น้ำมันเมล็ดฝ้าย

น้ำมันเมล็ดฝ้าย (อังกฤษ: Cottonseed oil) เป็นน้ำมันประกอบอาหารที่สกัดมาจากเมล็ดของฝ้ายพันธุ์ต่าง ๆ โดยหลักพันธุ์ Gossypium hirsutum และ Gossypium herbaceum ซึ่งปลูกเพื่อทำฝ้าย อาหารสัตว์ และน้ำมัน[1] เมล็ดฝ้ายมีโครงสร้างคล้ายกับเมล็ดทำน้ำมันอื่น ๆ เช่น เมล็ดทานตะวัน คือมีเนื้อในเมล็ดที่มีน้ำมันซึ่งล้อมรอบด้วยเปลือกแข็งนอก เมื่อแปรรูป น้ำมันจะสกัดจากเนื้อในเมล็ด น้ำมันเมล็ดฝ้ายใช้ทำน้ำสลัด มายองเนส และผลิตภัณฑ์ที่คล้ายคลึงกันอื่น ๆ เพราะรสชาติค่อนข้างเสถียร[2]

เมล็ดฝ้าย

องค์ประกอบ

แก้
 
อาคารเก็บเมล็ดฝ้ายในโรงงานผลิตน้ำมันเมล็ดฝ้ายในรัฐมิสซิสซิปปี

น้ำมันปกติจะประกอบด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัว (เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวมีพันธะคู่เดี่ยว 18% และมีพันธะคู่หลายคู่ 52%) และมีกรดไขมันอิ่มตัว 26%[3] เมื่อเติมไฮโดรเจนให้เต็ม (fully hydrogenated) มันจะประกอบด้วยกรดไขมันอิ่มตัว 94% และกรดไขมันไม่อิ่มตัว 2% (1.5% มีพันธะคู่เดี่ยวและ 0.5% มีพันธะคู่หลายคู่)[4] ตามบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรม น้ำมันนี้ไม่ต้องเติมไฮโดรเจนเท่ากับน้ำมันไม่อิ่มตัวมีพันธะคู่หลายคู่อื่น ๆ เพื่อให้ได้ผลเช่นเดียวกัน[2]

สารก๊อสสิพอล (Gossypol) เป็นสารประกอบโพลีฟีนอล (polyphenolic compound) มีสีเหลืองเป็นพิษ ที่ได้จากฝ้ายและพืชอื่น ๆ ในวงศ์ชบา (Malvaceae) เช่น กระเจี๊ยบ[5] สารประกอบมีสีนี้เกิดตามธรรมชาติในต่อมเล็ก ๆ ในเมล็ด ใบ ก้าน เปลือกรากแก้ว และรากของต้นฝ้าย หน้าที่ทางวิวัฒนาการของสารนี้ก็คือใช้ต้านแมลง เรื่องสำคัญเมื่อทำให้บริสุทธิ์ ฟอกสี และกำจัดกลิ่นก็คือ ต้องกำจัดสารพิษก๊อสสิพอล เฟอริกคลอไรด์มักใช้กำจัดสีของน้ำมัน[6]

เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำมันพืชอื่น ๆ

แก้
น้ำมันพืช[7][8]
ประเภท การ
แปรรูป
กรดไขมัน
อิ่มตัว
กรดไขมันไม่อิ่มตัว
มีพันธะคู่เดี่ยว
กรดไขมันไม่อิ่มตัวมีพันธะคู่หลายคู่ จุดก่อควัน
มีพันธะเดียว
รวม[7]
กรดโอเลอิก
(ω-9)
มีหลายพันธะ
รวม[7]
กรดลิโนเลนิก
(ω-3)
กรดลิโนเลอิก
(ω-6)
อาโวคาโด[9] 11.6 70.6 13.5 1 12.5 249 องศาเซลเซียส (480 องศาฟาเรนไฮต์)[10]
คาโนลา[11] 7.4 63.3 61.8 28.1 9.1 18.6 238 องศาเซลเซียส (460 องศาฟาเรนไฮต์)[12]
มะพร้าว[13] 82.5 6.3 6 1.7 175 องศาเซลเซียส (347 องศาฟาเรนไฮต์)[12]
ข้าวโพด[14] 12.9 27.6 27.3 54.7 1 58

232 องศาเซลเซียส (450 องศาฟาเรนไฮต์)[15]

เมล็ดฝ้าย[16] 25.9 17.8 19 51.9 1 54 216 องศาเซลเซียส (420 องศาฟาเรนไฮต์)[15]
เมล็ดแฟลกซ์[17] 9.0 18.4 18 67.8 53 13

107 องศาเซลเซียส (225 องศาฟาเรนไฮต์)

