่วง 6 เดือนก่อนการเลือกตั้ง
  • ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีช่วยว่าการ อัยการสูงสุด ผู้ว่าการรัฐ หรือหัวหน้ารัฐบาลเม็กซิโกซิตี เว้นแต่ว่าจะได้ "ปลีกจากตำแหน่ง" (ลาออกหรือได้รับอนุญาตให้ลางานถาวร) อย่างน้อย 6 เดือนก่อนการเลือกตั้ง
  • ยังไม่เคยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี รวมทั้งในฐานะผู้รักษาการแทนประธานาธิบดี

การห้ามอดีตประธานาธิบดีเข้าร่วมการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งใด ๆ เกิดขึ้นย้อนหลังไปถึงผลพวงของ พอร์ฟิริอาโต้ ที่มาจากการปฏิวัติเม็กซิโก ซึ่งปะทุขึ้นหลังจาก ปอร์ฟิริโอ ดิอัซ ได้รับชัยชนะอย่างฉ้อฉลในการเลือกตั้ง 7 ครั้งติดต่อกัน[3] มันยังคงฝังแน่นอยู่ในการเมืองของเม็กซิโก แม้ว่าตำแหน่งอื่น ๆ ได้รับการผ่อนปรนลงบ้างแล้วก็ตาม โดยในปี พ.ศ. 2557 มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้นายกเทศมนตรี สมาชิกรัฐสภา และวุฒิสมาชิกสามารถดำรงตำแหน่งติดต่อกันเป็นสมัยที่ 2 ได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่และวุฒิสมาชิกถูกห้ามไม่ให้มีการเลือกตั้งใหม่ติดต่อกัน[4] อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งประธานาธิบดีก็ยังคงถูกห้ามจากการเลือกตั้งครั้งใหม่ตามเดิม

รัฐธรรมนูญเม็กซิโกยังไม่ได้มีการกำหนดคุณสมบัติทางวิชาการอย่างเป็นทางการเพื่อดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี อย่างไรก็ตามประธานาธิบดีส่วนใหญ่ในช่วงศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 มีอาชีพหนึ่งในสองสาขา ได้แก่ กองกำลังติดอาวุธ (โดยทั่วไปคือกองทัพ) หรือกฎหมาย ประธานาธิบดีมานูเอล อาบิลา กามาโช (พ.ศ. 2483-2489) เป็นประธานาธิบดีคนสุดท้ายที่เป็นนายทหารอาชีพ ผู้ดำรงตำแหน่งต่อจากเขาส่วนใหญ่เป็นทนายความ ในความเป็นจริงประธานาธิบดีทุกคนระหว่างปี พ.ศ. 2501 ถึง พ.ศ. 2531 จบการศึกษาจากโรงเรียนกฎหมาย ประธานาธิบดีซาลินัส (พ.ศ. 2531-2537) และเซดิโย (พ.ศ. 2537-2543) ต่างก็ได้รับการศึกษาให้เป็นนักเศรษฐศาสตร์ ตั้งแต่ช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตย ประธานาธิบดีมีพื้นฐานทางวิชาการที่กว้างขึ้น แม้ว่าประธานาธิบดีกัลเดรอน (พ.ศ. 2549–2555) และเปญญา นิเอโต (2555–2561) ต่างก็เป็นทนายความ แต่ก็ยังมีประธานาธิบดีบิเซนเต ฟอกซ์ (พ.ศ. 2543–2549) ที่ศึกษาด้านบริหารธุรกิจ และอันเดรส มานูเอล โลเปซ โอบราดอร์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันก็ศึกษาด้านรัฐศาสตร์

การเลือกตั้งประธานาธิบดี แก้

วาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเม็กซิโกกำหนดไว้ที่ 4 ปีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2364 ถึง พ.ศ. 2447 เมื่อประธานาธิบดี ปอร์ฟิริโอ ดิอัซ ขยายเวลาเป็น 6 ปีเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของเม็กซิโก และหลังจากนั้นก็มีการย้อนกลับไปเป็น 4 ปีอีกครั้งในปี พ.ศ. 2460 ถึง พ.ศ. 2471 หลังจากมีการใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งมีการยกเลิกการเปลี่ยนแปลงที่กระทำโดย ปอร์ฟิริโอ ดิอัซ ในปี พ.ศ. 2447

และในที่สุด วาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีถูกกำหนดไว้ที่ 6 ปีอีกครั้งในปี พ.ศ. 2471 และยังคงไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่นั้นมา ประธานาธิบดีได้รับการเลือกตั้งโดยการลงคะแนนเสียงโดยตรงที่เป็นที่นิยมและเป็นสากล ใครก็ตามที่ชนะคะแนนเสียงส่วนใหญ่ของประเทศก็จะได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี

อันเดรส มานูเอล โลเปซ โอบราดอร์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ได้รับเลือกในปี พ.ศ. 2561 ด้วยคะแนนนิยม 53 เปอร์เซ็นต์ ในปี พ.ศ. 2561[5] อดีตประธานาธิบดีคนล่าสุด เอนริเก เปญญา นิเอโต ได้รับคะแนนนิยม 38 เปอร์เซ็นต์ ในปี พ.ศ. 2555[6] อดีตประธานาธิบดี เฟลิเป กัลเดร่อน ชนะด้วยคะแนนเสียง 36.38 เปอร์เซ็นต์ ในการเลือกตั้งทั่วไปปี พ.ศ. 2549 โดยได้คะแนนมากกว่า อันเดรส มานูเอล โลเปซ โอบราดอร์ คู่แข่งที่มีคะแนนใกล้เคียงที่สุดเพียง 0.56 เปอร์เซ็นต์[7] ในปี พ.ศ. 2543 อดีตประธานาธิบดี บิเซนเต ฟอกซ์ ได้รับเลือกด้วยคะแนนนิยม 43 เปอร์เซ็นต์[8] เอร์เนสโต เซดิโย ได้รับคะแนนนิยม 48.7 เปอร์เซ็นต์ ในปี พ.ศ. 2537[9] และการ์โลส ซาลินัส ญาติของเขาก็ได้รับชัยชนะด้วยคะแนนเสียงข้างมาก 50.4 เปอร์เซ็นต์ ในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2531[10]

