บรรณวิทย์ เก่งเรียน

พลเรือเอก บรรณวิทย์ เก่งเรียน ชื่อเล่น นุ อดีตประธานที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม อดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหม อดีตนายทหารราชองครักษ์พิเศษ[1]และอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หลังการรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549

ประวัติ แก้

ชื่อเล่น 'นุ' เป็นบุตรของนายประสิทธิ์ และนางศรีสว่าง เก่งเรียน เกิดเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2491

มีพี่น้องรวม 4 คน ได้แก่

  1. นายดำรงเกียรติ เก่งเรียน
  2. พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน
  3. ร.อ.อิทธิพล เก่งเรียน (ตท.10 - ถึงแก่กรรมในสนามรบ)
  4. นายนิติพัฒน์ เก่งเรียน

พลเรือเอกบรรณวิทย์ ศึกษาชั้นมัธยมที่ โรงเรียนสาธิตปทุมวัน ก่อนที่จะศึกษาต่อที่โรงเรียนเตรียมทหารรุ่น 7 (ตท.7) รุ่นเดียวกับ พลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร และ พลเอกปฐมพงษ์ เกษรศุกร์

ตำแหน่งที่สำคัญ แก้

  • ประธานที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม (ระดับ11)
  • รองปลัดกระทรวงกลาโหม
  • ประธานคณะที่ปรึกษาพิเศษกองทัพเรือ (อัตราจอมพล)
  • รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด
  • เลขานุการกองบัญชาการทหารสูงสุด
  • ประธานที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม
  • นายกสมาคมผู้ปกครองและครู โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร(ฝ่ายมัธยม) ในพระราชูปถัมภ์[2]

พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ประสบความสำเร็จในการเป็นทหารอาชีพ ได้รับตำแหน่งเป็นนายพลตั้งแต่อายุ 44 ปี ซึ่งถือเป็นนายพลที่มีอายุน้อยที่สุดในขณะนั้น

บทบาทในทางการเมืองและสังคม แก้

พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน มีชื่อเสียงในสังคมเป็นครั้งแรกด้วยการเป็นนายทหารที่ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงกลาโหม ที่ออกมาเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่า มีการใช้อำนาจการเมืองแทรกแซงการแต่งตั้งนายทหารระดับสูงในกองทัพ มีช่วงวิกฤตการณ์การเมืองในประเทศไทย พ.ศ. 2548-2549 ในรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พร้อมกับนายทหารคนอื่น ๆ จนถูกทางกระทรวงกลาโหม โดย พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงในขณะนั้นสอบวินัย

ภายหลังการรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พร้อมกับเป็นประธานคณะกรรมาธิการคมนาคมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำการตรวจสอบการทุจริตในกระทรวงคมนาคมของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต่าง ๆ เช่น กรณีทุจริตการซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด CTX หรือ การทุจริตในสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นต้น

ในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการประจำปี พ.ศ. 2550 พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้ดำรงตำแหน่งประธานที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม แทนตำแหน่งรองปลัดกระทรวงกลาโหม เนื่องจากถูกสนช.สายทหารกล่าวหาว่า พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ไม่โปร่งใสในระหว่างทำหน้าที่บริหารองค์การแบตเตอรี่ และจากที่กระทบกระทั่งกับผู้บังคับบัญชา จากกรณีที่ออกมาปกป้องพล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร [3]

ในการเลือกตั้งในปลายปี พ.ศ. 2550 พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ได้ขอลาออกจากราชการทหารเพื่อที่ลงรับสมัคร ส.ส. ในระบบสัดส่วนของพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา แต่ได้รับการอนุมัติจากกระทรวงกลาโหมล่าช้า จึงไม่ทันการสมัคร ซึ่ง พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ได้ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการกลั่นแกล้งตนเอง แต่ทางกระทรวงกลาโหมได้ปฏิเสธ

เคย เป็นเลขาธิการลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทย งานด้านการเมือง เป็นหนึ่งในสมาชิกและผู้ก่อตั้งสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย และยังจัดรายการวิทยุเป็นประจำในวันเสาร์เวลา 08.30-10.00 น. ทางเอฟ.เอ็ม. 92.25 เมกกะเฮิร์ซ รวมไปถึงการจัดรายการสด ทางช่องทีวีผ่านดาวเทียม ช่อง ๑๓ สยามไท อีกด้วย

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ แก้

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย แก้

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ แก้

  •   มาเลเซีย :
    • พ.ศ. 2539 –   เครื่องราชอิสริยาภรณ์เกปาละวานัน อังกะตัน เตนเตรา ชั้นที่ 2[8]

อ้างอิง แก้

  1. http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2562/E/013/T_0001.PDF
  2. ทำเนียบนายกสมาคมผู้ปกครองและครู
  3. "บุญรอด" สั่งตั้งจเรทหารทั่วไปสอบวินัย "บรรณวิทย์"
  4. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือกและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย, เล่ม ๑๑๙ ตอนที่ ๒๑ ข หน้า ๓, ๔ ธันวาคม ๒๕๔๕
  5. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือกและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย, เล่ม ๑๑๖ ตอนที่ ๒๐ ข หน้า ๑๑, ๒ ธันวาคม ๒๕๔๒
  6. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญราชการชายแดน, เล่ม ๑๐๖ ตอนที่ ๑๐๒ ง ฉบับพิเศษ หน้า ๒๕๑, ๓๐ มิถุนายน ๒๕๓๒
  7. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญจักรมาลาและเหรียญจักรพรรดิมาลา, เล่ม ๙๘ ตอนที่ ๒๐๖ ง ฉบับพิเศษ หน้า ๓๐๔๕, ๑๗ ธันวาคม ๒๕๒๔
  8. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานพระบรมราชานุญาตประดับประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม ๑๑๓ ตอนที่ ๖ ข หน้า ๒, ๒๔ เมษายน ๒๕๓๙