เมล็ดองุ่น 10.5 14.3 14.3 74.7 - 74.7 216 องศาเซลเซียส (421 องศาฟาเรนไฮต์)[18]
น้ำมันกัญชง[19] 7.0 9.0 9.0 82.0 22.0 54.0 166 องศาเซลเซียส (330 องศาฟาเรนไฮต์)[20]
มะกอก[21] 13.8 73.0 71.3 10.5 0.7 9.8 193 องศาเซลเซียส (380 องศาฟาเรนไฮต์)[12]
ปาล์ม[22] 49.3 37.0 40 9.3 0.2 9.1 235 องศาเซลเซียส (455 องศาฟาเรนไฮต์)
ถั่วลิสง[23] 20.3 48.1 46.5 31.5 31.4 232 องศาเซลเซียส (450 องศาฟาเรนไฮต์)[15]
คำฝอย[24] 7.5 75.2 75.2 12.8 0 12.8 212 องศาเซลเซียส (414 องศาฟาเรนไฮต์)[12]
ถั่วเหลือง[25] 15.6 22.8 22.6 57.7 7 51 238 องศาเซลเซียส (460 องศาฟาเรนไฮต์)[15]
เมล็ดทานตะวัน (มาตรฐาน, 65% ไลโนเลอิก)[26] 10.3 19.5 19.5 65.7 0 65.7
เมล็ดทานตะวัน (<60% ไลโนเลอิก)[27] 10.1 45.4 45.3 40.1 0.2 39.8

227 องศาเซลเซียส (440 องศาฟาเรนไฮต์)[15]

เมล็ดทานตะวัน (>70% โอเลอิก)[28] 9.9 83.7 82.6 3.8 0.2 3.6

227 องศาเซลเซียส (440 องศาฟาเรนไฮต์)[15]

เมล็ดฝ้าย[29] ไฮโดรจีเนต 93.6 1.5 0.6 0.3
ปาล์ม[30] ไฮโดรจีเนต 88.2 5.7 0
ถั่วเหลือง[31] ไฮโดรจีเนตบางส่วน 14.9 43.0 42.5 37.6 2.6 34.9
ค่าเป็นเปอร์เซ็นต์ (%) ของน้ำหนักไขมันรวม

คุณสมบัติทางกายภาพ

แก้

เมื่อแปรรูปแล้ว น้ำมันเมล็ดฝ้ายจะมีรสจืดและมีสีทองอ่อน ๆ โดยขึ้นอยู่กับการทำให้บริสุทธิ์[32] ความหนาแน่นจะอยู่ในระหว่าง 0.917–0.933 ก./ซม3 น้ำมันมีจุดก่อควันค่อนข้างสูงทำให้สามารถใช้ผัด/ทอดอาหารได้[33] เหมือนกันน้ำมันมีกรดไขมันโซ่ยาวอื่น ๆ น้ำมันเมล็ดฝ้ายมีจุดก่อควันที่ประมาณ 450 องศาเซลเซียส[5] มีโทโคฟีรอลมาก จึงทำให้เสถียรและมีอายุการเก็บรักษานาน ผู้ผลิตจึงมักใช้ในผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปต่าง ๆ

ประวัติทางเศรษฐกิจ

แก้

เพราะเมล็ดฝ้ายเป็นผลิตผลพลอยได้จากกระบวนการแปรรูปให้ได้ฝ้าย เมล็ดจึงเกือบไม่มีค่าอะไรก่อนคริสต์ทศวรรษที่ 19[34] เมื่อผลิตฝ้ายมากขึ้น ๆ ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17, 18 และ 19 เมล็ดฝ้ายที่เก็บก็มีมากขึ้น ๆ[34] แม้จะมีบางส่วนที่ใช้ปลูกพืช ทำปุ๋ย และทำอาหารสัตว์ แต่ที่เหลือโดยมากก็ทิ้งไว้จนเน่าหรือลอบทิ้งลงแม่น้ำอย่างผิดกฎหมาย[35]

ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1820 และ 1830 ยุโรปเกิดขาดแคลนไขมันและน้ำมันเนื่องจากการขยายตัวประชากรอย่างรวดเร็วเนื่องกับการปฏิวัติอุตสาหกรรม และผลตามมาของการปิดล้อมทางน้ำของกองทัพเรืองอังกฤษในช่วงสงครามนโปเลียน[35] ความต้องการไขมันและน้ำมันที่เพิ่มขึ้นบวกกับปริมาณสินค้า (อุปทาน) ที่ลดลงทำให้ราคาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว[34] ผลก็คือ คนยุโรปจำนวนมากไม่มีเงินพอซื้อไขมันและน้ำมันเพื่อประกอบอาหารหรือใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อแสงสว่างได้[34] นักลงทุนในสหรัฐจึงเริ่มแสวงหาประโยชน์จากความต้องการน้ำมัน (อุปสงค์) ที่สูงขึ้นและจากการมีเมล็ดฝ้ายเป็นจำนวนมากด้วยการบีบอัดเมล็ดฝ้ายสกัดน้ำมัน[35] แต่การแยกเปลือกออกจากเนื้อในเมล็ดเป็นเรื่องยาก ดังนั้น ธุรกิจโดยมากจึงล้มเหลวภายในไม่กี่ปี[35] ต่อมาปี ค.ศ. 1857 จึงได้ประดิษฐ์เครื่อง huller ซึ่งแยกเปลือกจากเนื้อเมล็ดฝ้ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ[34] น้ำมันเมล็ดฝ้ายจึงได้เริ่มใช้เป็นเชื้อเพลิงตะเกียงเพื่อเสริมน้ำมันวาฬและน้ำมันหมูที่แพงขึ้นเรื่อย ๆ[34] แต่เมื่อถึงปี ค.ศ. 1859 นี่ก็ยุติลงเพราะอุตสาหกรรมปิโตเลียมได้เกิดขึ้น[34]