ตลอดระยะเวลาประวัติศาสตร์ของเม็กซิโกไม่ได้สงบสุข หลังจากการล่มสลายของเผด็จการ ปอร์ฟิริโอ ดิอัซ ในปี พ.ศ.2453 เกิดการปฏิวัติเม็กซิโกขึ้น ซึ่งก็ยังไม่มีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพจนกระทั่งปี พ.ศ. 2472 เมื่อผู้นำการปฏิวัติทั้งหมดรวมกันเป็นพรรคการเมืองเดียวเป็น พรรคปฏิวัติแห่งชาติ ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคแห่งการปฏิวัติเม็กซิกัน และปัจจุบันคือ พรรคปฏิวัติ สถาบัน (สเปน: Partido Revolucionario Institucional) หรือพรรคพีอาไอ ตั้งแต่นั้นมาจนถึงปี พ.ศ. 2531 พรรคนี้ก็ได้ปกครองเม็กซิโกในฐานะรัฐเสมือนพรรคเดียว

ในช่วงสิ้นสุดวาระ ผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจะมีการปรึกษาหารือกับผู้นำพรรค เพื่อเลือกผู้สมัครของ พรรคพีอาไอ ในการเลือกตั้งครั้งหน้าโดยใช้กระบวนการที่เรียกว่า "การแตะนิ้ว" (สเปน: el dedazo) จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2531 ผู้สมัครของพรรคพีอาไอ แทบจะมั่นใจได้เลยว่าจะต้องได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งอย่างแน่นอน โดยต้องได้รับชัยชนะด้วยคะแนนเสียงที่มากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์

อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ. 2531 พรรคพีอาไอ เกิดการแตกแยก และฝ่ายที่คัดค้านได้จัดตั้งแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติขึ้น โดยมีพรรคฝ่ายซ้ายกลางที่เป็นคู่แข่งกัน (ปัจจุบันคือพรรคพีอาดี) ความไม่พอใจต่อพรรคพีอาไอ และคะแนนนิยมของ กูเอาเตมอค คาร์เดนาส ผู้สมัครจากแนวหน้าทำให้เกิดความกังวลว่า การ์โลส ซาลินัส เด กอร์ตาริ ผู้สมัครพรรคพีอาไอ จะไม่ได้เสียงข้างมาก และอาจพ่ายแพ้ ขณะที่กำลังนับคะแนน ระบบตารางก็ปิดตัวลงอย่างลึกลับ รัฐบาลประกาศให้ซาลินัสเป็นผู้ชนะ ซึ่งนำไปสู่การกล่าวหาว่าทุจริตการเลือกตั้ง[11]

การเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาของรัฐบาลกลางในปี พ.ศ. 2540 มีสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายค้านเป็นครั้งแรก และการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2543 ทำให้ วินเซนต์ ฟอกซ์ จากพันธมิตร พีเอเอ็น/พีวีอีเอ็ม กลายเป็นผู้สมัครฝ่ายค้านคนแรกที่ชนะการเลือกตั้งนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2454 เป็นต้นมา ความพ่ายแพ้ครั้งประวัติศาสตร์นี้ได้รับการยอมรับในคืนวันเลือกตั้งโดย พีอาไอ ซึ่งมีคำกล่าวของประธานาธิบดีเซดิโย "แม้ว่าสิ่งนี้จะสงบแต่ก็เกรงว่าจะเกิดความรุนแรง" แต่ก็จุดชนวนให้เกิดคำถามเกี่ยวกับบทบาทของประธานาธิบดีในกระบวนการเลือกตั้ง และความรับผิดชอบในการยอมรับความพ่ายแพ้ควรตกเป็นของใครในการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย

ประธานาธิบดีที่ได้รับเลือก แก้

หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดี พรรคการเมืองอาจต้องเผชิญกับท้าทายจากการเลือกตั้ง ความท้าทายเหล่านี้ได้รับการรับฟังโดยคณะตุลาการการเลือกตั้งแห่งอำนาจตุลาการของรัฐบาลกลาง หลังจากที่ได้ยินและตัดสินพวกเขาแล้ว ศาลจะต้องประกาศการเลือกตั้งเป็นโมฆะหรือรับรองผลการเลือกตั้ง ตามคำตัดสินของพวกเขา เมื่อศาลตัดสินว่าการเลือกตั้งถูกต้อง กอนส์ตันเซียเดมาโยริอา (Constancia de Mayoría) ให้กับผู้สมัครที่ได้รับคะแนนเสียงข้างมาก จากนั้นผู้สมัครคนนั้นจะกลายเป็นประธานาธิบดีที่ได้รับเลือก การตัดสินใจขั้นสุดท้ายนี้จะเกิดขึ้นในเดือนกันยายน 2 เดือนหลังการเลือกตั้ง[12]

