นาฬิกาหกชั่วโมง
นาฬิกาหกชั่วโมง เป็นระบบการนับเวลาแต่โบราณซึ่งใช้ในภาษาไทยและภาษาลาว ควบคู่กันไปกับนาฬิกายี่สิบสี่ชั่วโมงที่ใช้อย่างเป็นทางการ เช่นเดียวกับระบบอื่นที่ใช้กันทั่วไป ระบบดังกล่าวนับว่าหนึ่งวันมียี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ในหนึ่งวันจะแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ส่วนละหกชั่วโมง
การเรียก
แก้วิธีนับเวลาตามประเพณี แบ่งเป็น 3 ช่วงหลัก คือ โมง ทุ่ม และตี
- โมง หมายถึง วิธีนับเวลาตามประเพณีในเวลากลางวัน ถ้าเป็นเวลาก่อนเที่ยงวัน ตั้งแต่ 7 นาฬิกา ถึง 11 นาฬิกา เรียกว่า โมงเช้า ถึง 5 โมงเช้า ถ้าเป็น 12 นาฬิกา นิยมเรียกว่า เที่ยงวัน ถ้าหลังเที่ยงวัน ตั้งแต่ 13 นาฬิกา ถึง 17 นาฬิกา เรียกว่า บ่ายโมง ถึง บ่าย 5 โมง ถ้า 18 นาฬิกา นิยมเรียกว่า 6 โมงเย็น หรือ ยํ่าคํ่า
- ทุ่ม หมายถึง วิธีนับเวลาตามประเพณีสำหรับ 6 ชั่วโมงแรกของกลางคืน ตั้งแต่ 19 นาฬิกา ถึง 24 นาฬิกา เรียกว่า 1 ทุ่ม ถึง 6 ทุ่ม แต่ 6 ทุ่ม นิยมเรียกว่า สองยาม หรือ เที่ยงคืน และจะเรียกไปตามลำดับตัวเลข 7 ทุ่ม 8 ทุ่ม 9 ทุ่มเป็นต้น
- "ตี หมายถึง วิธีนับเวลาตามประเพณีในเวลากลางคืน หลังเที่ยงคืน ตั้งแต่ 1 นาฬิกา ถึง 6 นาฬิกา เรียกว่า ตี 1 ถึง ตี 6 แต่ตี 6 นิยมเรียกว่า ยํ่ารุ่ง [1]
ชื่อเรียกต่าง ๆ เหล่านี้มาจากเสียงของการบอกเวลาแต่โบราณ ซึ่งใช้ฆ้องในการบอกโมงยามในเวลากลางวัน และใช้กลองในเวลากลางคืน คำว่า "โมง" อันเป็นเสียงเลียนธรรมชาติของเสียงฆ้อง และ "ทุ่ม" ซึ่งเป็นการเลียนเสียงกลอง ตี เป็นคำกริยาสามารถหมายถึงทำให้เกิดเสียง [2] ส่วน "เช้า" และ "บ่าย" เป็นคำช่วยแบ่งครึ่งช่วงกลางวัน
ชั่วโมงที่หกของแต่ละส่วนนั้นเรียกโดยใช้คำแตกต่างกัน ชั่วโมงที่หกที่ตรงกับรุ่งเช้านั้นจะเรียกว่า ย่ำรุ่ง ชั่วโมงที่หกในช่วงเย็นนั้นจะเรียกว่า ย่ำค่ำ ซึ่งทั้งสองคำหมายถึงการตีฆ้องหรือกลองเป็นลำดับเพื่อบอกให้ทราบถึงการเปลี่ยนช่วงเวลา (ย่ำ) ส่วน รุ่ง และ ค่ำ หมายถึง ช่วงเช้าและช่วงเย็น ที่ใช้แสดงถึงเวลา ช่วงที่อยู่กลางกลางวันและกลางคืนเรียกว่า เที่ยงวัน และ เที่ยงคืน ตามลำดับ
เที่ยงคืนยังเรียกว่า สองยาม ซึ่งหมายความว่าเป็นจุดสิ้นสุดของการนับยามช่วงที่สอง นอกเหนือจากนี้ หกทุ่ม และ ตีหก ยังอาจใช้หมายถึงเที่ยงคืนหรือหกโมงเช้า
ประวัติ
แก้ระบบนี้ใช้กันมาในบางรูปแบบตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่ได้รับการจัดให้เป็นหมวดหมู่คล้ายกับในปัจจุบันในปี พ.ศ. 2444 โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในราชกิจจานุเบกษาเล่ม 17 หน้า 206[3] ปัจจุบันระบบดังกล่าวใช้ในการสนทนาระดับไม่เป็นทางการเท่านั้น