น้ำมันเมล็ดฝ้ายได้ใช้ปลอมปนไขมันสัตว์และไขมันหมูอย่างผิดกฎหมาย[34] คือ ผู้ฆ่าและขายเนื้อสัตว์ได้ลอบผสมน้ำมันเมล็ดฝ้ายกับไขมันสัตว์ แต่ก็ถูกเปิดโปงในปี ค.ศ. 1884[34] คือบริษัทอเมริกันบริษัทหนึ่งพยายามผูกขาดตลาดน้ำมันหมูแล้วพบว่า ตนได้ซื้อน้ำมันหมูมากกว่าที่หมูทั้งหมดที่มีจะผลิตได้[34] รัฐสภาสหรัฐจึงได้เข้าตรวจสอบ แล้วผ่านกฎหมายบังคับให้ผลิตภัณฑ์เสริมด้วยน้ำมันเมล็ดฝ้ายขึ้นป้ายว่า "ไขมันหมูประกอบ (lard compound)"[35] โดยนัยเดียวกัน น้ำมันมะกอกบ่อยครั้งก็ปลอมปนผสมน้ำมันเมล็ดฝ้ายเช่นกัน เมื่อถูกเปิดโปงแล้ว ประเทศต่าง ๆ จึงได้เพิ่มภาษีศุลกากรแก่น้ำมันมะกอกอเมริกัน โดยอิตาลีได้ห้ามไม่ให้นำเข้าผลิตภัณฑ์โดยสิ้นเชิงในปี ค.ศ. 1883[35] กฎบังคับทั้งสองนี้ได้ลดยอดขายและการส่งออกน้ำมันเมล็ดฝ้ายจากอเมริกา ทำให้มีน้ำมันมากเกินแล้วลดราคาของน้ำมันอีก[35] จึงทำให้บริษัทที่เพิ่งตั้งใหม่คือพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล สามารถถือเอาประโยชน์จากเหตุนี้[35]

เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจในปี ค.ศ. 1837 (Panic of 1837) ทำให้พี่น้องเขยรวมธุรกิจผลิตเทียนไขและสบู่เข้าด้วยกันเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการผลิตและรับมือกับเศรษฐกิจช่วงขาลง[34] เมื่อสืบหาสิ่งที่จะมาแทนที่ไขมันสัตว์ราคาสูง พี่น้องคู่นี้ก็ได้ตกลงใช้น้ำมันเมล็ดฝ้าย[34] บริษัทจึงได้รวบยอดซื้อน้ำมันเมล็ดฝ้ายผูกขาดตลาดเพื่อหลีกเลี่ยงการผูกขาดน้ำมันสัตว์ของผู้ฆ่าและขายเนื้อสัตว์ แต่เมื่อเกิดไฟฟ้าขึ้น ความต้องการเทียนไขก็ได้ลดลง[35] บริษัทจึงได้ค้นหาการใช้น้ำมันเป็นอาหาร ด้วยเทคโนโลยีที่จดสิทธิบัตร พี่น้องทั้งสองจึงสามารถเติมไฮโดรเจนใส่น้ำมัน แล้วพัฒนาผลิตไขมันที่คล้ายกับมันหมู[34] ในปี ค.ศ. 1911 บริษัทจึงได้โหมวางตลาดขายเนยขาวจากพืชคือ Crisco ซึ่งสามารถใช้แทนมันหมู[36]

บริษัทได้โฆษณาในหนังสือพิมพ์ว่า ผลิตภัณฑ์ "ย่อยได้ดีกว่า เป็นทางเลือกการปรุงอาหารที่ดีต่อสุขภาพยิ่งกว่าไขมันสัตว์ และถูกกว่าเนย"[37] บริษัทยังแจกคู่มือประกอบอาหารซึ่งอาหารแต่ละอย่างล้วนให้ใช้ Crisco[37] ในคริสต์ทศวรรษ 1920 บริษัทได้พัฒนาคู่มือประกอบอาหารสำหรับคนชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในภาษาของตน ๆ[37] นอกจากนั้น บริษัทยังมีรายการวิทยุเรื่องประกอบอาหาร[37] เช่นกัน ในปี ค.ศ. 1899 นักเคมีอาหารคนหนึ่งได้พัฒนาน้ำมันเมล็ดฝ้ายไร้กลิ่นซึ่งวางขายในยี่ห้อ Wesson[35] ซึ่งก็โหมวางตลาดแล้วกลายเป็นที่นิยมเช่นกัน[35]