อำนาจประธานาธิบดี แก้

รัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2460 เป็นรัฐธรรมนูญที่มีการคัดลอกมาจากรัฐธรรมนูญของสหรัฐเป็นส่วนใหญ่ ทำให้มีการแบ่งแยกอำนาจอย่างชัดเจน ในขณะที่ให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีที่กว้างกว่าของชาวอเมริกัน

ในช่วง 71 ปีแรกหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2460 ประธานาธิบดีใช้อำนาจควบคุมประเทศเกือบทั้งหมด อำนาจส่วนใหญ่มาจากสถานะผูกขาดโดยพฤตินัยของพรรคพีอาไอ ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น พวกเขาเลือกผู้สืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีได้ โดยการเสนอชื่อผู้สมัครของพรรคพีอาไอ ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปเป็นการส่วนตัว นอกจากนี้ กฎที่ไม่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรของพรรคพีอาไอ ทำให้สามารถกำหนดเจ้าหน้าที่ของพรรคและผู้สมัครลงไปจนถึงระดับท้องถิ่นได้ พวกเขาจึงมีอิทธิพลสำคัญ (แต่ไม่ใช่เอกสิทธิ์) เหนือการเมืองของประเทศ (อำนาจส่วนหนึ่งต้องแบ่งปันกับสหภาพแรงงานและกลุ่มอื่น ๆ แต่ในฐานะปัจเจกบุคคล) สิ่งนี้และอำนาจตามรัฐธรรมนูญของพวกเขาทำให้นักวิจารณ์การเมืองบางคนอธิบายว่าประธานาธิบดีเป็นเผด็จการ 6 ปี และเรียกระบบนี้ว่า "ประธานาธิบดีแบบจักรวรรดิ" สถานการณ์ส่วนใหญ่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจนถึงต้นทศวรรษ 1980 เมื่อวิกฤตเศรษฐกิจร้ายแรงสร้างความไม่สบายใจทั้งต่อประชากรและภายในพรรค และอำนาจของประธานาธิบดีก็ไม่แน่นอนอีกต่อไปแต่ยังคงน่าพึงพอใจ

ลักษณะสำคัญของระบบนี้คือประธานาธิบดีคนใหม่ได้รับเลือกโดยตรงจากประธานาธิบดีคนเก่า (เนื่องจากผู้สมัครพรรคพีอาไอ ได้รับการเลือกตั้งแน่นอน) แต่เมื่อพวกเขาขึ้นครองอำนาจ คนเก่าก็สูญเสียอำนาจและอิทธิพลทั้งหมด ("ไม่มีการเลือกตั้งใหม่" เป็นรากฐานที่สำคัญของการเมืองเม็กซิโก) ในความเป็นจริง ประเพณีเรียกร้องให้ผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีค่อย ๆ จางหายไปในเบื้องหลังระหว่างการหาเสียงเพื่อเลือกผู้สืบทอดตำแหน่ง คำสั่งที่ได้รับการปรับปรุงใหม่นี้ช่วยรักษาระเบียบวินัยของพรรคและหลีกเลี่ยงความซบเซาที่เกี่ยวข้องกับบุคคลคนเดียวที่กุมอำนาจมานานหลายทศวรรษ ทำให้มาริโอ บาร์กัส โลซา นักประพันธ์ชาวเปรู เรียกระบบการเมืองของเม็กซิโกว่า "เผด็จการที่สมบูรณ์แบบ" เนื่องจากอำนาจของประธานาธิบดีถูกปิดบังด้วยแนวทางประชาธิปไตย

ด้วยการปฏิรูปประชาธิปไตยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาและการเลือกตั้งที่ยุติธรรมมากขึ้น อำนาจของประธานาธิบดีจึงถูกจำกัดทั้งในแง่ของความเป็นจริงและในนาม วาร์กัส โลซา ระหว่างการบริหารของ ฟอกซ์ เรียกระบบใหม่นี้ว่า "ประชาธิปไตยที่ไม่สมบูรณ์" สิทธิและอำนาจในปัจจุบันของประธานาธิบดีเม็กซิโกได้รับการกำหนด จำกัด และแจกแจงโดยมาตรา 89 ของรัฐธรรมนูญดังต่อไปนี้:

