ปรีดี พนมยงค์
ศาสตราจารย์ ปรีดี พนมยงค์ น.ร. ป.จ. ม.ป.ช. ม.ว.ม. อ.ป.ร. ๑ GCMG หรืออำมาตย์ตรี หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (11 พฤษภาคม พ.ศ. 2443 – 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526) เป็นนักกฎหมาย อาจารย์ นักกิจกรรม นักการเมือง และนักการทูตชาวไทย ผู้ได้รับการยกย่องเกียรติคุณอย่างสูง เป็นรัฐบุรุษอาวุโส ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 7 และรัฐมนตรีหลายกระทรวง หัวหน้าคณะราษฎรสายพลเรือน ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (ปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) และเป็นผู้ก่อตั้งธนาคารชาติไทย (ปัจจุบันคือ ธนาคารแห่งประเทศไทย)
ปรีดี พนมยงค์ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ปรีดีใน พ.ศ. 2488 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 16 ธันวาคม พ.ศ. 2484 – 5 ธันวาคม พ.ศ. 2488 (3 ปี 355 วัน) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
กษัตริย์ | พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
นายกรัฐมนตรี | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 7 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 24 มีนาคม พ.ศ. 2489 – 23 สิงหาคม พ.ศ. 2489 (0 ปี 152 วัน) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
กษัตริย์ | พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | ควง อภัยวงศ์ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ถัดไป | พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 5 สิงหาคม พ.ศ. 2489 – 23 สิงหาคม พ.ศ. 2489 (0 ปี 18 วัน) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | เลือกตั้งเพิ่มเติม | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ถัดไป | หม่อมเจ้านิตยากร วรวรรณ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ข้อมูลส่วนบุคคล | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เกิด | ปรีดี 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2443 อยุธยา เมืองกรุงเก่า ประเทศสยาม | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เสียชีวิต | 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 (82 ปี) ปารีส ประเทศฝรั่งเศส | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เชื้อชาติ | ไทย | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
พรรคการเมือง | คณะราษฎร สหชีพ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
การเข้าร่วม พรรคการเมืองอื่น | เสรีไทย | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คู่สมรส | พูนศุข ณ ป้อมเพชร (สมรส 2471) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
บุตร | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
บุพการี |
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ญาติ | อรรถกิจ พนมยงค์ (น้องชายร่วมบิดา) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ศิษย์เก่า | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ลายมือชื่อ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เขาเกิดในครอบครัวชาวนาที่กรุงเก่า แต่ได้รับการส่งเสียให้ได้รับการศึกษาที่ดี สำเร็จการศึกษาจากเนติบัณฑิตยสภา และสอบไล่ได้เป็นเนติบัณฑิตตั้งแต่อายุ 19 ปี เป็นนักเรียนทุนศึกษาต่อด้านกฎหมายที่ประเทศฝรั่งเศส จนสำเร็จการศึกษาขั้นดุษฎีบัณฑิต ณ มหาวิทยาลัยปารีส ในปี 2469 เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งคณะราษฎรในประเทศฝรั่งเศสในปีเดียวกัน จากนั้นเดินทางกลับประเทศเพื่อประกอบอาชีพเป็นผู้พิพากษา ผู้ช่วยเลขานุการกรมร่างกฎหมาย และอาจารย์ผู้สอนวิชากฎหมายปกครอง ณ โรงเรียนกฎหมาย หลังการปฏิวัติสยามในปี 2475 เขามีบทบาทสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญสองฉบับแรกของประเทศ และวางแผนเศรษฐกิจ หลังเดินทางออกนอกประเทศช่วงสั้น ๆ เนื่องจากปฏิกิริยาต่อแผนเศรษฐกิจของเขา เขาเดินทางกลับมารับตำแหน่งรัฐมนตรีหลายกระทรวงในรัฐบาลพระยาพหลพลพยหุเสนา(พจน์ พหลโยธิน)และแปลก พิบูลสงคราม มีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย การวางรากฐานการบริหารราชการแผ่นดินโดยเฉพาะราชการส่วนท้องถิ่น การเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาไม่เป็นธรรมกับต่างประเทศ ตลอดจนการปฏิรูปภาษี
ความเห็นของเขาแตกกับแปลก พิบูลสงคราม เขาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรระหว่างปี 2484 ถึง 2488 และเป็นผู้นำขบวนการเสรีไทยในประเทศช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เขาพยายามบ่อนทำลายความชอบธรรมของประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. จนฝ่ายสัมพันธมิตรไม่ถือโทษเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม หลังสงครามยุติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกย่องในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส
ความขัดแย้งกับกลุ่มการเมืองอื่นทวีความรุนแรงขึ้น หลังกรณีสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลซึ่งเขาถูกใส่ความว่าเป็นผู้บงการ[1]: 54–5 ทำให้เขาลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสองครั้ง ต่อมาเกิดรัฐประหารปี 2490 เป็นเหตุให้เขาต้องลี้ภัยการเมืองนอกประเทศ ปี 2492 เขากับพันธมิตรทางการเมืองพยายามรัฐประหารรัฐบาลในขณะนั้นแต่ล้มเหลว ทำให้เขาและพันธมิตรหมดอำนาจทางการเมืองโดยสิ้นเชิง จากนั้นเขาลี้ภัยการเมืองในประเทศจีนและฝรั่งเศสโดยไม่ได้กลับสู่ประเทศไทยอีก เขายังแสดงความเห็นทางการเมืองในประเทศไทยและโลกอยู่เรื่อย ๆ จนถึงแก่อสัญกรรมในปี 2526 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส[2] มีการนำอัฐิเขากลับประเทศในปี 2529 และพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พระราชทานผ้าไตรในพิธีทักษิณานุประทาน
อนุสรณ์ของเขาประกอบด้วยวันปรีดี พนมยงค์, สถาบันปรีดี พนมยงค์ ตลอดจนอนุสาวรีย์ และสถานที่และสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่ตั้งตามชื่อเขา เขามีภาพลักษณ์ตั้งแต่เป็นนักประชาธิปไตยไม่นิยมเจ้าไปจนถึงผู้นิยมสาธารณรัฐ การถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้บงการปลงพระชนม์พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเป็นจุดด่างพร้อยในชีวประวัติของเขา และศัตรูเขานำมาใช้โจมตีแม้หลังสิ้นชีวิตไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ในคดีหมิ่นประมาทที่ปรีดีเป็นโจทก์ฟ้องนั้น ศาลยุติธรรมให้เขาชนะทุกคดี[3][a] เขาเป็นสัญลักษณ์ของผู้ต่อต้านเผด็จการทหาร เสรีนิยม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปี 2542 ยูเนสโกยกให้เขาเป็นบุคคลสำคัญของโลก และร่วมเฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 100 ปี ชาตกาล[4]
ปฐมวัยและการงาน
แก้ปรีดี พนมยงค์เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2443 ณ เรือนแพหน้าวัดพนมยงค์ ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอกรุงเก่า เมืองกรุงเก่า ในครอบครัวชาวนา เป็นบุตรของเสียงและลูกจันทน์ พนมยงค์
บรรพบุรุษของปรีดีตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้วัดพนมยงค์มาช้านาน บรรพบุรุษข้างบิดานั้นสืบเชื้อสายมาจากพระนมในสมัยกรุงศรีอยุธยาชื่อ "ประยงค์"[5] พระนมประยงค์เป็นผู้สร้างวัดในที่สวนของตัวเอง วัดนั้นได้ชื่อตามผู้สร้างว่า วัดพระนมยงค์ หรือ วัดพนมยงค์ ล่วงมาจนมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติขนานนามสกุล พ.ศ. 2456 ทายาทจึงได้ใช้นามสกุลว่า "พนมยงค์"[6]: 11
