บริการสุขภาพในสหราชอาณาจักร

บริการสุขภาพในสหราชอาณาจักร เป็นกิจการที่อำนาจเป็นของท้องถิ่นในประเทศอังกฤษ ไอร์แลนด์เหนือ สกอตแลนด์ และเวลส์ ในแต่ละประเทศยังประกอบด้วยบริการสุขภาพที่รัฐเป็นผู้อุดหนุนเป็นของตนเอง ภายใต้งบประมาณจากรัฐบาลและรัฐสภาคนละส่วนกัน ในแต่ละประเทศจึงมีนโยบายสุขภาพ ลำดับขั้นความสำคัญ และการจัดสรรงบประมาณที่แตกต่างกัน นับตั้งแต่การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น[1][2] บริการสุขภาพในทั้งสี่ประเทศสามารถดูเพิ่มที่บริการสุขภาพในประเทศอังกฤษ, เวลส์, สกอตแลนด์ และไอร์แลนด์เหนือ

โรงพยาบาลเซนต์ทอมาซิส โรงพยาบาลสอนสังกัดเอ็นเอชเอสแห่งหนึ่งในลอนดอน

ถึงแม้จะมีระบบบริการสุขภาพที่แยกกันในแต่ละประเทศ ประสิทธิภาพการทำงานของบริการสุขภาพแห่งชาติ (เอ็นเอชเอส) ทั่วทั้งสหราชอาณาจักรสามารถนำมาวัดเพื่อเปรียบเทียบกับชาติอื่น ๆ ได้ ในปี 2017 รายงานของกองทุนเครือจักรภพจัดอันดับให้สหราชอาณาจักรมีระบบบริการสุขภาพที่ดีที่สุดในโลกพัฒนาแล้ว และดีที่สุดในสาขากระบวนการดูแล (Care Process ได้แก่ ประสิทธิภาพ, ความปลอดภัย, การประสานงาน, การมีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง) และความเท่าเทียม[3] นอกจากนี้สหราชอาณาจักรยังได้รับการจัดอันดับว่าดีที่สุดในรายงานของปี 2007, 2010 และ 2014[4][5][6]

ระบบการรักษาประคับประครองของสหราชอาณาจักรยังได้รับการจัดอันดับให้ดีที่สุดในโลกตามรายงานของอีคอโนมิสต์อินเทลลิเจนซ์ยูนิต[7] ในขณะที่อัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งในปี 2005–2009 ในสหราชอาณาจักรต่ำกว่ามาตรฐานของยุโรปอยู่สิบปี[8] อย่างไรก็ตาม ในปีถัด ๆ มาก็เพิ่มสูงขึ้น[9][10] ในปี 2015 สหราชอาณาจักรอยู่อันดับที่ 14 จาก 35 ประเทศ ในดัชนีผู้บริโภคสุขภาพยุโรปประจำปี[11] อย่างไรก็ตาม ดัชนีดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงความแม่นยำโดยนักวิชาการ[12]

ในข้อมูลปี 2018 ของโออีซีดี ระบุว่าสหราชอาณาจักรจัดสรรงบประมาณสุขภาพให้ประชากรอยู่ที่ 3,121 ปอนด์ต่อหัว[13] การใช้จ่ายสำหรับบริการสุชภาพเทียบเป็นสัดส่วนของจีดีพีสูงขึ้นตลอดตั้งแต่ปี 1997 (ในปี 1997 อยู่ที่ 6.8%) โดยในปี 2019 อยู่ที่ 10.2 % ของจีดีพี[14][15] ในปี 2017 สหราชอาณาจักรใช้จ่ายค่าบริการสุขภาพ 2,989 ปอนด์ต่อหัว คิดเป็นประมาณค่ากลางของประเทศในกลุ่มโออีซีดี[16]