  • ประกาศใช้และบังคับใช้กฎหมายที่ตราขึ้นโดยสภาคองเกรส โดยจัดให้อยู่ในขอบเขตการบริหารเพื่อให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
  • แต่งตั้งและถอดถอนเลขาธิการแห่งรัฐอย่างอิสระ ถอดเอกอัครราชทูต กงสุลใหญ่และพนักงานอาวุโสของกระทรวงการคลัง แต่งตั้งและถอดถอนพนักงานอื่น ๆ ของสหภาพได้อย่างอิสระซึ่งการแต่งตั้งหรือถอดถอน ไม่ได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย
  • แต่งตั้งเอกอัครราชทูต กงสุลใหญ่ พนักงานระดับสูงของกระทรวงการคลังและสมาชิกของหน่วยงานกำกับดูแลด้านโทรคมนาคม พลังงาน และเศรษฐกิจ โดยความเห็นชอบของวุฒิสภา
  • แต่งตั้งพันเอกและนายพลและเจ้าหน้าที่ธงของกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ โดยความเห็นชอบของวุฒิสภา
  • รักษาความมั่นคงของชาติภายใต้ข้อกำหนดของกฎหมายนั้น ๆ และมีกองกำลังถาวรทั้งหมด ได้แก่ กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ เพื่อความมั่นคงภายในและการป้องกันภายนอกของสหพันธรัฐ
  • กำหนดให้หน่วยพิทักษ์ชาติมีหน้าที่และความรับผิดชอบเช่นเดียวกัน ในบทบัญญัติหมวดที่ 4 มาตรา 76
  • ประกาศสงครามในนามของสหรัฐเม็กซิโกโดยได้รับความยินยอมจากรัฐสภาแห่งสหภาพ
  • แทรกแซงการแต่งตั้งอัยการสูงสุดแห่งสหรัฐเม็กซิโกและสามารถถอดถอนในแง่ของบทบัญญัติของมาตรา 102 หมวด A ของรัฐธรรมนูญนี้
  • ดำเนินนโยบายต่างประเทศและสรุปสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ประณาม ระงับ แก้ไข ยุติข้อสงวนและออกแถลงการณ์ตีความในนั้น แล้วส่งเพื่อขอความเห็นชอบจากวุฒิสภา ในการดำเนินนโยบายดังกล่าว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารจะต้องปฏิบัติตามหลักการเชิงบรรทัดฐานดังต่อไปนี้ การเห็นชอบโดยประชาชน การไม่แทรกแซง การระงับข้อพิพาทอย่างสันติ การห้ามการคุกคามหรือการใช้กำลังในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความเสมอภาคทางกฎหมายของรัฐ ความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อการพัฒนา ความเคารพ การคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและการต่อสู้เพื่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ
  • ประชุมรัฐสภาเป็นวาระพิเศษ เมื่อเห็นชอบโดยคณะกรรมาธิการสามัญ
  • ให้ความช่วยเหลือแก่ฝ่ายตุลาการที่พวกเขาต้องการสำหรับการปฏิบัติหน้าที่อย่างรวดเร็ว
  • เปิดใช้งานท่าเรือทุกประเภท กำหนดศุลกากรทางทะเลและชายแดน และกำหนดตำแหน่งที่ตั้ง
  • ตามกฎหมาย ให้อภัยโทษแก่อาชญากรที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดตามเขตอำนาจศาลของศาลรัฐบาลกลาง
  • ให้สิทธิพิเศษเฉพาะในระยะเวลาจำกัดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แก่ผู้ค้นพบ นักประดิษฐ์ หรือผู้เป็นเลิศในสาขาใด ๆ ของอุตสาหกรรม
  • เมื่อวุฒิสภาไม่ได้อยู่ในสมัยประชุม ประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐอาจทำการแต่งตั้งตามที่กล่าวไว้ในมาตรา 3 4 และ 9 โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมาธิการเสมอ
  • เลือกรัฐบาลผสมที่มีพรรคการเมืองอย่างน้อยหนึ่งพรรคเป็นตัวแทนในสภาคองเกรสได้ทุกเมื่อ
  • สามารถยื่นต่อวุฒิสภาให้รายชื่อผู้สมัครทั้ง 3 คนให้แต่งตั้งผู้พิพากษาศาลฎีกาและยื่นใบถอดถอนเพื่อขออนุมัติใบอนุญาตจากวุฒิสภา
  • คัดค้านการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการที่ตั้งผู้ค้ำประกันมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญนี้ที่วุฒิสภากำหนดภายใต้ข้อกำหนดที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้และกฎหมาย
  • อื่น ๆ บัญญัติไว้โดยชัดเจนตามรัฐธรรมนูญนี้

กฤษฎีกาเป็นเครื่องมือทางกฎหมายที่มีวันหมดอายุและออกโดยหนึ่งใน 3 หน่วยงานของรัฐบาล สภาคองเกรสอาจออกกฤษฎีกา และประธานาธิบดีอาจออกกฤษฎีกาเช่นกัน อย่างไรก็ตาม พวกเขามีอำนาจทั้งหมดของกฎหมาย แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้นอกจากอำนาจที่ออกกฎหมายให้กฤษฎีกามีขอบเขตจำกัดมาก กฤษฎีกาประการหนึ่งคืองบประมาณของรัฐบาลกลางซึ่งออกโดยสภาคองเกรส สำนักงานของประธานาธิบดีอาจเสนองบประมาณ แต่ท้ายที่สุด สภาคองเกรสยังคงเป็นผู้กำหนดวิธีการเก็บภาษีและวิธีใช้จ่าย คำตัดสินของศาลฎีกาเกี่ยวกับการยับยั้งงบประมาณปี พ.ศ. 2547 ของบิเซนเต ฟอกซ์ ชี้ให้เห็นว่าประธานาธิบดีอาจมีสิทธิ์ยับยั้งกฤษฎีกาจากสภาคองเกรสได้