บรรพบุรุษรุ่นปู่-ย่าของปรีดีประกอบกิจการค้าขายมีฐานะเป็นคหบดีใหญ่[6]: 9 [7]: 2 แต่บิดาชอบชีวิตอิสระไม่ชอบประกอบอาชีพค้าขาย จึงหันไปยึดอาชีพกสิกรรม เริ่มต้นด้วยการทำป่าไม้ และต่อมาได้ไปบุกเบิกถางพงร้างเพื่อจับจองที่ทำนาบริเวณทุ่งหลวง อำเภอวังน้อย[7]: 4–6 แต่ประสบปัญหาภัยธรรมชาติและสัตว์รังควานทำให้ผลผลิตออกมาไม่ดี ซ้ำรัฐบาลให้สัมปทานบริษัทแห่งหนึ่งขุดคลองผ่านที่ดินของบิดาและยังเรียกเก็บค่าขุดคลอง[7]: 10 ซึ่งบิดาของปรีดีต้องกู้เงินมาจ่ายเป็นค่ากรอกนา ทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวเลวลงจนเป็นหนี้สินอยู่หลายปี[7]: 11–4
จากการเติบโตในครอบครัวชาวนา เขาจึงทราบซึ้งถึงสภาพความเป็นอยู่และความทุกข์ยากของชนชั้นชาวนา และการถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าที่ดินศักดินา เหล่านี้เป็นแรงกระตุ้นให้ปรีดีดำริเปลี่ยนแปลงสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองของประเทศในเวลาต่อมา[7]: 48–55 เขาเริ่มมีความสนใจเรื่องการเมืองมาตั้งแต่อายุ 11 ปี จากเหตุการณ์ปฏิวัติในจักรวรรดิชิงที่นำโดย ซุน ยัตเซ็น และเหตุการณ์กบฏ ร.ศ. 130 ในสยาม ซึ่งเขาแสดงความเห็นอกเห็นใจอย่างมากต่อผู้ที่ถูกลงโทษในครั้งนั้น[8]
การศึกษา
แก้แม้นเกิดในครอบครัวชาวนา แต่บิดาของเขาเป็นผู้ใฝ่รู้และเล็งเห็นประโยชน์ของการศึกษา และสนับสนุนให้บุตรได้รับการศึกษาที่ดีมาโดยตลอด[9]: 6 ปรีดีเริ่มเรียนหนังสือที่บ้านครูแสง ตำบลท่าวาสุกรี[6]: 13–4 และสำเร็จการศึกษาในระดับประถมที่โรงเรียนวัดศาลาปูน[6]: 20 อำเภอกรุงเก่า จากนั้นไปศึกษาชั้นมัธยมเตรียมที่โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร[6]: 23 แล้วย้ายไปศึกษาต่อที่โรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลกรุงเก่า (ปัจจุบันคือ โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย)[6]: 25 จนสอบไล่ได้ชั้นมัธยม 6 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดสำหรับหัวเมือง แล้วไปศึกษาต่อที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ในปี 2460 อายุได้ 17 ปี เข้าศึกษาที่โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม และศึกษาภาษาฝรั่งเศสที่เนติบัณฑิตยสภา[10]: 14 รู้สึกประทับใจกับอาจารย์ชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งชื่อ เลเดแกร์ (Laydeker) ซึ่งเป็นที่ปรึกษากระทรวงยุติธรรมด้วย ต่อมาสอบไล่วิชากฎหมายชั้นเนติบัณฑิตได้ในขณะมีอายุ 19 ปี เขาเคยว่าความคดีเดียว โดยเป็นทนายความจำเลยในคดีที่จำเลยก่อให้เกิดความเสียหายต่อบริเวณสถานที่ของพระมหากษัตริย์ ซึ่งเขาให้เหตุผลจนชนะคดีว่าเป็นเหตุสุดวิสัย[11]: 28 ต่อมาเขาทำงานเป็นเสมียนกรมราชทัณฑ์โดยได้รับการสนับสนุนจากอธิบดี พระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา (ขำ ณ ป้อมเพชร์) ซึ่งปรีดียกย่องว่าได้รับความรู้เรื่องการบริหารรัฐกิจจากเขา[11]: 28–9
ต่อมาได้รับการคัดเลือกจากกระทรวงยุติธรรมให้ทุนไปศึกษาต่อที่ประเทศฝรั่งเศสในปี 2463[10]: 12 เขาใช้เวลาเรียนเตรียมภาษาฝรั่งเศส ภาษาละติน และภาษาอังกฤษก่อนหนึ่งปี[11]: 29 แล้วสามารถสอบเข้าศึกษาวิชากฎหมายที่มหาวิทยาลัยก็อง (Université de Caen) จนสอบไล่ได้ปริญญารัฐเป็น "บาเชอลีเย" สาขากฎหมาย (bachelier en droit) และได้ปริญญารัฐเป็น "ลีซ็องซีเย" สาขากฎหมาย (Licencié en Droit) ตามลำดับ[10]: 15–7 ทั้งนี้หลักสูตรลิซองซิเอของฝรั่งเศสได้รวบรวมความรู้หลายด้าน ทั้งการยุติธรรม ศาล มหาดไทย คลัง ต่างประเทศ[10]: 16 เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขานิติศาสตร์ จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยปารีสในปี 2469 โดยเขาเสนอวิทยานิพนธ์ชื่อ "ในกรณีที่หุ้นส่วนคนหนึ่งถึงแก่ความตาย ฐานะของห้างหุ้นส่วนส่วนบุคคลจะเป็นอย่างไร (ศึกษาตามกฎหมายฝรั่งเศสและกฎหมายเปรียบเทียบ)" (Du Sort des Sociétés de Personnes en cas de Décès d'un Associé (Étude de droit français et de droit comparé))[10]: 17 [11]: 29 ซึ่งอุทิศให้แก่เลเดแกร์[10]: 14 นับเป็นคนไทยคนแรกที่ได้ปริญญาเอกแห่งรัฐ (doctorat d'état) เป็น "ดุษฎีบัณฑิตกฎหมาย" (docteur en droit) ฝ่ายนิติศาสตร์ (sciences juridiques)[10]: 19 นอกจากนี้เขายังสอบไล่ได้ประกาศนียบัตรการศึกษาชั้นสูงในสาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง (diplôme d'études supérieures d'économie politique) อีกด้วย[11]: 29 [12]: 13–7
ในปี 2467 ปรีดีก่อตั้งสมาคมนักเรียนไทยในกรุงปารีส สามัคยานุเคราะห์สมาคม และได้รับเลือกตั้งเป็นประธานสมาคม ต่อมาเขาเกิดพิพาทกับพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจรูญศักดิ์กฤดากร อัครราชทูตสยามประจำกรุงปารีส เนื่องจากขัดคำสั่งพระองค์ที่ห้ามส่งตัวแทนสมาคมนักเรียนไปยังสหราชอาณาจักรในปี 2469[11]: 30–1 ต่อมา บรรดาผู้บริหารสมาคมฯ กำลังร่างคำร้องทุกข์ขอเพิ่มเงินเดือนเนื่องจากเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลฟรังก์ ทำให้อัครราชทูตหมดขันติ[11]: 32 พระองค์ทำหนังสือกราบบังคมทูลว่า ปรีดีเป็นหัวหน้าชักชวนนักเรียนขัดคำสั่งเอกอัครราชทูตเห็นจะเป็นภัยต่อราชบัลลังก์และให้เรียกตัวกลับ[13]: 51 ด้านพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำริว่าไม่ทรงถือปรีดีเป็นภัยคุกคามต่อราชบัลลังก์ แต่มีการกระทำที่อวดดีแบบคนหนุ่ม[13]: 52–3 และให้ยุบสมาคมฯ[11]: 32–3 อย่างไรก็ดี บิดาของปรีดีถวายฎีกาขอให้ผ่อนผันการเรียกตัวปรีดีกลับประเทศจนกว่าจะสำเร็จปริญญาเอก[11]: 33–4 กระทรวงยุติธรรมโดยเจ้าพระยาพิชัยญาติขอเอาตัวเองเป็นประกันขอให้ปรีดีศึกษาต่อจนสำเร็จการศึกษา[10]: 19 อีกหลายปีถัดมา ปรีดีให้สัมภาษณ์ยอมรับว่าเขาตั้งใจปลุกปั่นนักเรียนให้เกิดสำนึกทางการเมืองจริงซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอนาคต[11]: 34 นอกจากนี้ ปรีดียังถูกเพ่งเล็งจากกรณีไปพบผู้แทนสาธารณรัฐจีนคนหนึ่งโดยไม่ทราบสาเหตุ[13]: 53
วิชาชีพกฎหมาย
แก้เมื่อกลับถึงจังหวัดพระนครในเดือนเมษายน 2470[11]: 34 เขาเริ่มทำงานในตำแหน่งผู้พิพากษาประจำกระทรวงยุติธรรม ต่อมาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการกรมร่างกฎหมาย (ปัจจุบันคือ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา) และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "หลวงประดิษฐ์มนูธรรม"[14] (ต่อมาได้ลาออกจากบรรดาศักดิ์ในปี 2485[15]) เขาเกี่ยวข้องกับการร่างกฎหมายโดยเฉพาะประมวลกฎหมาย นอกจากนี้ยังเป็นที่ปรึกษากฎหมายของแผ่นดิน และทำหน้าที่เป็นศาลปกครองพิจารณาข้อพิพาทระหว่างข้าราชการและราษฎร[10]: 23 เมื่อปี 2471 ขณะมีอายุ 28 ปี ต่อมาในปี 2475 ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการกรมร่างกฎหมาย ระหว่างนั้นเขาได้รวบรวมกฎหมายไทยตั้งแต่กฎหมายตราสามดวงจนถึงเวลานั้นเป็นเล่มเดียว ใช้ชื่อว่า ประชุมกฎหมายไทย และได้รับการตีพิมพ์ในปี 2473 ที่โรงพิมพ์นิติสาสน์ซึ่งเป็นกิจการส่วนตัวของเขาเอง หนังสือเล่มนี้ได้รับความนิยมและสร้างรายได้ให้แก่เขาเป็นอย่างมาก[10]: 22
นอกจากงานที่กรมร่างกฎหมายแล้ว ปรีดียังเป็นอาจารย์ผู้สอนที่โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม ในชั้นแรกได้สอนวิชากฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ว่าด้วยลักษณะหุ้นส่วน บริษัทและสมาคม ต่อมาได้สอนวิชากฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีบุคคล ในปี 2474 ปรีดีเป็นคนแรกที่เริ่มสอนวิชากฎหมายปกครอง (Droit Administratif)[10]: 22 กล่าวกันว่าวิชากฎหมายปกครองนี้ เป็นวิชาที่สร้างชื่อเสียงแก่ปรีดีเป็นอย่างมาก[11]: 35 เพราะสาระของวิชานี้ เป็นส่วนหนึ่งของวิชากฎหมายมหาชน ซึ่งอธิบายการแยกใช้อำนาจอธิปไตยซึ่งขัดต่อหลักสมบูรณาญาสิทธิราชย์[16] จูงใจให้ผู้ศึกษาใส่ใจกิจการบ้านเมือง รู้สึกอยากปกครองตนเอง[10]: 24 ในคำบรรยายของเขากล่าวถึงหลักการรัฐธรรมนูญ การพัฒนาการบริหารราชการแผ่นดินของสยาม และเศรษฐกิจการเมืองและการคลังสาธารณะเบื้องต้น[11]: 35 หนังสือวิชากฎหมายปกครองของเขากลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการปลุกเร้ามวลชนในการปฏิวัติสยาม[17]: 19