ตารางเปรียบเทียบ
แก้เวลา | นาฬิกาหกชั่วโมง | นาฬิกาหกชั่วโมง (แผลง) | นาฬิกายี่สิบสี่ชั่วโมง |
---|---|---|---|
1:00 น. | ตีหนึ่ง | ตีหนึ่ง | หนึ่งนาฬิกา |
2:00 น. | ตีสอง | ตีสอง | สองนาฬิกา |
3:00 น. | ตีสาม, ยามสาม | ตีสาม | สามนาฬิกา |
4:00 น. | ตีสี่ | ตีสี่ | สี่นาฬิกา |
5:00 น. | ตีห้า | ตีห้า | ห้านาฬิกา |
6:00 น. | ย่ำรุ่ง, ตีหก, ยามสี่ | ตีหก, หกโมงเช้า, หกโมง | หกนาฬิกา |
7:00 น. | โมงเช้า, หนึ่งโมงเช้า | เจ็ดโมงเช้า, เจ็ดโมง | เจ็ดนาฬิกา |
8:00 น. | สองโมงเช้า | แปดโมงเช้า, แปดโมง | แปดนาฬิกา |
9:00 น. | สามโมงเช้า | เก้าโมง | เก้านาฬิกา |
10:00 น. | สี่โมงเช้า | สิบโมง | สิบนาฬิกา |
11:00 น. | ห้าโมงเช้า | สิบเอ็ดโมง | สิบเอ็ดนาฬิกา |
12:00 น. | เที่ยงวัน, เที่ยง | เที่ยงวัน, เที่ยง | สิบสองนาฬิกา |
13:00 น. | บ่ายโมง | บ่ายโมง, บ่ายหนึ่ง | สิบสามนาฬิกา |
14:00 น. | บ่ายสองโมง | บ่ายสอง | สิบสี่นาฬิกา |
15:00 น. | บ่ายสามโมง | บ่ายสาม | สิบห้านาฬิกา |
16:00 น. | บ่ายสี่โมง | สี่โมงเย็น, สี่โมง | สิบหกนาฬิกา |
17:00 น. | บ่ายห้าโมง | ห้าโมงเย็น, ห้าโมง | สิบเจ็ดนาฬิกา |
18:00 น. | ย่ำค่ำ, หกโมงเย็น | หกโมงเย็น, หกโมง | สิบแปดนาฬิกา |
19:00 น. | หนึ่งทุ่ม | หนึ่งทุ่ม | สิบเก้านาฬิกา |
20:00 น. | สองทุ่ม | สองทุ่ม | ยี่สิบนาฬิกา |
21:00 น. | สามทุ่ม, ยามหนึ่ง | สามทุ่ม | ยี่สิบเอ็ดนาฬิกา |
22:00 น. | สี่ทุ่ม | สี่ทุ่ม | ยี่สิบสองนาฬิกา |
23:00 น. | ห้าทุ่ม | ห้าทุ่ม | ยี่สิบสามนาฬิกา |
24:00 น., 00:00 น. | หกทุ่ม, เที่ยงคืน, สองยาม | หกทุ่ม, เที่ยงคืน | ยี่สิบสี่นาฬิกา, ศูนย์นาฬิกา |
อ้างอิง
แก้- ↑ ศรีอำไพ, รัตติกาล. "โมง-ทุ่ม-ตี". สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. สืบค้นเมื่อ 29 March 2022.
- ↑ Thongprasert, Chamnong (1985), "ทุ่ม-โมง-นาฬิกา (Thum-Mong-Nalika)", ภาษาไทยไขขาน (Thai Unlocked), Bangkok: Prae Pitaya Press, pp. 229–237. (ไทย)
- ↑ "ประกาศใช้ทุ่มโมงยาม" (PDF), Royal Gazette, no. 17, p. 206, 29 July 1901, สืบค้นเมื่อ 2008-10-18. (ไทย)
- Royal Institute (2003), พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ (Royal Institute Dictionary, BE 2542), Bangkok: Nanmee Books Publications, ISBN 974-9588-04-5. (ไทย)