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 สภาคองเกรสเป็นพหูพจน์ โดยปกติแล้วพรรคฝ่ายค้านจะได้เสียงข้างมาก การปฏิรูปที่สำคัญ (ภาษี พลังงาน) ต้องผ่านสภาคองเกรส และประธานาธิบดีผู้ปกครองมักพบว่าความพยายามของพวกเขาถูกปิดกั้น เช่น เซดิโย จากพรรคพีอาไอ คัดค้านสมาชิกสภาคองเกรส พีเอเอ็น/พีอาดี และต่อมา ฟอกซ์ จากพรรคพีเอเอ็น โดย พีอาไอ พีอาดี และพีเอเอ็น จะผลักดันการปฏิรูปที่ พีอาไอ ปฏิเสธและในทางกลับกัน สถานการณ์นี้ถือเป็นเรื่องใหม่ในประเทศที่สภาคองเกรสถูกครอบงำโดยพรรคของประธานาธิบดีเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นเวลาเกือบตลอดศตวรรษ ซึ่งนำไปสู่การวิเคราะห์ทางกฎหมายเกี่ยวกับอำนาจของประธานาธิบดี ก่อนหน้านี้เกือบจะเป็นเผด็จการ (เพราะพรรคพีอาไอ มีอิทธิพล) เวลาปัจจุบันแสดงอำนาจของประธานาธิบดีค่อนข้างจำกัด ในปี พ.ศ. 2547 ประธานาธิบดีฟอกซ์ ขู่ว่าจะยับยั้งงบประมาณที่ได้รับอนุมัติจากสภาคองเกรส โดยอ้างว่างบประมาณเกินขอบเขตอำนาจของเขาในการเป็นผู้นำประเทศ เพียงเพื่อจะได้รู้ว่าไม่มีหน่วยงานใดของรัฐบาลมีอำนาจยับยั้งกฤษฎีกาที่ออกโดยหน่วยงานรัฐบาลอื่น (แม้ว่าจะเป็นหน่วยงานอื่น ตามการวินิจฉัยนอกหลักนิติศาสตร์ระบุสามารถคืนงบประมาณพร้อมข้อสังเกตได้)

คำสาบานของตำแหน่ง แก้

เมื่อเข้ารับตำแหน่ง ประธานาธิบดีจะยกแขนขวาขึ้นสูงในระดับไหล่และกล่าวคำสาบานดังต่อไปนี้

Protesto guardar y hacer guardar la Constitución Política de los Estados Unidos Mexicanos y las leyes que de ella emanen, y desempeñar leal y patrióticamente el cargo de Presidente de la República que el pueblo me ha conferido, mirando en todo por el bien y prosperidad de la Unión; y si así no lo hiciere que la Nación me lo demande.

แปลเป็นภาษาไทยได้ความว่า

ข้าพเจ้าขอสาบานว่าจะปฏิบัติตามและยึดมั่นในรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐเม็กซิโกและกฎหมายที่มาจากรัฐธรรมนูญ และจะปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอย่างซื่อสัตย์และรักชาติซึ่งประชาชนได้มอบให้แก่ข้าพเจ้า ในทุกการกระทำเพื่อดูแลความสงบสุข และความเจริญรุ่งเรืองของสหภาพ และถ้าหากข้าพเจ้าไม่ทำตามคำสาบาน ประเทศชาติจะเรียกร้องเอาจากข้าพเจ้าก็ได้

สายสะพายและธงประจำตำแหน่ง แก้

 
ธงประจำตำแหน่งประธานาธิบดี สำหรับใช้ในเรือเดินสมุทร

สายสะพายของประธานาธิบดีเม็กซิโก มีลักษณะเป็นสีธงชาติเม็กซิโก 3 แถบที่มีความกว้างเท่ากัน ด้านบนสีเขียว สีขาวตรงกลาง และสีแดงด้านล่าง คาดจากไหล่ขวาถึงเอวซ้าย นอกจากนี้ยังรวมถึงตราแผ่นดินด้วยด้ายสีทองที่จะสวมใส่ในระดับหน้าอก ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2561 มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 34 เพื่อจัดลำดับสีของสายสะพายใหม่ มีการสร้างสายสะพายใหม่โดยให้สีของสายสะพายกลับไปสู่ลำดับก่อนหน้าที่ใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2467 ถึง พ.ศ. 2552[13] ในพิธีสาบานตน ประธานาธิบดีคนปัจจุบันจะถอดสายสะพายให้กับประธานสภาผู้แทนราษฎรคนปัจจุบัน ซึ่งจะมอบให้กับประธานาธิบดีคนใหม่หลังจากที่เข้าสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง สายสะพายเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจบริหารของรัฐบาลกลาง และมีเพียงผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนปัจจุบันเท่านั้นที่สามารถสวมใส่ได้

ตามมาตรา 35 ของกฎหมายว่าด้วยอาวุธ ธงชาติ และเพลงชาติ ประธานาธิบดีต้องสวมสายสะพายในโอกาสต่าง ๆ เช่น พิธีสาบานตน ทำรายงานสถานะประจำปีของสหภาพต่อสภาคองเกรส ในระหว่างการรำลึกถึง กริโตเดโดโลเรส ในวันที่ 15 กันยายนของทุกปี และเมื่อได้รับหนังสือรับรองทางการทูตของเอกอัครราชทูตและรัฐมนตรีต่างประเทศที่ได้รับการรับรอง หรืออาจจะสวมใส่ "ในพิธีอย่างเป็นทางการที่เคร่งขรึมที่สุด" สายคาดเอวสวมจากไหล่ขวาถึงสะโพกซ้าย และควรสวมไว้ใต้เสื้อโคต ข้อยกเว้นประการเดียวคือในระหว่างพิธีสาบานตน เมื่อสวมเสื้อคลุมเพื่อให้ประธานาธิบดีที่พ้นจากตำแหน่งสามารถถอดสายสะพายออกและคลุมประธานาธิบดีที่เข้ามาใหม่ได้ง่าย (มาตรา 36)

นอกจากสายสะพายประธานาธิบดีแล้ว ประธานาธิบดีแต่ละคนยังได้รับธงประจำตำแหน่งประธานาธิบดีอีกด้วย ธงได้ประทับคำว่า "Estados Unidos Mexicanos" (สหรัฐเม็กซิโก) ด้วยตัวอักษรสีทองและและตราแผ่นดินก็เป็นสีทองเช่นกัน