30 ปีต่อมาในสหรัฐอเมริกา น้ำมันเมล็ดฝ้ายจึงได้กลายเป็นน้ำมันสำคัญ[34] น้ำมันยี่ห้อทั้งสองนี้ได้ทดแทนการใช้น้ำมันหมูและน้ำมันราคาสูงกว่าอื่น ๆ ในการอบ ผัด/ทอด[34] แต่ในสงครามโลกครั้งที่สอง การขาดน้ำมันทำให้ต้องใช้ของทดแทนอีกอย่างคือน้ำมันถั่วเหลือง[34] ในปี ค.ศ. 1944 การผลิตน้ำมันถั่วเหลืองจึงเกินน้ำมันเมล็ดฝ้ายจนราคาของน้ำมันถั่วเหลืองได้ลดลงต่ำกว่าน้ำมันเมล็ดฝ้าย[34] ในปี ค.ศ. 1950 น้ำมันถั่วเหลืองก็ได้แทนการใช้น้ำมันเมล็ดฝ้ายในเนยขาว เช่น Crisco เพราะราคาถูกกว่า[34] น้ำมันเมล็ดฝ้ายยังมีราคาสูงขึ้นเพราะการปลูกข้าวโพดและถั่วเหลืองแทน ซึ่งเป็นแนวโน้มที่มีเหตุโดยหลักจากความต้องการน้ำเชื่อมข้าวโพดและเอทานอลที่สูงขึ้น[34] น้ำมันเมล็ดฝ้ายจึงผลิตลดลงเรื่อย ๆ ในกลางและปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20[34]

ในกลางจนถึงปลายคริสต์ทศวรรษ 2000 ผู้บริโภคเริ่มหลีกเลี่ยงไขมันทรานส์มากขึ้น บวกกับกฎบังคับให้ขึ้นป้ายไขมันทรานส์ในบางประเทศ จึงทำให้บริโภคน้ำมันเมล็ดฝ้ายมากขึ้น[38] โดยมีผู้ชำนาญการทางสุขภาพ[39] และองค์กรสุขภาพของรัฐ[40] ที่แนะนำว่าเป็นน้ำมันซึ่งถูกสุขภาพ และ Crisco และบริษัทอื่น ๆ ก็ได้เปลี่ยนน้ำมันเมล็ดฝ้ายให้มีไขมันทรานส์น้อยมากหรือไม่มีเลย[41] อย่างไรก็ดี ผู้ชำนาญการทางสุขภาพบางท่านอ้างว่า น้ำมันมีอัตราส่วนไขมันไม่อิ่มตัวมีพันธะคู่หลายคู่ต่อไขมันไม่อิ่มตัวมีพันธะคู่เดี่ยวสูง และเพราะต้องแปรรูป จึงไม่ถูกสุขภาพ[42]

กฎบังคับ

แก้

"น้ำมันเมล็ดฝ้าย" ในแคนาดาต้องสกัดมาจากเมล็ดของพืชสกุลฝ้าย (Gossypium) เมื่อผลิตมาจากน้ำมันเมล็ดฝ้าย 100% ผลิตภัณฑ์ต้องขึ้นป้ายบรรจุภัณฑ์เช่นนั้น[43]

น้ำมันเมล็ดฝ้ายที่วางขายว่าทานได้ควรจะแปรรูปและทำให้บริสุทธิ์จากองค์ประกอบที่อาจเป็นอันตราย โดยเฉพาะคือสารก๊อสสิพอล (Gossypol) ซึ่งเป็นสีธรรมชาติในเมล็ดฝ้ายและมีฤทธิ์เป็นเครื่องป้องกันแมลงและสัตว์อื่น ๆ ตามธรรมชาติ แต่ก็เป็นพิษต่อมนุษย์และอาจทำให้ชายเป็นหมันได้[44]

การสกัด

แก้

เหมือนกับน้ำมันพืชอื่น ๆ น้ำมันเมล็ดฝ้ายสกัดมาจากเมล็ด ไม่ว่าจะโดยกระบวนการทางกล เช่น การบดอัดแล้วบีบ หรือกระบวนการทางเคมี เช่น ใช้ตัวทำละลาย[45] แต่ก็ใช้ตัวทำละลายเพื่อสกัดอย่างสามัญที่สุด[46]

การทำให้บริสุทธิ์

แก้
 
ขั้นตอนการแปรรูปน้ำมันเมล็ดฝ้าย

เมื่อสกัดน้ำมันได้แล้ว จะต้องแปรรูปและทำให้บริสุทธิ์ก่อนที่จะนำไปบริโภค เพื่อกำจัดสิ่งไม่บริสุทธิ์รวมทั้งกรดไขมันอิสระ (free fatty acid ตัวย่อ FFA) ฟอสโฟลิพิด สี และสารระเหยอื่น ๆ[45][47][48]

การกำจัดกัม (degumming)