สมาชิกคณะราษฎรกับบทบาทการเมืองช่วงแรก
แก้ส่วนร่วมในการปฏิวัติสยาม
แก้ระหว่างศึกษาอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ปรีดี พนมยงค์เริ่มตกลงความคิดในการเปลี่ยนแปลงการปกครองกับร้อยโท ประยูร ภมรมนตรี ในเดือนสิงหาคม 2467[11]: 44 และร่วมกับผู้คิดเห็นตรงกันอีก 5 คน ประชุมอย่างเป็นทางการครั้งแรกเพื่อก่อตั้ง "คณะราษฎร" เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2469 ณ เลขที่ 5 ถนนซอเมอราร์ กรุงปารีส[11]: 45 ผู้ร่วมประชุมประกอบด้วยร้อยโท แปลก ขิตตะสังคะ, ร้อยตรี ทัศนัย มิตรภักดี, ตั้ว ลพานุกรม, หลวงสิริราชไมตรี (จรูญ สิงหเสนี), แนบ พหลโยธิน โดยมีปณิธานให้สยามบรรลุเป้าหมาย 6 ประการ ซึ่งต่อมาเรียก "หลัก 6 ประการของคณะราษฎร" ปรีดีได้รับมอบหมายให้ร่างนโยบายและโครงการต่าง ๆ เพื่อใช้หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง[11]: 46
เมื่อปรีดีเป็นอาจารย์สอนวิชากฎหมายในสยาม เขามีศิษย์หลายคนที่เลื่อมใสระบอบประชาธิปไตยและระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมและตัดสินใจเข้าร่วมขบวนการ เช่น สงวน ตุลารักษ์, ดิเรก ชัยนาม และหาผู้มีความประสงค์ร่วมกัน เช่น ประจวบ บุนนาค, จรูญ สืบแสง, วิลาศ โอสถานนท์ เป็นต้น[9]: 69–70 ในการประชุมสมาชิกคณะราษฎรครั้งหนึ่ง ปรีดีได้แจกจ่ายโครงร่างแผนเศรษฐกิจของตนที่เป็นรูปแบบสหกรณ์ ซึ่งทั้งหมดเห็นพ้องและยกให้ปรีดีเป็นผู้ดำเนินการตามแผนนั้น[9]: 71–2 สำหรับในการปฏิวัตินั้น ปรีดีเป็นผู้เสนอให้จับเจ้านายและสมาชิกรัฐบาลพระองค์สำคัญเป็นตัวประกันเพื่อเลี่ยงการเสียเลือดเนื้ออย่างการปฏิวัติฝรั่งเศสและการปฏิวัติรัสเซีย[9]: 72
วันที่ 24 มิถุนายน 2475 ปรีดีร่วมกับสมาชิกคณะราษฎรปฏิวัติการปกครองจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้สำเร็จโดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อ หลังจากนั้นคณะราษฎรโดยปรีดี พนมยงค์ ได้จัดให้มีการประชุมระหว่างคณะราษฎร และเสนาบดี ปลัดทูลฉลอง ขึ้น ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม เพื่อชี้แจงจุดประสงค์ หลักการระบอบใหม่ กฎหมายพระธรรมนูญการปกครองแผ่นดินโดยย่อ และขอความร่วมมือในการบริหารราชการแผ่นดินต่อไป[18]
การประนีประนอมกับอำนาจเก่า
แก้ภายหลังการปฏิวัติ ปรีดีถือเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการจัดวางรูปแบบการปกครองในระบอบใหม่ เป็นผู้ร่างพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม 2475 อันเป็นรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกของสยาม สำหรับรัฐธรรมนูญฉบับหลังนี้ปรีดีได้ถวายแก้ข้อข้องใจของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจนเป็นที่พอพระราชหฤทัย[17]: 23–5 ที่ใช้เป็นบรรทัดฐานของการปกครองในระบอบใหม่ เขายังได้รับแต่งตั้งจากสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรคนแรก ด้วยตำแหน่งดังกล่าว ทำให้เขามีบทบาทด้านนิติบัญญัติในการวางหลักสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคให้แก่ราษฎร โดยเป็นผู้ยกร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งฉบับแรก และเป็นผู้ริเริ่มสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไป[19]
เขาเป็นสมาชิกคณะกรรมการราษฎรและรัฐมนตรีไม่สังกัดกระทรวงในรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีคนแรก พระยามโนฯ แสดงออกหลายครั้งว่าปรีดีเป็นผู้บงการรัฐบาลบ้าง เป็นผู้คุมเสียงในสภาบ้าง[17]: 20 ในการร่างรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรก เขากับพระยามโนฯ เป็นปรปักษ์กันเพราะฝ่ายพระยามโนฯ พยายามร่างรัฐธรรมนูญให้คล้ายกับรัฐธรรมนูญเมจิที่พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจอย่างกว้างขวาง[9]: 108–9 นอกจากนี้ ปรีดียังเสนอให้ปรับปรุงภาษีอากรบางชนิดโดยเร็ว เช่น ยกเลิกอากรนาเกลือ ภาษีสมพัตสร ปรับปรุงภาษีการธนาคารและการประกันภัย ลดภาษีโรงเรือนที่ดิน ลดและเลิกอัตราเก็บเงินค่าที่สวน การเก็บเงินค่านา มีการออกพระราชบัญญัติว่าด้วยการยึดทรัพย์สินของกสิกรเพื่อให้ทรัพย์สินที่มีความจำเป็นต่อการสร้างตัวของกสิกรถูกเจ้าหนี้ยึดไปไม่ได้[9]: 113–4 รัฐบาลยังออกกฎหมายหลายฉบับ เช่น พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พระราชบัญญัติสำนักงานจัดหางาน พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ซึ่งมีอัตราภาษีแบบก้าวหน้า[9]: 114–8
—ปรีดี พนมยงค์
ในปี 2476 เขาได้เสนอเค้าโครงการเศรษฐกิจ ชื่อร่างว่า "พระราชบัญญัติว่าด้วยการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร" หรือ "สมุดปกเหลือง" ต่อรัฐบาลเพื่อใช้เป็นนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ โดยดำเนินเศรษฐกิจแบบสหกรณ์ ทั้งยังมีวิสัยทัศน์เรื่องการตั้งหลักประกันสังคม[20]: 16–7 เขาประสงค์ให้รัฐบาลเป็นเจ้าของที่ดินและแรงงาน ให้จัดสรรที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์มาใช้เพื่อการกสิกรรม และให้แบ่งปันกำไรอย่างเสมอภาค[21] ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่าความคิดทางเศรษฐกิจของปรีดีมาจากปรัชญาภราดรภาพนิยม (solidaritism) ซึ่งผสานระหว่างความคิดแบบสังคมนิยมกับเสรีนิยมแบบรูโซ[21]
หม่อมเจ้าวัลภากร วรวรรณ ซึ่งถือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจผู้หนึ่ง ทรงเห็นด้วยกับเค้าโครงของปรีดีเช่นกัน[9]: 131 รายงานการประชุมกรรมการพิจารณาเค้าโครงเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2475 (นับแบบเก่า) ระบุว่าผู้เข้าร่วมประชุมส่วนใหญ่เห็นชอบกับแผนดังกล่าว[17]: 33–54 รัฐมนตรีบางคนไม่เห็นชอบโดยอ้างว่าทำไม่ได้บ้าง หรือใช้เวลา 50–100 ปีบ้าง นอกจากนี้พระยามโนฯ ยังให้มีมติของที่ประชุมว่าที่ประชุมยังเห็นไม่ลงรอยกัน และหากรัฐบาลเห็นชอบและประกาศใช้แผนดังกล่าว ถือว่าปรีดีประกาศโครงการเศรษฐกิจในนามของตนแต่ผู้เดียว[9]: 133–35
เค้าโครงเศรษฐกิจดังกล่าวถูกคัดค้านอย่างหนักจากกลุ่มอนุรักษนิยมและถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์[22] พระยามโนปกรณนิติธาดา ยกพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงไม่เห็นด้วยมาเป็นเครื่องชี้ขาดและตีตกไป[13]: 55–6 สุพจน์ ด่านตระกูลเขียนว่าในสมุดปกเหลืองยังมีแผนตั้งสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ หลักประกันสังคมหรือสังคมสงเคราะห์ และการตั้งธนาคารแห่งชาติซึ่งถูกล้มไปพร้อมกับแผนนั้น ในเวลาต่อมามีการจัดตั้งขึ้นทั้งสิ้น[17]: 32
เกิดความขัดแย้งขึ้นตามมาจนนำไปสู่การปิดสภาผู้แทนราษฎรและงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีส่วนสนับสนุนด้วยเพราะทรงวิตกเรื่องการจัดสรรที่ดินใหม่[23]: 19–20 พระยามโนปกรณนิติธาดาแถลงพาดพิงปรีดีว่า[13]: 56
ระหว่างเวลาที่หลวงประดิษฐ์ เป็นรัฐมนตรีอยู่ในคณะรัฐบาลใหม่นั้นคราวใดที่มีการจับกุมลงโทษจีนที่เป็นคอมมิวนิสต์แล้ว หลวงประดิษฐ์มักจะท้วงว่า ผู้ซึ่งนับถือลัทธิคอมมิวนิสต์ไม่ควรมีความผิด ถ้าได้รับโทษต่อเมื่อใดที่เขายุยงหรือใช้กำลังกายก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นแล้วเมื่อนั้นจึงถือว่าผู้นั้นเป็นผู้ทำผิดกฎหมาย การที่ได้ยินหลวงประดิษฐ์กล่าวอยู่เช่นนี้เสมอ ๆ ทำให้ข้าพเจ้าและรัฐมนตรีบางท่านเกิดระแวงขึ้นมา ถึงโครงการเศรษฐกิจที่หลวงประดิษฐ์รับภาระไปนั้นว่าจะมีเข็มไปในทางคอมมิวนิสต์เสียกระมัง