ทำเนียบประธานาธิบดี แก้

ที่พำนักอย่างเป็นทางการและที่ทำงานของประธานาธิบดีคือ พระราชวังแห่งชาติ ซึ่งเป็นอาคารที่หันหน้าเข้าหา จัตุรัสรัฐธรรมนูญ (Zócalo) ในเม็กซิโกซิตี สถานที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของศูนย์กลางทางอำนาจมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิแอซเท็ก โดยวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างอาคารถูกนำมาจากพระราชวังของจักรพรรดิมอกเตซูมาที่ 2 แห่งแอซเท็ก[14] ประธานาธิบดียังใช้พระราชวังชาปุลเตเปก ซึ่งเดิมเคยเป็นพระราชวังของจักรวรรดิเม็กซิโกที่ 2 และต่อมาเป็นที่พำนักอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีเม็กซิโกจนถึงปี พ.ศ. 2477 เมื่อ ลาซาโร การ์เดนัส สร้างที่พำนักของประธานาธิบดีที่ โลสปิโนส ต่อมา อันเดรส มานูเอล โลเปซ โอบราดอร์ ก็ทำการย้ายที่พำนักของประธานาธิบดีกลับมาที่ พระราชวังแห่งชาติ อีกครั้งหลักเข้าดำรงตำแหน่งในปี พ.ศ. 2561[15]

การสืบทอดตำแหน่ง แก้

มาตรา 84 และ 85 ของรัฐธรรมนูญเม็กซิโกระบุว่า "ในกรณีที่ไม่มีประธานาธิบดี" สิ่งต่อไปนี้ควรจะเกิดขึ้น

  • เลขาธิการกระทรวงมหาดไทย (Secretario de Gobernación) จะใช้อำนาจบริหารชั่วคราว (Presidente Provisional) จนกว่าสภาคองเกรสจะแต่งตั้งประธานาธิบดีชั่วคราว (Presidente Provisional) แต่จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคณะรัฐมนตรีได้หากไม่ได้รับคำแนะนำและความยินยอมจากวุฒิสภา พวกเขาต้องจัดทำรายงานอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการกระทำของตนภายในสิบวันหลังจากออกจากตำแหน่ง สภาคองเกรสต้องเลือกประธานาธิบดีชั่วคราวหรือประธานาธิบดีแทนภายใน 60 วันนับจากวันที่ขาดผู้ดำรงตำแหน่ง กระทรวงมหาดไทยไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดทั้งหมดสำหรับตำแหน่งประธานาธิบดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาไม่จำเป็นต้องมีอายุตามข้อกำหนดด้านอายุหรือถิ่นที่อยู่ หรือข้อกำหนดที่จะไม่ดำรงตำแหน่งรัฐบาลบางตำแหน่ง (เลขาธิการรัฐ ปลัดกระทรวงของรัฐ ฯลฯ)
  • หากสภาคองเกรสไม่อยู่ในเซสชั่น คณะกรรมาธิการถาวรจะเรียกสภาคองเกรสเข้าสู่เซสชั่นวิสามัญ ซึ่งกระบวนการจะดำเนินต่อไปตามด้านล่าง
  • หากการขาดตำแหน่ง (การเสียชีวิต การถอดถอน ฯลฯ) โดยเกิดขึ้นใน 2 ปีแรกของวาระ (หากอยู่ในสมัยประชุม หรือหลังจากได้รับการเรียกเข้าสู่สมัยวิสามัญโดยคณะกรรมาธิการถาวร) รัฐสภาจะต้องเลือกโดยใช้คะแนนเสียงข้างมากในการลงคะแนนลับโดยมีสมาชิกอย่างน้อย 2 ใน 3 เป็นองค์ประชุม (Presidente Interino) สภาคองเกรสต้องเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งภายในเวลาไม่น้อยกว่า 14 เดือนและไม่เกิน 18 เดือนหลังจากที่ประธานาธิบดีไม่อยู่ บุคคลที่ชนะการเลือกตั้งเหล่านั้นจะได้เป็นประธานาธิบดีตามวาระที่เหลืออยู่ของประธานาธิบดีเดิม คือ 6 ปี
  • หากการขาดหายไปเกิดขึ้นในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาของวาระ สภาคองเกรส (หากอยู่ในสมัยประชุมหรือหลังจากได้รับการเรียกเข้าสู่สมัยวิสามัญโดยคณะกรรมาธิการถาวร) จะเลือกประธานาธิบดีแทน (Presidente Substituto) โดยการลงคะแนนเสียงส่วนใหญ่ในการลงคะแนนลับ ดังกล่าวข้างต้น ประธานาธิบดีแทนจะเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐเม็กซิโกจนกว่าจะสิ้นสุดวาระประธานาธิบดีเดิม 6 ปี ซึ่งจะมีการเลือกตั้งตามปกติ
  • หากประธานาธิบดีที่ได้รับการเลือกตั้งไม่สามารถดำรงตำแหน่งได้ก่อนที่จะสาบานตน ประธานวุฒิสภาจะเข้ารับตำแหน่งบริหารเป็นการชั่วคราวจนกว่ารัฐสภา (หากอยู่ในสมัยประชุมหรือหลังจากที่คณะกรรมาธิการถาวรเรียกเข้าสู่สมัยประชุมวิสามัญ) จะสามารถเลือกประธานชั่วคราวได้ตามที่ระบุไว้ ข้างบน

ตามมาตรา 83 ห้ามมิให้บุคคลที่เคยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแล้ว ไม่ว่าจะได้รับเลือก ชั่วคราว หรือรักษาการแทน ดังนั้นประธานาธิบดีเฉพาะกาลข้างต้นจึงจะไม่สามารถดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีได้อีก