ลักษณะร่วม แก้

บริการสุขภาพแห่งชาติ (เอ็นเอชเอส) ของแต่ละประเทศมีแพทย์ทั่วไป (จีพี) ในการให้บริการการแพทย์ปฐมภูมิ และส่งต่อการรักษาไปยังบริการขั้นต่อไปหากจำเป็น ส่วนโรงพยาบาลมีหน้าที่ให้บริการที่เฉพาะทางยิ่งขึ้น รวมถึงการให้บริการแก่ผู้ป่วยโรคจิตเวชและการให้บริการการแพทย์ฉุกเฉิน เภสัชชุมชน (community pharmacy) เป็นของเอกชนแต่จะมีข้อตกลงร่วมกับบริการสุขภาพแต่ละแห่งเพื่อให้บริการยาสั่ง

ระบบบริการสุขภาพสาธารณะยังให้บริการรถพยาบาลโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายหากผู้ป่วยต้องพบแพทย์โดยการเดินทางต้องใช้บริการที่รถพยาบาลมีให้ (เช่น การพยุงสัญญาณชีพ) หรือเมื่อผู้ป่วยไม่สามารถเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะ บริการเหล่านี้โดยทั่วไปได้รับการช่วยเหลือเมื่อจำเป็นโดยบริการรถพยาบาลของอาสาสมัคร เช่น สภากาชาดอังกฤษ, สมาคมรถพยาบาลเซนต์แอนดรูว์, รถพยาบาลเซนต์จอห์น เป็นต้น นอกจากนี้ บริการขนส่งผู้ป่วยทางอากาศยังมีให้บริการโดยบริการขนส่งพยาบาลสก็อตในประเทศสกอตแลนด์ และบริการอื่น ๆ ตามพื้นที่[17][18] ในกรณีฉุกเฉินเฉพาะ การขนส่งผู้ป่วยทางอากาศอาจให้บริการโดยกองทัพบก เรือ อากาศ หรือตามที่มีพร้อมให้บริการในโอกาสนั้น ๆ[19]

สำหรับบริการทันตกรรม ทันตแพทย์สามารถคิดค่าบริการผู้ป่วยในระบบเอ็นเอชเอสได้ตามอัตราค่าบริการที่กำหนดไว้ในแต่ละประเทศ ในขณะที่ผู้ป่วยที่พบทันตแพทย์นอกเหนือจากระบบเอ็นเอชเอส จะต้องจ่ายค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด ประมาณครึ่งหนึ่งของรายได้ของทันตแพทย์ในประเทศอังกฤษมาจากเงินอุดหนุนของเอ็นเอชเอส[20]

สำหรับการซื้อยา เอ็นเอชเอสมีอำนาจทางการตลาดที่สูงมากถึงขั้นที่มีผลต่อราคายาในตลาดโลก และโดยทั่วไปจะประเมินและพยายามทำให้ราคาต่ำ[21] และมีหลายประเทศที่เลียนแบบหรือปรับใช้ระบบการประเมินยาของสหราชอาณาจักร[22]

