บราวนีช็อกโกแลต

บราวนีช็อกโกแลต (อังกฤษ: chocolate brownie) มีลักษณะแบนแบบสี่เหลี่ยมหรือบาร์ที่ถูกนำไปอบเริ่มพัฒนาขึ้นครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และเป็นที่ชื่นชอบทั้งในสหรัฐและแคนาดา ในช่วงครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 20 บราวนีเป็นลูกครึ่งระหว่างเค้กกับคุกกี้[1] บราวนีถูกผลิตมาในรูปแบบต่าง ๆ บางครั้งก็มีเนื้อเนียนหนึบหรือเป็นเนื้อเค้กขึ้นอยู่กับความเข้มข้นและอาจจะมีส่วนผสมของถั่วชนิดต่าง ๆ, เคลือบน้ำตาล, วิปครีม, ช็อกโกแลตชิป, หรือส่วนผสมอื่น ๆ อาจจะมีการเปลี่ยนรูปแบบการทำเช่น ใช้น้ำตาลแดงและไม่ใส่ช็อกโกแลต โดยจะเรียกว่าบลอนดี

บราวนีช็อกโกแลต
แหล่งกำเนิดสหรัฐอเมริกา
ภูมิภาคชิคาโก, รัฐอิลลินอย

บราวนีมักจะเป็นส่วนหนึ่งของกล่องอาหารกลางวัน เพราะสามารถใช้มือจับทานได้สะดวกและมักจะทานร่วมกับนมหรือกาแฟ บางครั้งก็เสิร์ฟแบบอุ่น ๆ กับไอศกรีม (อาลามอด) ราดหน้าด้วยวิปครีมหรือมาร์ซิแพนหรือโรยด้วยน้ำตาลไอซิ่ง บราวนีเป็นที่นิยมอย่างมากในร้านอาหารทั่วไป พบมากอย่างหลากหลายในรายการของหวาน[2]

ประวัติ แก้

 
บราวนีวอลนัต
 
การผสมเนยเหลวกับช็อกโกแลตเพื่อทำบราวนี

พ่อครัวคนหนึ่งในโรงแรมพาล์มเมอร์เฮาส์ที่ชิคาโกได้คิดขนมขึ้นมาชนิดหนึ่ง จากที่เบอร์ธา พาล์มเมอร์อยากจะได้ของหวานสำหรับสุภาพสตรีที่มาเข้าร่วมในงานแสดงสินค้านานาชาติที่ชิคาโกในปี ค.ศ. 1893 เธอบอกว่า ของหวานนั้นน่าจะต้องมีขนาดเล็กกว่าเค้ก แต่ก็ต้องยังคงมีลักษณะคล้ายเค้กและสามารถรับประทานได้ง่ายโดยจะบรรจุในกล่องอาหารกลางวัน บราวนีชนิดแรกที่ว่านี้มีส่วนผสมของแอพริคอตโรยหน้าและวอลนัต และปัจจุบันที่โรงแรมก็ยังทำบราวนีตามสูตรดั้งเดิมขายอยู่[3]

สูตรบราวนีที่ทำกันในปัจจุบันที่ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือ การปรุงอาหารในบ้าน (1904, ลาโคเนีย, นิวแฮมเชียร์), หนังสือตำราอาหารของสโมสรบริการ (1904, ชิคาโก, อิลินอยส์), เดอะบอสตันโกลบ (2 เมษายน 1905 หน้า 34)[4] และ ตำราอาหารของโรงเรียนสอนการทำอาหารบอสตัน ฉบับที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1906 เขียนโดยแฟนนี่ เมอร์ริท ฟาร์มเมอร์ สูตรอาหารเหล่านี้เป็นบราวนีที่มีรสชาติค่อนข้างนุ่มนวลและมีลักษณะคล้ายเค้ก ชื่อของ "บราวนี" เกิดขึ้นครั้งแรกในตำราอาหารที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1896 แต่ถูกกล่าวถึงในรูปของเค้กที่ทำจากกากน้ำตาลในแม่พิมพ์ดีบุกไม่ใช่บราวนีจริง ๆ[5]

สูตรอาหารที่สองถูกพบเมื่อปี ค.ศ. 1907 ใน ตำราอาหารของลอว์นี เขียนโดยมาเรีย วิลเลท โฮเวิร์ดตีพิมพ์โดยบริษัท วอลเตอร์ เอ็ม ลอว์นี่แห่งบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ สูตรนี้มีการเพิ่มไข่และแท่งช็อกโกแลตลงในสูตรของโรงเรียนสอนการทำอาหารบอสตันทำให้บราวนีมีรสชาติเข้มข้นและหนึบมากขึ้น สูตรนี้มีชื่อว่า แบงกอร์บราวนี ซึ่งอาจมาจากเหตุผลที่ว่าสูตรนี้ สุภาพสตรีชาวแบงกอร์ รัฐเมน แบงกอร์บราวนีได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 3 จาก 10 สุดยอดอาหารว่างใน 2–3 ปีต่อมา[5]

ตำนานเกี่ยวกับที่มาของบราวนี แก้

มีตำนานอยู่ 3 เรื่องเกี่ยวกับที่มาของบราวนี ตำนานแรกกล่าวว่า พ่อครัวได้ใส่ช็อกโกแลตละลายลงในก้อนแป้งบิสกิตโดยไม่ได้ตั้งใจ ตำนานที่สองกล่าวว่า พ่อครัวลืมเติมแป้งเข้าไปในส่วนผสมของที่ตีรวมกันแล้ว และตำนานที่สามที่เป็นความเชื่อที่เป็นที่นิยมคือ แม่บ้านคนหนึ่งไม่มีผงฟูเลยดัดแปลงสูตรใหม่ ว่ากันว่าเธอเตรียมของหวานสำหรับแขกและตัดสินใจที่จะเสิร์ฟเค้กแบน ๆ ที่อบแล้วนี้ ตำนานทั้งสามเรื่องเป็นที่นิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ[5]

ดูเพิ่ม แก้

อ้างอิง แก้

บรรณานุกรม แก้

  • Gage, Mary E. (2010). "History of Brownies (Chocolate)". สืบค้นเมื่อ 13 มีนาคม 2010.
  • Palmer, Bertha. "The Chocolate Fudge Brownie". Palmer House Hilton. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 กันยายน 2013. สืบค้นเมื่อ 29 กันยายน 2013.
  • Saekel, Karola. "Panel Gives Baking Mixes a High Score". San Francisco Chronicle. ISSN 1932-8672.
  • "brownie". Webster's New World College Dictionary (4th ed.). 2008.
  • "The History Of Brownies". The Nibble. Lifestyle Direct. สืบค้นเมื่อ 13 มีนาคม 2013.

แหล่งข้อมูลอื่น แก้

  •   วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ บราวนี