การแต่งตั้งเลขาธิการมหาดไทยเป็นผู้สืบทอดโดยตรงมีผลตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2555 หลังมีการเผยแพร่การเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญในวารสารทางการของสหพันธ์

บทบัญญัติการสืบทอดตำแหน่งเข้ามามีบทบาทเพียง 2 ครั้งนับตั้งแต่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน โดยในปี พ.ศ. 2471 หลังจากการลอบสังหาร อัลบาโร โอเบรกอน ซึ่งเป็นประธานาธิบดีที่ได้รับเลือก สภาคองเกรสจึงได้แต่งตั้ง เอมิลิโอ ปอร์เตส กิล เป็นประธานาธิบดีชั่วคราว เอมิลิโอ ปอร์เตส กิล ดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 14 เดือนจนกระทั่งมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ ปัสกวล ออร์ติซ รูบิโอ ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีในการเลือกตั้งพิเศษที่ตามมาในปี พ.ศ. 2473 แต่เขาก็ทำการลาออกในปี พ.ศ. 2475 จากนั้น อาเบลาร์โด เอเล. โรดริเกซ จึงได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดีชั่วคราวเพื่อดำรงตำแหน่งที่เหลืออยู่ตามวาระของ ออร์ติซ รูบิโอ (ภายใต้กฎหมายปัจจุบัน โรดริเกซ จะเป็นประธานาธิบดีแทน แต่ในเวลานั้นไม่มีความแตกต่างระหว่างประธานาธิบดีเฉพาะกาล ประธานสำรอง และประธานชั่วคราว)

หลังดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี แก้

อดีตประธานาธิบดีของเม็กซิโกยังคงถูกเรียกว่า "ประธานาธิบดี" ต่อไปจนกว่าจะถึงแก่กรรม แต่ไม่ค่อยมีใครนิยมเรียก แต่พวกเขาถูกเรียกกันทั่วไปว่า"อดีตประธานาธิบดี" อีกทั้งพวกเขายังได้รับความคุ้มครองจากการเป็นอดีตประธานาธิบดีอีกด้วย ก่อนปี พ.ศ. 2561 อดีตประธานาธิบดีเคยได้รับเงินบำนาญตลอดชีพเช่นกัน แม้ว่าพวกเขาจะปฏิเสธได้เหมือนที่ เอร์เนสโต เซดิโย ได้ทำ อย่างไรก็ตามเงินบำนาญนี้ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ในปี พ.ศ. 2561[16]

ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ ประเทศ คืออดีตประธานาธิบดีของเม็กซิโกไม่ได้เป็นบุคคลสำคัญระดับชาติอีกต่อไปเมื่อพ้นจากตำแหน่ง และมักจะใช้ชีวิตอย่างสุขุมรอบคอบ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขาไม่ต้องการแทรกแซงรัฐบาลของประธานาธิบดีคนใหม่ และอีกส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะพวกเขาอาจมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อสาธารณชน[17] ประเพณีนี้สามารถสืบย้อนไปถึงตำแหน่งประธานาธิบดีของ ลาซาโร การ์เดนัส โดยอดีตประธานาธิบดี ปลูตาร์โก เอลิอัส กาเยส ได้เลือกเขาเป็นผู้สืบทอดเป็นการส่วนตัว และหวังว่าจะสามารถควบคุมสิ่งต่าง ๆ จากเบื้องหลังเหมือนกับที่เขามีมาตลอด 5 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม เมื่อ การ์เดนัส ต้องการที่จะแสดงให้เห็นว่าเขากำลังจะปกครองทั้งในนามจริงและในนาม กาเยส ก็วิจารณ์เขาต่อสาธารณชน ทำให้ การ์เดนัส ต้องให้ตำรวจทหารพา กาเยส ออกนอกประเทศ[18] การ์เดนัส เองยังคงนิ่งเฉยต่อนโยบายของ มานูเอล อาบิลา กามาโช ผู้สืบทอดตำแหน่ง โดยสร้างประเพณีว่าอดีตประธานาธิบดีจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้สืบทอดตำแหน่ง

ตัวอย่างเช่น เอร์เนสโต เซดิโย มีตำแหน่งสำคัญในสหประชาชาติและในภาคเอกชน แต่อยู่นอกเม็กซิโก สันนิษฐานว่าเขาอยู่ในการเนรเทศตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงความเกลียดชังของเพื่อนสมาชิกบางคนของ พีอาไอ ที่ยอมรับความพ่ายแพ้ของ พีอาไอ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี พ.ศ. 2543[19] การ์โลส ซาลินัส เด กอร์ตาริ ยังคงอาศัยอยู่ในประเทศไอร์แลนด์หลังถูกเนรเทศด้วยตนเอง แต่ก็กลับมายังเม็กซิโกเพื่อรณรงค์อย่างเข้มข้นให้น้องชายของเขา ราอุล ซาลินัส เป็นอิสระหลังจากที่เขาถูกจำคุกในช่วงแรก ๆ ของการดำรงตำแหน่งของ เซดิโย โดยถูกกล่าวหาว่าค้ายาเสพติดและวางแผนลอบสังหาร โฮเซ ฟรานซิสโก รุยซ์ มาสซิเยอ การ์โลส ซาลินัส ยังเขียนหนังสือเกี่ยวกับเม็กซิโกเสรีนิยมใหม่ ได้รับตำแหน่งในบริษัทดาวโจนส์ในสหรัฐ และทำงานเป็นศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงหลายแห่งในประเทศนั้น เอร์เนสโต เซดิโย และ เฟลิเป กัลเดรอน สองอดีตประธานาธิบดีที่ยังมีชีวิตรอดอาศัยอยู่ในสหรัฐและสอนในมหาวิทยาลัยที่พวกเขาศึกษาอยู่ โดย เซดิโย ที่มหาวิทยาลัยเยล และ กัลเดรอน ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