แก้

การกำจัดกัม (degumming) เป็นขั้นตอนแรกในการทำน้ำมันให้บริสุทธิ์จากฟอสโฟลิพิด กัม ไข และสิ่งเจือปนอื่น ๆ ที่มีในน้ำมันดิบ[49][50] คือจะใช้น้ำหรือกรดเจือจางอื่น ๆ เช่น กรดฟอสฟอริก เพราะฟอสโฟลิพิดจะดูดกับน้ำเหตุเป็นสารแอมฟิฟิลิก (amphipathic) (คือชอบน้ำข้างหนึ่ง ชอบไขมันอีกข้างหนึ่ง) ซึ่งเปลี่ยนลิพิดให้เป็นกัมอิ่มน้ำ (hydrated gum) กัมเช่นนี้ละลายในน้ำมันไม่ได้ จึงสามารถแยกออกด้วยเครื่องหมุนเหวี่ยง กัมที่แยกออกก็จะทำให้แห้งแล้วทำเป็นตัวทำอิมัลชัน (emulsifying agent) เช่น เลซิทิน

การทำให้เป็นกลาง (neutralization)

แก้

ขั้นที่สองในการทำน้ำมันให้บริสุทธิ์ก็คือการแยกกรดไขมันอิสระ (FFA) ออกจากน้ำมันผ่านการทำให้เป็นกลางด้วยด่าง (alkaline neutralization) ขึ้นอยู่กับน้ำมันที่ต้องการ อาจมีขั้นตอน 2–3 ขั้นในกระบวนการนี้ การผ่านทั้ง 3 ขั้นจะทำให้ได้น้ำมันคุณภาพดีที่สุด และน้ำมันเมล็ดฝ้ายจะผ่านทั้ง 3 ขั้นตอน[51]

ขั้นแรกของการทำให้เป็นกลางก็คือเติมโซดาไฟ (sodium hydroxide, NaOH) ใส่น้ำมันหลังจากปัมพ์มันผ่านเครื่องกรองแล้วให้ความร้อนจนถึง 133 องศาเซลเซียส (°C) ปฏิกิริยาเปลี่ยนเป็นสบู่ (saponification) จะทำน้ำมันให้เป็นกลางเมื่อผสมกับโซดาไฟแล้ว ในกระบวนการนี้ ประจุบวกของกรดไขมันอิสระ (FFA) จะทำปฏิกิริยากับหมู่ไฮดรอกซิลของโซดาไฟแล้วกลายเป็นสบู่และกลีเซอรอล (glycerol) ส่วนนี้ซึ่งเรียกในภาษาอังกฤษว่า soapstock จะแยกออกจากน้ำมัน

ขั้นที่สองเป็นการซ้ำขั้นแรกโดยใส่โซดาไฟลงในน้ำมันเพิ่มขึ้น ส่วนขั้นสุดท้ายเป็นการล้างด้วยน้ำครั้งที่สองเพื่อให้สบู่เหลือน้อยที่สุด[51]

การฟอกสี

แก้

ขั้นที่สามในกระบวนการทำให้บริสุทธิ์เป็นการกำจัดสบู่ กัม และสีที่เหลือด้วยการฟอกสี (bleaching) สารฟอกขาว (bleaching agent) ที่ใช้อย่างสามัญที่สุดก็คือดินฟอกสี (bleaching earth) ซึ่งเป็นดินเหนียวเบนทอไนต์ (bentonite) ประเภทหนึ่ง เมื่อใส่ดินแล้ว ก็จะกวนให้ดินสามารถจับกับสิ่งเจือปนในน้ำมัน ไม่ว่าจะโดยกล (เช่น แรงแวนเดอร์วาลส์ [Van der Waals force]) หรือโดยเคมี แล้วก็จะกรองสารผสมเพื่อกำจัดดินที่จับกับสิ่งเจือปน[52]

การกำจัดกลิ่น

แก้

ขั้นตอนที่สี่เพื่อทำน้ำมันให้บริสุทธิ์ก็คือการกำจัดกลิ่น คือสารระเหยทั้งหลาย โดยการฉีดไอน้ำแรงดันสูงเข้าไปภายใต้สุญญากาศ[53]

Winterization

แก้

การทำน้ำมันให้บริสุทธิ์ขั้นที่ 5 ก็คือกระบวนการ winterization เพื่อกำจัดไตรเอซีลกลีเซอรอล (triacylglycerol) เพื่อไม่ให้ผลิตภัณฑ์แข็งตัวที่อุณหภูมิต่ำ โดยเก็บน้ำมันไว้ในที่เย็นซึ่งมีอุณหภูมิต่ำกว่า 5 องศาเซลเซียส

ในกระบวนการนี้ น้ำมันจะแยกเป็นส่วนของเหลวและของแข็ง ส่วนที่แข็งจับเป็นผลึกก็เพราะมีไตรเอซีลกลีเซอรอลมาก แล้วก็จะแยกออกจากกันด้วยการกรอง[48][54]