การโฆษณาความเห็นต่อแผนเค้าโครงเศรษฐกิจของเขาโดยกลุ่มเจ้าและอนุรักษนิยมทำให้เกิดการต่อต้านและมีการแห่ถอนเงินจากธนาคาร การต่อต้านดังกล่าวทำให้ปรีดีเดินทางออกนอกประเทศชั่วคราวเพื่อลดความขัดแย้ง[13]: 58 วันที่ 6 เมษายน พระยามโนปกรณ์เข้าพบปรีดีและแจ้งเขาว่าการให้เขาออกนอกประเทศไปจะเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง และรัฐบาลจะออกค่าใช้จ่ายให้ 1,000 ปอนด์ต่อปี[11]: 68 ก่อนถึงวันเดินทาง กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือสำคัญให้แก่ปรีดีโดยระบุว่าเขาเดินทางไปเพื่อ "ศึกษาภาวะทางเศรษฐกิจอื่น ๆ"[9]: 266–7
เขาเดินทางออกนอกประเทศโดยทางท่าเรือบีไอ ในวันที่ 12 เมษายน 2476 หนังสือพิมพ์ ศรีกรุง ลงข่าวว่า มีคนไปส่งปรีดีที่ท่าเรือ 2,000 คน "ด้วยน้ำตาไหลพรากไปตาม ๆ กันเป็นส่วนมาก"[9]: 268 พร้อมกับภรรยา และเพื่อนอีก 3 คน เดินทางถึงสิงคโปร์เมื่อวันที่ 15 เมษายน และได้รับการต้อนรับให้พักอยู่กับคหบดีชาวไทยที่พำนักอยู่ที่นั่น[9]: 290 เขาและคณะเดินทางต่อไปยังเมืองท่ามาร์แซย์ของฝรั่งเศส แล้วนั่งรถไฟต่อไปยังกรุงปารีส เขาพำนักอยู่ที่ชานกรุงและพบปะกับนักเศรษฐศาสตร์และนักการเมือง บ้างก็เดินทางไปยังสหราชอาณาจักร[9]: 293 หลังจากนั้นรัฐบาลใหม่ออกกฎหมายต้านคอมมิวนิสต์ ซึ่งทำให้เข้าใจได้ว่าต้องการขัดขวางปรีดีมิให้เดินทางกลับประเทศอีก[11]: 71
รัฐบาลคณะราษฎร
แก้หลังรัฐประหารเดือนมิถุนายน 2476 ส่งผลให้พระยาพหลพลพยุหเสนา สมาชิกคณะราษฎร เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลเรียกตัวปรีดีกลับสยามในเดือนกันยายนปีเดียวกัน สุพจน์ ด่านตระกูลเล่าว่าขณะนั้นปรีดีกำลังศึกษาปริญญาด้านศาสนาและปรัชญา[17]: 61 ส่วนไสว สุทธิพิทักษ์เล่าว่าปรีดีจะขอรัฐบาลเดินทางไปประเทศสเปนซึ่งขณะนั้นมีการปฏิวัติเป็นสาธารณรัฐแล้ว[9]: 300–1 โดยก่อนหน้านั้นรัฐบาลกราบทูลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวว่าจะไม่รื้อฟื้นแผนเค้าโครงเศรษฐกิจอีก[13]: 58–9 ปรีดีเดินทางออกจากท่ามาร์แซย์ในวันที่ 1 กันยายน และถึงประเทศสยามในวันที่ 29 กันยายน โดยมีหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เดินทางมาต้อนรับ[9]: 302–4 นับแต่นั้นปรีดีปรากฏชื่ออยู่ในรัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นสมาชิกคณะราษฎรสองคน คือ พระยาพหลพลพยุหเสนา และจอมพล ป. พิบูลสงคราม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
แก้เขาได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีลอยในวันที่ 1 ตุลาคม 2476[17]: 63 ความไม่พอใจในตัวปรีดีในหมู่อำนาจเก่ายังมีอยู่ จนเป็นชนวนเหตุของกบฏบวรเดชในที่สุด อย่างไรก็ดี กระแสต่อต้านปรีดีเสื่อมกำลังลงหลังกบฏบวรเดชเป็นฝ่ายปราชัย[13]: 60 เมื่อพระยาพหลฯ จะกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ เพื่อมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งปรีดีเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ทรงมีพระราชโทรเลขตอบว่า "ว่าการมหาดไทยไม่ขัดข้อง แต่ถ้าว่าการศึกษา ขัดข้อง"[9]: 327 ทีแรกปรีดียังไม่รับเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเพราะยังมีมลทินเรื่องคอมมิวนิสต์อยู่ มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเปิดญัตติให้สอบสวนว่าปรีดีเป็นคอมมิวนิสต์หรือไม่ในวันที่ 25 ธันวาคม 2476[9]: 329 โดยมีหม่อมเจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณเป็นประธานกรรมการ ซึ่งคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติเอกฉันท์ว่าไม่ได้เป็น[17]: 120 [b] เมื่อพ้นมลทินแล้ว มีการแต่งตั้งเขาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในวันที่ 24 มีนาคม 2476 (นับแบบเก่า)[9]: 437
เขาเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการร่างพระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2476 แบ่งการบริหารราชการแผ่นดินออกเป็นราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น เพื่อกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นให้สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย และยังร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบเทศบาล พ.ศ. 2476 ถือได้ว่าเป็นผู้ให้กำเนิดระบบเทศบาลในประเทศไทย[17]: 148 สำหรับการจัดระเบียบการปกครองนั้น เนื่องจากเขาเป็นผู้รู้ด้านระเบียบแบบแผนการปกครองและบริหารราชการ จึงได้แนะนำซักซ้อมกับข้าราชการกระทรวงมหาดไทยทุกระดับตั้งแต่ปลัดกระทรวงจนถึงนายอำเภอ[17]: 153 อย่างไรก็ดี แผนงานของเขาถูกขัดขวางจากรัฐมนตรีด้วยกัน เช่น คำขอให้ข้าหลวงประจำจังหวัดและนายอำเภอท้องที่ชายแดนให้ตั้งจากนายทหาร ขณะที่ปรีดีต้องการให้ตั้งจากพลเรือน[9]: 439–41 ไสว สุทธิพิทักษ์เล่าว่าปรีดีจวนเจียนจะเดินทางออกนอกประเทศอยู่แล้วเพื่อรักษาความสามัคคีในหมู่คณะ แต่พระยาพหลฯ มาขอให้อยู่ต่อ[9]: 442
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติในปี 2477 (นับแบบเก่า) รัฐบาลที่มีปรีดีเป็นหัวแรงขอความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรอัญเชิญพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดลสืบราชสมบัติต่อ[11]: 106 นอกจากนี้ปรีดียังมีส่วนสำคัญในการคัดเลือกคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในยุวกษัตริย์[11]: 106–8
ในเวลานั้นเห็นว่าการพัฒนาคนมีความสำคัญมากกว่าแผนโครงการเศรษฐกิจแล้ว[17]: 125 และเขายังเห็นว่าข้าราชการควรมีความรู้นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์และสาขาที่เกี่ยวข้อง เรียกว่า "จริยศาสตร์"[11]: 96 จึงได้สถาปนามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (มธก.) ขึ้นเมื่อ 27 มิถุนายน 2477 เขามีบทบาทเป็นผู้ร่างโครงการ หาที่ตั้ง และวางหลักสูตร[17]: 126 เกิดจากการรวมโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรมกับคณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[11]: 96 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ประศาสน์การ (ปี 2477–2490) โดยตั้งใจให้เป็นมหาวิทยาลัยตลาดวิชาให้ราษฎรมีความเสมอภาคในการเข้าถึงการศึกษา[24] เงินทุนของมหาวิทยาลัยอาศัยเงินค่าสมัครเข้าเรียนของนักศึกษาและดอกผลของธนาคารแห่งเอเชียเพื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรมซึ่งปรีดีเป็นผู้ก่อตั้ง โดยให้มหาวิทยาลัยถือหุ้นถึง 80%[25]: 126 นอกจากนี้ปรีดียังได้ยกกิจการโรงพิมพ์นิติสาส์นของตนให้มหาวิทยาลัยเพื่อพิมพ์ตำรา[10]: 22 [c] ต่อมา มธก. ถูกกล่าวหาว่าเป็นฐานอำนาจของปรีดีเพื่อใช้แข่งขันกับจอมพล ป. พิบูลสงครามที่มีฐานอำนาจในกองทัพ[11]: 96
ปรีดีมีความสนใจตั้งองค์การของรัฐที่มีหน้าที่พิทักษ์ประโยชน์ของราษฎร ให้ยกฐานะกรมร่างกฎหมายเป็นคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นองค์การอิสระไม่ขึ้นกับกระทรวงยุติธรรม การแต่งตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกาต้องได้รับความเห็นชอบของสภา[17]: 149 ทำหน้าที่ยกร่างกฎหมายและเป็นที่ปรึกษากฎหมายของแผ่นดิน ทั้งยังพยายามผลักดันให้คณะกรรมการกฤษฎีกาทำหน้าที่ศาลปกครองอีกด้วย แต่ความพยายามประสบอุปสรรคมาโดยตลอด[10]: 23 [d] ให้ยกกรมตรวจเงินแผ่นดินเป็นสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินมีหน้าที่ตรวจตราการใช้จ่ายของราชการทุกส่วนตามกฎหมาย โดยไม่ต้องฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชาเหมือนแต่ก่อน[17]: 151–2 มีการปรับปรุงกลไกการปกครอง โดยออกพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการตุลาการ และพระราชบัญญัติจัดระเบียบป้องกันราชอาณาจักร[17]: 152