อ้างอิง แก้

  1. "'Huge contrasts' in devolved NHS". BBC News. 28 August 2008. สืบค้นเมื่อ 27 July 2014.
  2. "NHS now four different systems". BBC News. 2 January 2008. สืบค้นเมื่อ 27 July 2014.
  3. "Mirror, Mirror 2017: International Comparison Reflects Flaws and Opportunities for Better U.S. Health Care". www.commonwealthfund.org. สืบค้นเมื่อ 1 August 2019.
  4. "Mirror, Mirror on the Wall: An International Update on the Comparative Performance of American Health Care | Commonwealth Fund". www.commonwealthfund.org (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 1 August 2019.
  5. "Mirror, Mirror on the Wall: How the Performance of the U.S. Health Care System Compares Internationally, 2010 Update". Commonwealth Fund. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-04-11. สืบค้นเมื่อ 16 June 2014.
  6. "Mirror, Mirror on the Wall, 2014 Update: How the U.S. Health Care System Compares Internationally". Commonwealth Fund.
  7. "Quality of Death Index 2015: Ranking palliative care across the world". The Economist Intelligence Unit. 6 October 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-06-17. สืบค้นเมื่อ 8 October 2015; "UK end-of-life care 'best in world'". BBC. 6 October 2015. สืบค้นเมื่อ 8 October 2015.
  8. Allemani, Claudia; และคณะ (2015). "Global surveillance of cancer survival 1995–2009: analysis of individual data for 25 676 887 patients from 279 population-based registries in 67 countries (CONCORD-2))". The Lancet. 385 (9972): 977–1010. doi:10.1016/S0140-6736(14)62038-9. hdl:10447/129931. PMC 4588097. PMID 25467588; "UK cancer survival rates trail 10 years behind other European countries". The Guardian. 24 March 2015. สืบค้นเมื่อ 19 October 2015.
  9. "UK cancer death rates after diagnosis drop 10% in ten years". The Guardian. 4 February 2016. สืบค้นเมื่อ 4 February 2016; "Cancer death rates fall by almost 10 per cent in 10 years". Cancer Research UK. สืบค้นเมื่อ 4 February 2016.
  10. "Bowel cancer death rate falling faster in the UK than in most other EU countries". Cancer Research UK. 7 October 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-04-11. สืบค้นเมื่อ 31 October 2015; "Cancer survival in England is improving – but still lagging behind similar countries". Cancer Research UK. 5 August 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-04-11. สืบค้นเมื่อ 31 October 2015; "How to improve cancer survival" (PDF). The King's Fund. June 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2015-12-22. สืบค้นเมื่อ 19 October 2015; "Cancer mortality trends: 1992–2020" (PDF). Macmillan. May 2013. สืบค้นเมื่อ 19 October 2015; "Improving Outcomes: A Strategy for Cancer" (PDF). Department of Health, Public Health England. December 2014. สืบค้นเมื่อ 31 October 2015.; "Cancer Survival in England: Adults Diagnosed 2008 to 2012, followed up to 2013". Office for National Statistics. สืบค้นเมื่อ 19 October 2015
  11. "Outcomes in EHCI 2015" (PDF). Health Consumer Powerhouse. 26 January 2016. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 6 June 2017. สืบค้นเมื่อ 27 January 2016.
  12. Cylus, Jonathan; Nolte, Ellen; Figueras, Josep; McKee, Martin (9 February 2016). "What, if anything, does the EuroHealth Consumer Index actually tell us?". BMJ. Retrieved 10 February 2016.
  13. "Swindells: They aren't 'your' patients". Health Service Journal. 24 September 2019. สืบค้นเมื่อ 19 November 2019.
  14. "Healthcare expenditure, UK Health Accounts provisional estimates - Office for National Statistics". www.ons.gov.uk. สืบค้นเมื่อ 2021-10-11.
  15. OECD, "Health Expenditure". Accessed 10 February 2016.
  16. "How does UK healthcare spending compare with other countries?". Office of National Statistics. 29 August 2019. สืบค้นเมื่อ 5 October 2019.
  17. "Wiltshire Air Ambulance". Wiltshire Air Ambulance. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 May 2010. สืบค้นเมื่อ 28 April 2011.
  18. "Air Ambulance Association". Air Ambulance Association. สืบค้นเมื่อ 28 April 2011.
  19. "RAF flight 'saved couple's baby'". BBC News. 21 November 2006. สืบค้นเมื่อ 28 April 2011.
  20. Triggle, Nick (3 June 2007). "Call for dentists' NHS-work quota". BBC News. London. สืบค้นเมื่อ 5 January 2010.
  21. "The UK has much to fear from a US trade agreement". www.newstatesman.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 5 June 2019.
  22. "US takes aim at the UK's National Health Service". POLITICO. 4 June 2019. สืบค้นเมื่อ 5 June 2019.