การใช้ในอาหาร

แก้

น้ำมันเมล็ดฝ้ายเคยใช้ในอาหารเช่น มันฝรั่งทอดแผ่นบาง และใช้เป็นองค์ประกอบหลักในผลิตภัณฑ์เนยขาวของบริษัท Crisco แต่ผลิตภัณฑ์ปัจจุบันของบริษัทไม่มีน้ำมันเมล็ดฝ้าย[55] เพราะแพงน้อยกว่าน้ำมันมะกอกและน้ำมันคาโนลามาก น้ำมันเมล็ดฝ้ายจึงนิยมใช้ในร้านอาหารและอุตสาหกรรมผลิตอาหารว่าง[56]

น้ำมันเมล็ดฝ้ายใช้ผลิตโภคภัณฑ์อาหารเช่น น้ำมันประกอบอาหาร น้ำสลัด เนยเทียม และเนยขาว[57][48]

สิ่งที่ไม่ใช่อาหาร

แก้

ในการเกษตร น้ำมันเมล็ดฝ้ายทั่วไปมีฤทธิ์ฆ่าแมลงแรงที่สุดในบรรดาน้ำมันพืชทั้งหมด ซึ่งมักใช้เพราะมีประสิทธิภาพแก้ปัญหาศัตรูพืชผลไม้ที่แก้ยาก และยังสามารถผสมกับยาฆ่าแมลงอื่น ๆ เพื่อให้มีฤทธิ์ครอบคลุมกว่า และทำให้คุมแมลงได้ดีกว่า[58]

ยาฆ่าแมลง

แก้

ในการเกษตร พิษของน้ำมันเมล็ดฝ้ายที่ไม่กำจัดอาจเป็นเรื่องมีประโยชน์ น้ำมันต่าง ๆ รวมทั้งน้ำมันพืชได้ใช้เป็นศตวรรษ ๆ เพื่อควบคุมแมลงและไรที่เป็นศัตรูพืช[59] ในปี ค.ศ. 2010 มีการใช้น้ำมันเมล็ดฝ้ายเพื่อป้องกันลำต้นของต้นแอปเปิลจากผีเสื้อพันธุ์ Synanthedon myopaeformis ซึ่งขุดรูเข้าไปในเปลือกไม้และอาจทำให้ต้นไม้ตายได้[60] น้ำมันทั่วไปจัดว่ามีฤทธิ์ฆ่าแมลงแรงที่สุดในบรรดาน้ำมันพืชทั้งหลาย[59]