เขายังจัดทำกฎหมายว่าด้วยครอบครัว มรดก กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและอาญา และกฎหมายว่าด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ซึ่งความสำเร็จในครั้งนี้มีผลสืบเนื่องกับการประกาศใช้ประมวลกฎหมาย และความสำเร็จในการเจรจาขอแก้ไขสนธิสัญญาไม่เป็นธรรมกับต่างประเทศดังที่จะกล่าวต่อไปด้วย[17]: 172–3
วันหนึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพบว่ารัฐบาลชุดก่อนสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปกู้จากต่างประเทศโดยเสียดอกเบี้ยสูงมาก ปรีดีรับไปเจรจาขอลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ดังกล่าวพร้อมกับไปเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ[9]: 442–4 เขาออกเดินทางไปถึงนครตรีเยสเต ราชอาณาจักรอิตาลี ในเดือนตุลาคม 2479 โดยมุสโสลินีสัญญาจะยกเลิกสัญญาอันไม่เป็นธรรมโดยเร็วที่สุด[9]: 446–7 สำหรับการเจรจากับสาธารณรัฐฝรั่งเศส นาซีเยอรมนีและสหราชอาณาจักรนั้นเพียงแต่ได้รับคำตอบว่าจะไปพิจารณาแก้ไขสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรม แต่เซอร์ ซามูเอล ฮอร์ (Samuel Hoare) ตกลงลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้[9]: 447–9 คือ ลดจากร้อยละ 6 เหลือร้อยละ 4 ทำให้ประหยัดงบประมาณได้ 600,000–700,000 บาทต่อปีในระยะเวลา 30 ปี[11]: 127 รัฐสภาแสดงความขอบคุณปรีดีในโอกาสดังกล่าว[11]: 127 ต่อมา ปรีดีเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ คอร์ดัล ฮัลที่กรุงวอชิงตัน และได้รับคำตอบว่ายกเลิกสนธิสัญญาไม่เป็นธรรมโดยเร็ว สุดท้ายเขาเข้าเฝ้าจักรพรรดิฮิโรฮิโตะแห่งญี่ปุ่นและนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เขาปฏิเสธเข้ากับนโยบายผิวเหลือง-ผิวขาว แต่ในเรื่องสนธิสัญญาไม่ธรรมญี่ปุ่นยอมยกเลิก[9]: 449–51
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
แก้เมื่อจัดระเบียบวางแผนให้กระทรวงมหาดไทยแล้ว เขามอบหมายงานต่อให้พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์[17]: 153 ส่วนตัวเขาหันมารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2478 (นับแบบเก่า) ปรีดีมีนโยบายเป็นมิตรกับทุกประเทศ และดำริปลดเปลื้องพันธกรณีของประเทศจากสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรม ได้แก่ สิทธิถอนคดีของกงสุลต่างประเทศจนกว่าออกประมวลกฎหมายแล้ว 5 ปี ซึ่งเป็นการเสียเอกราชทางการศาล การถูกจำกัดด้านเอกราชทางเศรษฐกิจ เช่น การห้ามเก็บอากรศุลกากรสินค้าบางชนิด การให้สัญชาติอังกฤษและฝรั่งเศสแก่คนในบังคับอังกฤษและฝรั่งเศสที่เกิดในประเทศ และห้ามเก็บอากรศุลกากรในแม่น้ำโขง เป็นต้น[9]: 471
ปรีดีเจรจาเรื่องสนธิสัญญาทางไมตรี พาณิชย์และการเดินเรือใหม่และสิ้นสุดลงในเดือนพฤศจิกายน 2479 นานาประเทศลงนามในสนธิสัญญาฉบับใหม่ในปี 2480 ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ เบลเยียม สวีเดน เดนมาร์ก สหรัฐ นอร์เวย์ สหราชอาณาจักร อิตาลี ฝรั่งเศส (รวมการยกเลิกการห้ามเก็บภาษีศุลกากรในเขต 25 กิโลเมตรจากชายแดนด้วย) ญี่ปุ่นและเยอรมนี[9]: 474–5 โดยเจรจาขอยกเลิกสิทธิถอนคดี[17]: 158–60 ส่วนเรื่องอัตราศุลกากร ปรีดีเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาจนเริ่มจากสหรัฐในปี 2463 แม้ยังมีการกำหนดเพดานสูงสุดของภาษีศุลกากรที่สยามสามารถเรียกเก็บได้อยู่เป็นเวลา 10 ปี จนในช่วงปี 2480–1 สนธิสัญญาใหม่ทำให้ไทยมีอิสระเต็มที่ทางรัษฎากร[17]: 162 ความชอบในการแก้ไขสนธิสัญญากับต่างประเทศทำให้รัฐบาลขอพระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มราชการแผ่นดินให้เป็นบำเหน็จ[17]: 170–1 เขายังมีส่วนเจรจาปักปันเขตแดนใหม่กับบริเตน ทำให้สยามได้ดินแดนเพิ่มขึ้นในแม่น้ำลายที่จังหวัดเชียงราย และดินแดนที่อยู่ในลุ่มแม่น้ำปากจั่นที่จังหวัดระนอง[17]: 173
เมื่อพระยาพหลพลพยุหเสนาลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและไม่ขอรับตำแหน่งอีกในปี 2481 กลุ่มคณะราษฎรเสนอชื่อบุคคลเพื่อรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรวม 4 คน รวมทั้งปรีดีด้วย แต่ผลปรากฏว่าแพ้หลวงพิบูลสงคราม เชื่อว่าสาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะปรีดีมีความคิดก้าวหน้าและถูกมองว่านิยมระบอบสาธารณรัฐ[13]: 70–1 อีกส่วนหนึ่งคือจำเป็นต้องเตรียมการป้องกันประเทศท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ผันผวน[11]: 124
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
แก้เมื่อปรีดีเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในปี 2481 เขาประกาศใช้พิกัดอัตราอากรศุลกากรใหม่หลังเจรจายกเลิกอัตราเดิมไปแล้วก่อนหน้านี้[17]: 179 เขาลดหรือเลิกเก็บอากรศุลกากรสินค้าบางประเภทเพื่อส่งเสริมการนำเข้า เช่น สินค้าเพื่ออุดหนุนเกษตรกรรมหรืออุตสาหกรรม การแพทย์ วิทยาศาสตร์และการศึกษา เป็นต้น ทั้งมีการเปลี่ยนให้เก็บภาษีขาออกเป็นตามราคา โดยยอมลดรายได้จากภาษีขาออกเพื่อให้ชาวนาส่งออกข้าวได้มากขึ้น[9]: 486–7 เขายังปฏิรูปโดยตัดภาษีที่มีอัตราถอยหลัง ประกอบด้วยภาษีรัชชูปการ อากรค่านา อากรสวน ภาษีไร่อ้อยและภาษีไร่ยาสูบซึ่งจะทำให้งบประมาณขาดดุลประมาณ 12 ล้านบาทต่อปี[9]: 491 และเพิ่มรายได้โดยการปรับปรุงภาษีที่มีอยู่แล้วให้มีความเป็นธรรมมากขึ้น ประกอบด้วยภาษีเงินได้ ภาษีโรงค้า ภาษีธนาคาร อากรสแตมป์ และเพิ่มอากรใหม่ ประกอบด้วยอากรมหรสพ เงินช่วยบำรุงท้องที่ (เสียให้ราชการท้องถิ่น) เงินช่วยบำรุงการประถมศึกษา จนสุดท้ายมีการประมวลเป็นประมวลรัษฎากรในวันที่ 1 เมษายน 2482[9]: 491–4 ผลทำให้รายได้ภาครัฐเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 (132 ล้านบาทในปี 2481 เป็น 194 ล้านบาทในปี 2484)[11]: 128
สำหรับรายได้ที่ยังขาดดุลอยู่นั้น ปรีดีเพิ่มอากรศุลกากรสินค้าที่ผลิตได้เองในประเทศเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรม และเพิ่มภาษีสรรพสามิตโดยเรียกเก็บจากสุรา รัฐผูกขาดและจำหน่ายฝิ่นเพื่อหวังลดการบริโภค[9]: 500–1 มีการขยายชลประทานเพื่อส่งเสริมการทำนาเกลือ[17]: 193 เขายังส่งเสริมให้รัฐบาลร่วมลงทุนในเขตดังกล่าวและประกันรับซื้อเกลือสมุทร[11]: 129 เขาให้กรมสรรพสามิตซื้อบริษัทบริติชอเมริกันทูแบโก ซึ่งมีการออกกฎหมายให้รัฐบาลผูกขาดยาสูบ[9]: 502–3 อีกทั้งเข้าเป็นเจ้าของโรงงานสุรา เช่น โรงงานสุราบางยี่ขัน เป็นต้น[17]: 192 ปรีดีศึกษาเรื่องยาสูบอย่างใกล้ชิด จนมีหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าเขาทดลองผสมยาสูบและสูบเองจนมึนเมา[9]: 503 ปรีดียังสั่งให้ตรวจสอบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จนเกิดคดีแพ่งระหว่างสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์กับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว[11]: 133
ต่อมาก็ได้รื้อฟื้นเรื่องการจัดตั้งธนาคารกลางหรือธนาคารแห่งชาติมาพิจารณาใหม่อย่างจริงจัง โดยเริ่มจากจัดตั้งสำนักงานธนาคารชาติไทยขึ้นก่อน มีหน้าที่เหมือนธนาคารพาณิชย์อย่างเดียว และเร่งฝึกพนักงาน ต่อมาจึงจัดตั้งธนาคารชาติไทยขึ้นในปี 2483 ซึ่งมีหน้าที่ออกธนบัตรเพิ่มขึ้นมาด้วย[9]: 525–8 ในเวลานั้นเป็นช่วงใกล้สงครามโลกครั้งที่สองปะทุขึ้น ปรีดีคาดการณ์ว่าเงินปอนด์สเตอร์ลิงซึ่งสยามประเทศใช้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในขณะนั้นอาจมีมูลค่าลดลงได้ จึงนำเงินปอนด์ไปซื้อทองคำแท่งมาเก็บสำรองแทน นอกจากนี้ยังแลกเปลี่ยนเป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐ[25]: 144–5 [9]: 512–20 ธุรกรรมครั้งนั้นทำให้รัฐบาลได้กำไร 5.05 ล้านบาท[11]: 131 ทุนนี้เป็นทุนตั้งต้นของสำนักงานธนาคารชาติไทยโดยไม่ต้องพึ่งงบประมาณแผ่นดินแม้แต่บาทเดียว[11]: 131 ปรีดีได้ฝากทองคำบางส่วนไว้ในต่างประเทศ ประกอบด้วยบริเตน สหรัฐและญี่ปุ่น ซึ่งในเวลาต่อมาจะเป็นทุนสำหรับขบวนการเสรีไทยในต่างประเทศด้วย[17]: 182 เขาริเริ่มการจัดทำงบประมาณแผ่นดินให้เป็นแบบแผนและให้ขึ้นกับความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร[17]: 182