นอกจาก การ์โลส ซาลินัส เด กอร์ตาริ แล้ว อดีตประธานาธิบดีอีก 2 คนที่ยังมีชีวิตอยู่ (บิเซนเต ฟอกซ์ และ เอนริเก เปญญา นิเอโต) ยังคงอาศัยอยู่ในเม็กซิโก โดยเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2549 เอเชเวอร์เรีย ถูกกักบริเวณในบ้านพักภายใต้ข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จากบทบาทของเขาในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยระหว่างการสังหารหมู่ที่ตลาเตโลลโก ในปี พ.ศ. 2511[20] โดยการกักบริเวณในบ้านถูกยกเลิกในปี พ.ศ. 2552

รายชื่อประธานาธิบดีเม็กซิโก แก้

อ้างอิง แก้

  1. At an exchange rate of 20.94 pesos to one dollar, approximately $9,960.40 per month; the salary after taxes is listed as MXN$142,256.56 (US$6,793.53)."Portal de Obligaciones de Transparencia". 17 August 2017. สืบค้นเมื่อ 26 October 2020.
  2. Article 80, Constitution of Mexico. "Constitución Política de los Estados Unidos Mexicanos" (PDF) (ภาษาสเปน). Cámara de Diputados. p. 55. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2 January 2013. สืบค้นเมื่อ 22 September 2011.
  3. Fabian Coehlo, "Sufragio efectivo, no reelección" [Effective suffrage, no reelection], Cultura Genial (ภาษาสเปน), สืบค้นเมื่อ 28 July 2019
  4. "Reelección inicia en 2018, ¿cómo funcionará?" [Reelection begins in 2018; how will it work?], Politico.mx (ภาษาสเปน), 15 June 2017, สืบค้นเมื่อ 28 July 2019
  5. "México: Así quedaron los resultados oficiales de la elección presidencial, ¿por cuánto ganó AMLO según el INE?" [Mexico: Here are the official results of the presidential election; How much did AMLO win by, according to INE?] (ภาษาสเปน). Fayer Wayer. 7 July 2018. สืบค้นเมื่อ 28 July 2019.
  6. "Enrique Pena Nieto wins Mexican presidential election". The Daily Telegraph (London). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 January 2022. สืบค้นเมื่อ 12 December 2012.
  7. "2006 Presidential Electoral Results". Political Database of the Americas, Center for Latinamerican Studies, Georgetown.edu. 26 November 2007. สืบค้นเมื่อ 28 July 2019.
  8. "Elecciones de 2000, una advertencia para el PRI en 2018" [2000 election, a warning for PRI in 2018] (ภาษาสเปน). Politico MX. 4 April 2018. สืบค้นเมื่อ 28 July 2019.
  9. "Elecciones en México 1979 – 2015" [Elections in Mexico 1979–2015] (ภาษาสเปน). Historia Electoral.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-04-13. สืบค้นเมื่อ 28 July 2019.
  10. Manuel Suarez Mier (7 July 2006). "México: Elecciones 1988 y 2006" [Elections 1988 and 2006] (ภาษาสเปน). El Cato.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-04-13. สืบค้นเมื่อ 28 July 2019.
  11. Buckman, Robert T. (2007). The World Today Series: Latin America 2007. Harpers Ferry, West Virginia: Stryker-Post Publications. ISBN 978-1-887985-84-0.
  12. "About Us". Electoral Tribunal of the Federal Judicial Branch. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 March 2013. สืบค้นเมื่อ 20 July 2012.
  13. Canal del Congreso México (1 December 2018), Banda Presidencial, เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 December 2021, สืบค้นเมื่อ 1 December 2018
  14. Casas nuevas de Moctezuma เก็บถาวร 2018-09-03 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Historia.palacionacional.info
  15. "¿Cómo es la nueva residencia oficial del presidente de México?" [How is the new official residence of the President of Mexico?] (ภาษาสเปน). La Voz de Michoacan. 14 December 2018. สืบค้นเมื่อ 28 July 2019.
  16. El Debate (14 September 2018). "Oficial: Eliminan pensión de ex-presidentes" (ภาษาสเปน). Debate. สืบค้นเมื่อ 2 December 2018.
  17. "Por qué se van de México los expresidentes" [Why ex-presidents leave Mexico]. BBC News Mundo (ภาษาสเปน). 5 December 2012. สืบค้นเมื่อ 23 May 2022.
  18. Cruz Rivera, Dulce Liliana. "El exilo de Plutarco Elías Calles" [The exile of Plutarco Elías Calles]. Instituto Nacional de Estudios Históricos de la Revolución Mexicana (ภาษาสเปน). สืบค้นเมื่อ 23 May 2022.
  19. Krauze, Enrique (19 March 2012). "Un digno expresidente" [A worthy former president]. Letras Libres (ภาษาสเปน). สืบค้นเมื่อ 23 May 2022.
  20. "Echeverría, bajo prisión preventiva domiciliaria – El Universal – México". El Universal. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-07-23. สืบค้นเมื่อ 19 September 2012.

แหล่งข้อมูลอื่น แก้