เชิงอรรถและอ้างอิง

แก้
  1. "Texas is a cotton country". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 ตุลาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 23 ตุลาคม 2013.
  2. 2.0 2.1 "Twenty Facts About Cottonseed Oil from cotton plant". National Cottonseed Products Association. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 ตุลาคม 2015.
  3. "Basic Report: 04502, Oil, cottonseed, salad or cooking". United States Department of Agriculture. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 มกราคม 2019. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2019.
  4. "Nutrient data for 04702, Oil, industrial, cottonseed, fully hydrogenated". United States Department of Agriculture. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 กันยายน 2013. สืบค้นเมื่อ 13 กุมภาพันธ์ 2012.
  5. 5.0 5.1 Jones, Lynn A.; King, C. Clay (1996). "Cottonseed oil". ใน Hui, YH (บ.ก.). Bailey's Industrial Oil and Fat Products, Edible Oil and Fat Products: Oils and Oilseeds. New York: Wiley. ISBN 978-0-471-59426-0.
  6. Yatsu, L. Y.; Jacks, T. J.; Hensarling, T. (กุมภาพันธ์ 1970). "Use of ferric chloride to decolorize cottonseed oil". Journal of the American Oil Chemists' Society. 47 (2): 73–74. doi:10.1007/BF02541462. ISSN 0003-021X.
  7. 7.0 7.1 7.2 "US National Nutrient Database, Release 28". United States Department of Agriculture. May 2016. All values in this column are from the USDA Nutrient database unless otherwise cited.
  8. "Fats and fatty acids contents per 100 g (click for "more details") example: avocado oil; user can search for other oils". Nutritiondata.com, Conde Nast for the USDA National Nutrient Database, Standard Release 21. 2014. สืบค้นเมื่อ 7 September 2017. Values from Nutritiondata.com (SR 21) may need to be reconciled with most recent release from the USDA SR 28 as of Sept 2017.
  9. "Avocado oil, fat composition, 100 g". US National Nutrient Database, Release 28, United States Department of Agriculture. May 2016. สืบค้นเมื่อ 6 September 2017.
  10. What is unrefined, extra virgin cold-pressed avocado oil?, The American Oil Chemists’ Society
  11. "Canola oil, fat composition, 100 g". US National Nutrient Database, Release 28, United States Department of Agriculture. May 2016. สืบค้นเมื่อ 6 September 2017.
  12. 12.0 12.1 12.2 12.3 Katragadda, H. R.; Fullana, A. S.; Sidhu, S.; Carbonell-Barrachina, Á. A. (2010). "Emissions of volatile aldehydes from heated cooking oils". Food Chemistry. 120: 59. doi:10.1016/j.foodchem.2009.09.070.
  13. "Coconut oil, fat composition, 100 g". US National Nutrient Database, Release 28, United States Department of Agriculture. May 2016. สืบค้นเมื่อ 6 September 2017.
  14. "Corn oil, industrial and retail, all purpose salad or cooking, fat composition, 100 g". US National Nutrient Database, Release 28, United States Department of Agriculture. May 2016. สืบค้นเมื่อ 6 September 2017.
  15. 15.0 15.1 15.2 15.3 15.4 15.5 Wolke, Robert L. (16 May 2007). "Where There's Smoke, There's a Fryer". The Washington Post. สืบค้นเมื่อ 5 March 2011.
  16. "Cottonseed oil, salad or cooking, fat composition, 100 g". US National Nutrient Database, Release 28, United States Department of Agriculture. May 2016. สืบค้นเมื่อ 6 September 2017.
  17. "Linseed/Flaxseed oil, cold pressed, fat composition, 100 g". US National Nutrient Database, Release 28, United States Department of Agriculture. May 2016. สืบค้นเมื่อ 6 September 2017.
  18. Garavaglia J, Markoski MM, Oliveira A, Marcadenti A (2016). "Grape Seed Oil Compounds: Biological and Chemical Actions for Health". Nutr Metab Insights. 9: 59–64. doi:10.4137/NMI.S32910. PMC 4988453. PMID 27559299.
  19. "Efficacy of dietary hempseed oil in patients with atopic dermatitis". Journal of Dermatological Treatment. 2005. สืบค้นเมื่อ 25 October 2017.
  20. https://www.veghealth.com/nutrition-tables/Smoke-Points-of-Oils-table.pdf
  21. "Olive oil, salad or cooking, fat composition, 100 g". US National Nutrient Database, Release 28, United States Department of Agriculture. May 2016. สืบค้นเมื่อ 6 September 2017.
  22. "Palm oil, fat composition, 100 g". US National Nutrient Database, Release 28, United States Department of Agriculture. May 2016. สืบค้นเมื่อ 6 September 2017.
  23. "Oil, peanut". FoodData Central. usda.gov.
  24. "Safflower oil, salad or cooking, high oleic, primary commerce, fat composition, 100 g". US National Nutrient Database, Release 28, United States Department of Agriculture. May 2016. สืบค้นเมื่อ 6 September 2017.
  25. "Soybean oil, salad or cooking, fat composition, 100 g". US National Nutrient Database, Release 28, United States Department of Agriculture. May 2016. สืบค้นเมื่อ 6 September 2017.
  26. "Sunflower oil, 65% linoleic, fat composition, 100 g". US National Nutrient Database, Release 28, United States Department of Agriculture. May 2016. สืบค้นเมื่อ 15 November 2018.
  27. "Sunflower oil, less than 60% of total fats as linoleic acid, fat composition, 100 g". US National Nutrient Database, Release 28, United States Department of Agriculture. May 2016. สืบค้นเมื่อ 6 September 2017.
  28. "Sunflower oil, high oleic - 70% or more as oleic acid, fat composition, 100 g". US National Nutrient Database, Release 28, United States Department of Agriculture. May 2016. สืบค้นเมื่อ 6 September 2017.
  29. "Cottonseed oil, industrial, fully hydrogenated, fat composition, 100 g". US National Nutrient Database, Release 28, United States Department of Agriculture. May 2016. สืบค้นเมื่อ 6 September 2017.