ในปี 2482 เกิดกรณีพิพาทอินโดจีน เขาดำริจะเรียกร้องดินแดนของอินโดจีนคืนแก่สยามด้วยวิถีทางตามกฎหมาย แต่จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี เลือกใช้วิธีทวงดินแดนด้วยกำลังแทน[17]: 193 ช่วงก่อนสงครามเขาขัดขวางคำขอกู้ของรัฐบาลญี่ปุ่น โดยกำหนดเงื่อนไขให้ญี่ปุ่นชำระคืนเป็นทองคำแท่ง ทำให้ญี่ปุ่นไม่พอใจมาก และมองว่าปรีดีเป็นตัวการขัดขวาง[11]: 143
นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้มีบทบาทในการปฏิรูปการปกครองของสงฆ์โดยร่างพระราชบัญญัติสงฆ์ พ.ศ. 2484 ใช้แทนพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 ทำให้การปกครองสงฆ์เป็นประชาธิปไตย[e]
บทบาทในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
แก้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
แก้เมื่อญี่ปุ่นเคลื่อนพลเข้าประเทศไทยในวันที่ 8 ธันวาคม 2484 ปรีดีกับดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศขณะนั้น เป็นผู้คัดค้านการยอมให้ทัพญี่ปุ่นเคลื่อนทัพผ่านประเทศของทูตญี่ปุ่น และคัดค้านการเข้าเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น[17]: 206–7 ปรีดีพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลในวันที่ 16 ธันวาคม 2484 ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ถูกมองว่าไร้อำนาจ โดยมติของสภาผู้แทนราษฎร การแต่งตั้งนี้มีมูลเหตุมาจากความขัดแย้งส่วนตัวระหว่างปรีดีกับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ตลอดจนอิทธิพลบีบบังคับของญี่ปุ่นเนื่องจากปรีดีในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังขัดขวางมิให้ญี่ปุ่นนำเงินสกุลเยนมาแลกเงินบาทเพื่อใช้ซื้อเสบียงเลี้ยงกองทัพญี่ปุ่น และไม่ยอมให้กู้ยืมเงินบาท[17]: 204–5, 208–9 [9]: 537–8, 540 คล้อยหลังปรีดีพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี รัฐบาลก็ได้ทำสัญญาเป็นพันธมิตรทางทหารกับญี่ปุ่นในวันที่ 21 ธันวาคม และเมื่อรัฐบาลประกาศสงครามต่อสหราชอาณาจักรและสหรัฐเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2485 ปรีดีในฐานะหนึ่งในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หลีกเลี่ยงการร่วมลงนามในประกาศสงคราม อันจะทำให้ประกาศไม่มีผลสมบูรณ์[17]: 212 ระหว่างสงคราม ปรีดีถวายความปลอดภัยให้แก่พระบรมวงศานุวงศ์โดยจัดให้ไปพำนักอยู่ที่พระราชวังบางปะอิน[9]: 566
ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2486 ปรีดีได้รับคำสั่งจากจอมพล ป. พิบูลสงครามในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ให้ไปประจำกองบัญชาการทหารสูงสุดในฐานะผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย แต่เขาไม่ยอมปฏิบัติตามเพราะเห็นว่าการสั่งผู้สำเร็จราชการเป็นโมฆะตามกฎหมาย ในที่สุดปรีดีได้รับการอารักขาจากทหารเรือ[9]: 547–9 ในวันที่ 22 กันยายน 2486 จอมพล ป. ตั้งกรรมการสอบสวนปรีดีโดยกล่าวหาว่าเขาว่าแผนจะจับตนเพื่อเป็นการต่อต้านญี่ปุ่น แต่รอดพ้นจากข้อหาไปได้อย่างหวุดหวิด[9]: 553
ปรีดีเป็นผู้มีบทบาทสำคัญผลักดันให้ควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2487 หลังรัฐบาลจอมพล ป. ลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากแพ้เสียงร่างพระราชบัญญัติสำคัญ 2 ฉบับ[17]: 224 [f] เขายังแต่งตั้งพลเอก พจน์ พหลโยธินเป็นรัฐมนตรีลอย, แม่ทัพใหญ่ (แทนตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่ถูกยกเลิกไป) และผู้บัญชาการทหารบก ตลอดจนตั้งให้จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน เพื่อป้องกันรัฐประหาร[17]: 230–6
หัวหน้าขบวนการเสรีไทย
แก้ผู้นำเสรีไทยในประเทศ
|
ปรีดี พนมยงค์เป็นผู้นำจัดตั้งองค์การต่อต้านญี่ปุ่นหรือขบวนการเสรีไทยในประเทศ[25]: 195–200 ทวี บุณยเกตุ เล่าว่า ปรีดีติดต่อฝ่ายสัมพันธมิตรแล้วส่งคนออกนอกประเทศเป็นสาย ๆ และดำริแผนให้ทวีได้รับเลือกเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรแล้วจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นนอกประเทศ แต่จอมพล ป. ขัดขวาง[17]: 215–7 เมื่อแผนตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นไม่สำเร็จ จึงเปลี่ยนมาใช้วิธีตั้งขบวนการเสรีไทยในประเทศ ซึ่งสำนักงานบริการด้านยุทธศาสตร์ (โอเอสเอส) และหน่วย 136 ที่เป็นฝ่ายข่าวกรองของสหรัฐ และบริเตนในอินเดียตามลำดับ ตั้งรหัสนามให้ว่า "รู้ธ" (Ruth) ทั้งสองประเทศก็ขอส่งตัวแทนมาขอตั้งหน่วยปฏิบัติการลับในพระนครด้วย[17]: 218–9
ในเดือนพฤษภาคม 2488 ปรีดีแจ้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศทราบว่า ไทยจะใช้อุบายบอกเลิกสัญญาต่าง ๆ กับญี่ปุ่น[9]: 556 [17]: 236–7 และเสรีไทยจำนวน 8 หมื่นคนทั่วประเทศพร้อมที่จะลุกฮือขึ้นเพื่อทำสงครามกับทหารญี่ปุ่นอย่างเปิดเผย แต่ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ร้องขอให้ชะลอแผนนี้ไว้ก่อน[29] อย่างไรก็ดี สำหรับการเจรจาการเมืองเรื่องการรับรองเอกราชของไทยนั้น สหราชอาณาจักรไม่ยอมตอบ สุดท้ายมีการกำหนดวันที่ 1 กันยายน 2488 เป็นวันจับอาวุธลุกขึ้นสู่กับทหารญี่ปุ่นในประเทศ[9]: 557–8 อย่างไรก็ดี จักรวรรดิญี่ปุ่นยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตรในวันที่ 15 สิงหาคมก่อนวันลงมือ
บทบาททางการเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
แก้ประกาศสันติภาพ
แก้วันที่ 16 สิงหาคม 2488 ปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ออกประกาศสันติภาพ ใจความว่าการประกาศสงครามต่อสหรัฐและบริเตนใหญ่เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2485 เป็นโมฆะ และประเทศไทยพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับสหประชาชาติในการสถาปนาสันติภาพในโลกนี้ ต่อมารัฐบาลได้ประกาศให้วันที่ 16 สิงหาคม ของทุกปีเป็นวันสันติภาพไทย[25]: 202–9 [30] ภายหลังประกาศสันติภาพ ปรีดีประกาศยกเลิกขบวนการเสรีไทย[29]
เมื่อญี่ปุ่นยอมจำนน จอมพล เจียง ไคเชก หัวหน้ารัฐบาลชาตินิยมจีนเรียกร้องจะเข้ามาปลดอาวุธทหารญีปุ่นที่อยู่เหนือเส้นขนานที่ 16 องศาเหนือ หรือเกือบครึ่งประเทศ ปรีดีได้ขอแฮร์รี ทรูแมน ประธานาธิบดีสหรัฐให้ยับยั้งคำขอดังกล่าวได้สำเร็จ[9]: 587–8 ฝ่ายสัมพันธมิตรเรียกร้องให้ไทยจับตัวผู้ที่ถูกระบุตัวเป็นอาชญากรสงครามไปขึ้นศาลทหารระหว่างประเทศสำหรับตะวันออกไกลในประเทศญี่ปุ่น[9]: 597 ด้านจอมพล ป. พิบูลสงครามก็เขียนจดหมายถึงปรีดีขอให้ฝ่ายหลังช่วยเหลือ[17]: 139–40 สุดท้ายด้วยการเจรจาของปรีดีทำให้ไทยได้รับความยินยอมให้มีกฎหมายอาชญากรสงครามของไทยโดยเฉพาะมาใช้บังคับ และจัดตั้งศาลอาชญากรสงครามขึ้นในประเทศไทย[9]: 598
ฝ่ายสัมพันธมิตรแจ้งให้ปรีดีทราบว่า สัมพันธมิตรไม่ถือว่าประเทศไทยเป็นผู้แพ้สงคราม ประเทศไทยไม่ต้องถูกยึดครอง รัฐบาลไทยไม่ต้องยอมจำนน กองทัพไทยไม่ต้องวางอาวุธ และให้รีบออกแถลงการณ์ปฏิเสธการประกาศสงครามระหว่างไทยกับสัมพันธมิตร เพื่อลบล้างข้อผูกพันทั้งหลายที่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ทำไว้กับญี่ปุ่น[31][32]
เมื่อบ้านเมืองสงบเรียบร้อยดีแล้วปรีดี พนมยงค์จึงขออัญเชิญสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จนิวัติประเทศไทยเพื่อทรงบริหารราชการแผ่นดินด้วยพระองค์เองต่อไป โดยได้เสด็จกลับถึงพระนครวันที่ 5 ธันวาคม 2488 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสตอบปรีดีที่ไปเฝ้ารับเสด็จบางตอนว่า "ข้าพเจ้าขอขอบใจท่านเป็นอันมากที่ได้ปฏิบัติกรณียกิจแทนข้าพเจ้า ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อข้าพเจ้าและประเทศชาติ ข้าพเจ้าขอถือโอกาสนี้ แสดงไมตรีจิตในคุณงามความดีของท่าน ที่ส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ประเทศชาติ และช่วยบำรุงรักษาความเป็นเอกราชของชาติไว้"[33]: 33 ด้วยคุณูปการที่เป็นผู้นำในการกอบกู้บ้านเมืองในยามคับขัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกย่องปรีดี พนมยงค์ในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส ลงในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 8 ธันวาคม 2488 ในโอกาสนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ ซึ่งเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดที่สามัญชนพึงได้รับพระราชทานแก่เขา เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2488[34]
นายกรัฐมนตรีและทูตสันถวไมตรี
แก้หลังสงคราม ปรีดีพยายามรักษาฐานอำนาจของตนผ่านการควบคุมตำรวจ สารวัตรทหารและกลุ่มเสรีไทย[35]: 202 ซึ่งสถานเอกอัครราชทูตอเมริกันวิจารณ์ว่า อาวุธในมือเสรีไทยเป็น "คลังแสงส่วนตัวของกองทัพส่วนตัว"[35]: 202 ในเดือนมกราคม 2489 หลังการเลือกตั้งใหม่แทนสภาชุดเดิมที่ยุบไปหลังสงครามยุติ ปรีดีด้วยเห็นว่าความคิดทางการเมืองของควงเปลี่ยนไปจากคณะปฏิวัติเดิมแล้ว จึงสนับสนุนให้ดิเรก ชัยนามเป็นนายกรัฐมนตรี แต่แพ้เสียงควง อภัยวงศ์ พรรคประชาธิปัตย์จึงได้จัดตั้งรัฐบาลช่วงสั้น ๆ ระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคม 2489 ต่อมา รัฐบาลไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายที่ผ่านสภา จึงลาออกจากตำแหน่ง พรรคสหชีพและพรรคแนวรัฐธรรมนูญสนับสนุนปรีดีให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 7[17]: 250 เขาเจรจาแก้ไขความตกลงสมบูรณ์แบบในข้อที่ไทยจะต้องส่งข้าวเปล่าให้แก่สหราชอาณาจักร กลายเป็นต้องซื้อข้าวไทยแทน[17]: 251 เขาเป็นผู้ก่อตั้งหอสมุดดำรงราชานุภาพ[36]: 48 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ที่ได้ชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยมากที่สุดเนื่องจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและพฤฒสภามาจากการเลือกตั้งทั้งสองสภา ก็ได้ประกาศใช้ในสมัยของเขาด้วย ผู้แทนทางทูตอเมริกันประเมินว่า นโยบายของรัฐบาลเขา "ไม่มีสังคมนิยมเจือปน" จะมีก็แต่การสนับสนุนสหกรณ์เกษตรกรและรัฐวิสาหกิจเท่านั้น[35]: 188
วันที่ 9 มิถุนายน 2489 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต รัฐบาลปรีดีที่เพิ่งชนะเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จึงขอความเห็นชอบต่อรัฐสภาให้อัญเชิญพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ขึ้นครองราชย์สืบสันตติวงศ์ต่อไป เมื่อสภามีมติเห็นชอบแล้ว ปรีดีก็ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 11 มิถุนายน 2489 แต่สภาผู้แทนราษฎรก็สนับสนุนให้ปรีดีดำรงตำแหน่งตามเดิม[37]: 122–9 เขายังได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกพฤฒสภาช่วงสั้น ๆ ก่อนลาออกไปสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เขต 2 ซึ่งเขาได้รับเลือกตั้งเพราะไม่มีผู้อื่นลงสมัครแข่ง[17]: 259 สำหรับบทบาทของปรีดีในกรณีสวรรคต ส. ศิวรักษ์เขียนว่า เขาปกป้องเชื้อพระวงศ์ที่ประพฤติผิด และไม่ได้ให้อธิบดีกรมตำรวจและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยชันสูตรพระศพแต่แรก และจับกุมผู้ทำลายหลักฐาน[1]: 5–6
กรณีสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลได้ทำให้ศัตรูทางการเมืองของปรีดี ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มทหารสายจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่สูญเสียอำนาจหลังสงครามโลกครั้งที่สอง พรรคการเมืองฝ่ายค้านนำโดย พรรคประชาธิปัตย์[1]: 54 และกลุ่มอำนาจเก่า[38] ฉวยโอกาสนำมาใช้ทำลายปรีดีทางการเมือง โดยการกระจายข่าวไปตามหนังสือพิมพ์ และสถานที่ต่าง ๆ รวมทั้งส่งคนไปตะโกนในศาลาเฉลิมกรุงว่า "ปรีดีฆ่าในหลวง"[1]: 54–55 [39][9]: 668 และนำไปสู่การลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเขาในเดือนสิงหาคม 2489 โดยหลังจากนั้นหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มปรีดีให้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน[37]: 129–134
ต้นเดือนพฤศจิกายน 2489 ภายหลังจากที่ปรีดีลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ก็ได้รับเชิญจากรัฐบาลหลายประเทศให้ไปเยือนประเทศเหล่านั้น รัฐบาลไทยทราบจึงแต่งตั้งเขาเป็นทูตสันถวไมตรี โดยได้ไปเยือนประเทศจีนเป็นแห่งแรก จากนั้นก็ไปฟิลิปปินส์ สหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ เดนมาร์ก สวีเดน และนอร์เวย์ รวม 9 ประเทศ และกลับมาถึงกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2490[40][41] ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติลำดับที่ 55 ในวันที่ 16 ธันวาคม 2489 โดยปรีดีใช้สายสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้นำประเทศฝรั่งเศสและสหภาพโซเวียตมิให้ทั้งสองประเทศนี้ในฐานะสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติใช้อำนาจยับยั้งการสมาชิกเข้าเป็นสมาชิกของไทย[17]: 260–1
เขายังได้มีข้อเสนอแนะด้านการพัฒนาเกษตรกรรมแก่รัฐบาล เช่น ส่งเสริมการผสมพันธุ์ฝ้าย การใช้เครื่องจักรช่วยในการกสิกรรม จัดระเบียบอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์และการจับปลาใหม่ ส่งเสริมโครงการสร้างบ้านเป็นงานอาคารสงเคราะห์ สร้างสวนสาธารณะ ส่งเสริมการท่องเที่ยวจากต่างประเทศ[9]: 747–50 เขาเสนอให้สร้างเขื่อนชัยนาทโดยรัฐบาลก็เห็นชอบข้อเสนอดังกล่าว[9]: 756 ในปี 2490 ปรีดีพยายามขอการสนับสนุนจากชาติตะวันตกแก่รัฐบาลเขา แต่นอกเหนือจากนั้น ยังเป็นไปเพื่อขอการสนับสนุนแก่บริษัทเขาและเขื่อนชัยนาท นอกจากนี้ยังเป็นผู้นำคนแรกที่ขอรับการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและทหารจากสหรัฐ[35]: 203–4 เขายังพยายามเข้าเป็นพันธมิตรทางทหารของสหรัฐ และขอที่ปรึกษาทางทหารมาเพื่อปรับปรุงกองทัพไทย แต่สหรัฐปฏิเสธว่าไม่ได้รับอนุมัติจากรัฐสภา[35]: 204 อย่างไรก็ดี เขามีความสัมพันธ์อันดีกับฝ่ายเรียกร้องเอกราชในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะเวียดนาม โดยผู้แทนเวียดนามระบุว่า มีความปรารถนาก่อตั้งสหพันธ์ชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเชื่อว่าปรีดีจะเป็นหัวหน้าสหพันธ์ดังกล่าวโดยธรรมชาติ[35]: 205
ลี้ภัย
แก้ต่อมาในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 คณะทหารแห่งชาติที่มีพลโท ผิน ชุณหะวัณ เป็นผู้นำ และมีจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นหัวหน้าใหญ่ ยึดอำนาจการปกครองประเทศจากรัฐบาลพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ คณะรัฐประหารยังหยิบยกข้อกล่าวหารุนแรงว่าปรีดีเป็นผู้บงการลอบปลงพระชนม์อดีตพระมหากษัตริย์ด้วย หลังจากยึดอำนาจสำเร็จ คณะรัฐประหารได้นำกำลังทหารพร้อมรถถังบุกยิงทำเนียบท่าช้างวังหน้าซึ่งปรีดีและครอบครัวอาศัยอยู่หวังจะจับกุมตัวเขา แต่เขาก็หลบหนีไปได้ภายใต้การอารักขาของทหารเรือและได้อาศัยฐานทัพเรือสัตหีบเป็นที่หลบภัยอยู่ชั่วระยะหนึ่ง เมื่อพิจารณาเห็นว่ายังไม่พร้อมต่อต้านคณะรัฐประหาร จึงได้ลี้ภัยการเมืองโดยความช่วยเหลือของสถานทูตสหราชอาณาจักรและสหรัฐไปยังประเทศสิงคโปร์ จนถึงปลายเดือนพฤษภาคม 2491 จึงออกเดินทางต่อไปยังสาธารณรัฐจีน[42]: 50–60 ระหว่างนั้นทางการไทยออกหมายจับปรีดีในคดีลอบปลงพระชนม์ อีกทั้งขอให้ทางการสหราชอาณาจักรส่งตัวปรีดีเป็นผู้ร้ายข้ามแดนด้วย แต่ทางการสหราชอาณาจักรปฏิเสธ[9]: 784 ทั้งนี้ ทางการสหรัฐปฏิเสธตรวจลงตราเดินทางแก่ปรีดีเพราะไม่อยากสร้างความขุ่นเคืองแก่จอมพล ป. พิบูลสงคราม[35]: 208