  30. "Palm oil, industrial, fully hydrogenated, filling fat, fat composition, 100 g". US National Nutrient Database, Release 28, United States Department of Agriculture. May 2016. สืบค้นเมื่อ 6 September 2017.
  31. "Soybean oil, salad or cooking, (partially hydrogenated), fat composition, 100 g". US National Nutrient Database, Release 28, United States Department of Agriculture. May 2016. สืบค้นเมื่อ 6 September 2017.
  32. "Cottonseed oil" (PDF). National Cottonseed Products Association. สืบค้นเมื่อ 29 พฤศจิกายน 2010.
  33. "Cottonseed oil". Transport Information Service, Gesamtverband der Deutschen Versicherungswirtschaft e.V. สืบค้นเมื่อ 6 สิงหาคม 2012.
  34. 34.00 34.01 34.02 34.03 34.04 34.05 34.06 34.07 34.08 34.09 34.10 34.11 34.12 34.13 34.14 34.15 34.16 34.17 34.18 34.19 O’Brien, Richard D.; และคณะ (2005). "5". ใน Shahidi, Fereidoon (บ.ก.). Cottonseed oil. Bailey’s Industrial Oil and Fat Products. Vol. 2. John Wiley and Sons.
  35. 35.00 35.01 35.02 35.03 35.04 35.05 35.06 35.07 35.08 35.09 35.10 Nixon, HC (2005). "The Rise of the American Cottonseed Oil Industry". Journal of Political Economy. 38 (1): 73–85.
  36. Ramsey, Drew; Graham, Tyler (26 เมษายน 2012). "How Vegetable Oils Replaced Animals Fats in the American Diet". The Atlantic. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 ตุลาคม 2018.
  37. 37.0 37.1 37.2 37.3 "Crisco Corporate Historical Timeline". Crisco. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 ตุลาคม 2013.
  38. "Cottonseed Oil Production, Consumption On The Rise - Crushers expect over 100 million pound increase". Cotton Grower. 12 กันยายน 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2019.
  39. Willett, WC; Skerrett, PJ (2005). Eat, Drink, and Be Healthy: The Harvard Medical School Guide to Healthy Eating (paperback ed.). Free Press. p. 220.
  40. "Health Bulletin: Healthy Heart - Eat Less Trans Fat" (PDF). New York City Department of Health and Mental Hygiene. มีนาคม 2005. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 21 ตุลาคม 2013.
  41. "Crisco drops trans fats from shortening formula". Associated Press. 25 มกราคม 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 มิถุนายน 2017.
  42. Walsh, Danielle (27 มกราคม 2012). "Best and Worst Oils For Your Health". Bon Appetit Magazine Blog. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 เมษายน 2013.
  43. Directorate of Canadian Food Inspection Agency, Food Safety and Consumer Protection, Government of Canada (18 กุมภาพันธ์ 2014). "Labelling Requirements for Fats and Oils". inspection.gc.ca. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 สิงหาคม 2018. สืบค้นเมื่อ 10 สิงหาคม 2018.
  44. "Cottonseed Oil and Food Safety". www.cfs.gov.hk. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 ตุลาคม 2018. สืบค้นเมื่อ 7 สิงหาคม 2018.
  45. 45.0 45.1 Čmolík, Jiří; Pokorný, Jan (1 สิงหาคม 2000). "Physical refining of edible oils". European Journal of Lipid Science and Technology. 102 (7): 472–486. doi:10.1002/1438-9312(200008)102:7<472::AID-EJLT472>3.0.CO;2-Z.
  46. Saxena, Devesh K.; Sharma, Surendra Kumar; Sambi, Surinder Singh (2011). "COMPARATIVE EXTRACTION OF COTTONSEED OIL BY n-Hexane and Ethanol". สืบค้นเมื่อ 9 สิงหาคม 2018.
  47. "Cotton Seeds Oil Refinery Plants-- Oil Refinery Plants". www.seedoilpress.com. 22 กุมภาพันธ์ 2018. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 สิงหาคม 2018. สืบค้นเมื่อ 9 สิงหาคม 2018.
  48. 48.0 48.1 48.2 Gunstone, Frank D., บ.ก. (1 เมษายน 2011). Vegetable Oils in Food Technology. doi:10.1002/9781444339925. ISBN 978-1-4443-3992-5.
  49. Carr, Roy A. (พฤศจิกายน 1978). "Refining and degumming systems for edible fats and oils". Journal of the American Oil Chemists' Society. 55 (11): 765–771. doi:10.1007/bf02682645. ISSN 0003-021X.
  50. "Degumming | food processing". Encyclopedia Britannica. สืบค้นเมื่อ 7 สิงหาคม 2018.
  51. 51.0 51.1 "Alkali Refining - AOCS Lipid Library". lipidlibrary.aocs.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 สิงหาคม 2018. สืบค้นเมื่อ 9 สิงหาคม 2018.
  52. Zschau, Werner (1 สิงหาคม 2001). "Bleaching of edible fats and oils". European Journal of Lipid Science and Technology. 103 (8): 505–551. doi:10.1002/1438-9312(200108)103:8<505::aid-ejlt505>3.0.co;2-7. ISSN 1438-9312.
  53. Dudrow, F. A. (กุมภาพันธ์ 1983). "Deodorization of edible oil". Journal of the American Oil Chemists' Society. 60 (2Part1): 272–274. doi:10.1007/bf02543499. ISSN 0003-021X.
  54. Kreulen, H. P. (มิถุนายน 1976). "Fractionation and winterization of edible fats and oils". Journal of the American Oil Chemists' Society. 53 (6Part2): 393–396. doi:10.1007/bf02605729. ISSN 0003-021X.
  55. "Ingredient facts". crisco.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2009.
  56. "Cottonseed oil use on the rise". cotton 247.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 กรกฎาคม 2011.
  57. "Cottonseed Oil". ScienceDirect, Elsevier. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-02-22. สืบค้นเมื่อ 2019-02-22.
  58. "Insect Control: Horticultural Oils - 5.569 - Extension". Extension. สืบค้นเมื่อ 7 สิงหาคม 2018.
  59. 59.0 59.1 Cranshaw, WS; Baxendale, B (2013-04-19). "Insect Control: Horticultural Oils". Colorado State University Extension. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-07-03.
  60. Erler, Fedai (1 มกราคม 2010). "Efficacy of tree trunk coating materials in the control of the apple clearwing, Synanthedon myopaeformis". Journal of Insect Science. 10 (1): 1–8. doi:10.1673/031.010.6301. PMC 3014806. PMID 20672979.

แหล่งข้อมูลอื่น

แก้