หลังลี้ภัยอยู่ในประเทศจีนได้ประมาณ 7 เดือน ก็ลอบกลับเข้าประเทศเพื่ออำนวยการ "ขบวนการประชาธิปไตย 26 กุมภาพันธ์" ซึ่งประกอบด้วยนายทหารเรือและอดีตเสรีไทยหลายนาย ในความพยายามยึดอำนาจคืนเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2492 แต่กระทำไม่สำเร็จ (เรียกกันว่า "กบฏวังหลวง") หลังเหตุการณ์ ปรีดีลอบพำนักอยู่ในประเทศไทย 6 เดือนก่อนโดยสารเรือจำปลาขนาดเล็กหนีไปพำนักยังสิงคโปร์ ก่อนมุ่งหน้าต่อไปยังฮ่องกง ปรีดีเขียนเล่าว่า ขณะเปลี่ยนเรือไปชิงเต่า ได้รับการต้อนรับจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนในฐานะผู้ลี้ภัยการเมือง และได้เชิญเข้าร่วมพิธีสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนด้วย[9]: 792–3 ระหว่างนั้น ปรีดีอยู่ในฐานะแขกของรัฐบาลจีนซึ่งออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ซ้ำยังได้รับข้อเสนอว่าทางการจีนพร้อมเปิดสงครามกลางเมืองคอมมิวนิสต์ในไทยเพื่อให้ปรีดีกลับไปมีอำนาจ แต่เขาปฏิเสธ[9]: 797–801 ขณะพำนักอยู่ในประเทศจีน ปรีดีได้มีโอกาสพบปะสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้นำพรรคและรัฐบาลจีนไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดีเหมา เจ๋อตง, นายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล, เติ้ง เสี่ยวผิง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน, นอกจากนี้ได้รับเชิญไปงานศพของโฮจิมินห์ ผู้นำปฏิวัติเวียดนาม, พบเจ้าสุวรรณภูมา นายกรัฐมนตรีลาว[9]: 806–7 ในปี 2499 ขั้วอำนาจจอมพล ป. และพลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ พยายามชักชวนปรีดีกลับประเทศเพื่อต่อสู้คดีสวรรคตอีก เพื่อช่วยคานอำนาจกับขั้วอำนาจจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และศักดินา ด้านรัฐบาลสหรัฐเตือนจอมพล ป. ว่าจะทำให้เกิดความวุ่นวาย[43] ในปี 2501 ปรีดีเสนอให้รัฐบาลจอมพลถนอมขุดคลองที่คอคอดกระ[17]: 8–9
ต้นเดือนพฤษภาคม 2513 นายกรัฐมนตรีจีนโจว เอินไหลทราบความประสงค์ของปรีดีที่ต้องการเดินทางไปกรุงปารีสเพื่ออยู่กับครอบครัว จึงออกหนังสือเดินทางคนต่างด้าวให้ปรีดีเดินทางจากประเทศจีนไปยังกรุงปารีส ด้วยความช่วยเหลือจากกีโยม จอร์จ-ปีโก (Guillaume Georges-Picot) มิตรเก่าซึ่งเคยเป็นอุปทูตฝรั่งเศสประจำประเทศสยาม[9]: 839–40 ถึงกรุงปารีสในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2513 ปรีดีจึงได้พำนักอยู่ ณ ประเทศฝรั่งเศสนับแต่นั้น มาถึงไม่นานเกิดความขัดแย้งที่ทางการไทยไม่ยอมออกหนังสือรับรองการมีชีวิตอยู่และไม่ยอมจ่ายเงินบำนาญให้ จึงฟ้องร้องจนได้รับทั้งสองประการ[9]: 841 ปรีดีจึงได้รับความรับรองจากทางราชการในฐานะคนไทยโดยสมบูรณ์ตามกฎหมายทุกประการ และได้รับเงินบำนาญตลอดจนได้รับหนังสือเดินทางของไทย[44]
เวลา 11 นาฬิกาเศษ ของวันที่ 2 พฤษภาคม 2526 ณ บ้านอ็องโตนี ชานกรุงปารีส ปรีดี พนมยงค์ สิ้นใจด้วยอาการหัวใจวายขณะกำลังเขียนหนังสืออยู่ที่โต๊ะทำงาน[2]
ครอบครัวให้อัญเชิญอัฐิของปรีดีกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2529[13]: 336 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าไตร 10 ไตรในการบำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทานอัฐิในวันที่ 8 พฤษภาคม ซึ่งอาจตีความได้ว่าทรงให้ความสำคัญกับปรีดี หรือพระราชทานอภัยโทษก็ได้[13]: 337
ชีวิตส่วนตัว
แก้ครอบครัว
แก้ภาพถ่ายครอบครัวปรีดีปี 2474
|
ปรีดีสมรสกับพูนศุข ณ ป้อมเพชร์ ธิดามหาอำมาตย์ตรี พระยาชัยวิชิตวิศิษฎ์ธรรมธาดา (ขำ ณ ป้อมเพชร) กับคุณหญิงเพ็ง ชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา (สุวรรณศร) เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2471[45] ซึ่งมีอายุอ่อนกว่าปรีดี 12 ปี[11]: 36 มีบุตร-ธิดาด้วยกันทั้งหมด 6 คน คือ
ภาพยนตร์
แก้ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองจะอุบัติขึ้น ปรีดี พนมยงค์ เล็งเห็นว่าลัทธิเผด็จการทหารกำลังจะจุดชนวนให้เกิดสงครามโลก จึงอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง "พระเจ้าช้างเผือก"[46] เพื่อสื่อทัศนะสันติภาพและคัดค้านการทำสงครามผ่านไปยังนานาประเทศ โดยแสดงจุดยืนอย่างแจ่มชัดด้วยพุทธภาษิตที่ปรากฏในภาพยนตร์ที่ว่า "นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ" (ไม่มีสุขใดเสมอด้วยความสงบสันติ) ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสื่อให้เห็นว่าชาวสยามพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อต่อด้านสงครามรุกรานอย่างมีศักดิ์ศรี[47]
งานเขียน
แก้ปรีดีเป็นผู้ใฝ่หาความรู้ทางด้านวิทยาการต่าง ๆ ทั้งสังคมศาสตร์ ขณะพำนักอยู่ในประเทศจีน ได้ศึกษาค้นคว้าเพื่อรู้แจ้งเห็นจริงทั้งทฤษฎีและการปฏิบัติ รวมทั้งผลงานของเมธีทางด้านปรัชญาและสังคมศาสตร์ เช่น มาร์กซ์ เองเงิลส์ เลนิน สตาลิน และเหมา เจ๋อตุง ในเชิงเปรียบเทียบสภาพสังคมไทยทุกแง่ทุกมุม เช่น ระบอบเศรษฐกิจ การเมือง ทัศนะสังคม ประวัติศาสตร์ ชนชาติ ศาสนา ขนบธรรมเนียม ประเพณี แล้วได้เรียบเรียงเป็นบทความ ซึ่งได้ตีพิมพ์ในโอกาสต่อมา[2]
งานเขียนชิ้นสำคัญของเขาที่นำพุทธปรัชญามาวิเคราะห์วิวัฒนาการของมนุษยสังคมคือ "ความเป็นอนิจจังของสังคม" ซึ่งได้รับการตีพิมพ์หลายครั้งและเป็นที่สนใจของผู้ที่ต้องการศึกษาอยู่ตลอดมา เพราะข้อความที่เขียนอันเป็นสัจจะอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทุกยุคทุกสมัย[2]
สิ่งทั้งหลายในโลกนี้เป็นอนิจจัง ไม่มีสิ่งใดนิ่งคงอยู่กับที่ ทุกสิ่งที่มีอาการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดยั้ง…พืชพันธุ์ รุกขชาติ และสัตวชาติทั้งปวง รวมทั้งมนุษยชาติที่มีชีวิตนั้น เมื่อได้เกิดมาแล้วก็เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงโดยเจริญเติบโตขึ้นตามลำดับ จนถึงขีดที่ไม่อาจเติบโตได้อีกต่อไป แล้วก็ดำเนินสู่ความเสื่อมและสลายในที่สุด
ผลงานงานเขียนบางส่วนของปรีดี ได้แก่[48]
- คำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจและเค้าร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎรกับเค้าร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกอบเศรษฐกิจ,โรงพิมพ์ลหุโทษ,2476
- บันทึกข้อเสนอเรื่อง ขุดคอคอดกระ, กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502
- ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้าและ 21 ปีที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน (Ma vie mouvementee et mes 21 ans d' exil en Chine Populaire)
- ความเป็นมาของชื่อ “ประเทศสยาม” กับ “ประเทศไทย”
- จงพิทักษ์เจตนารมณ์ประชาธิปไตยสมบูรณ์ของวีรชน 14 ตุลาคม
- ประชาธิปไตย เบื้องต้นสำหรับสามัญชน
- ประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญเบื้องต้นกับการร่างรัฐธรรมนูญ
- ปรัชญาคืออะไร
- "ความเป็นไปบางประการในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์” ใน บางเรื่องเกี่ยวกับพระบรมวงศานุวงศ์…
- บางเรื่องเกี่ยวกับการก่อตั้งคณะราษฎรและระบบประชาธิปไตย
- ข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับเอกภาพของชาติและประชาธิปไตย
- สำเนาจดหมายของนายปรีดีตอบบรรณาธิการสามัคคีสารเรื่อง ขอทราบความเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ ๑๔-๑๕ ตุลาคม ๒๕๑๖ และสังคมสัญญาอันศักดิ์สิทธิ์แห่งรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย,ปราโมทย์ พึ่งสุนทร,2516
- ความเป็นเอกภาพกับปัญหาสามจังหวัดภาคใต้, สหพันธ์นิสิตนักศึกษาชาวปักษ์ใต้แห่งประเทศไทย, 2517
- อนาคตของเมืองไทยกับสถานการณ์ของประเทศเพื่อนบ้าน, ประจักษ์การพิมพ์, 2518
ความคิดทางการเมืองและเศรษฐกิจ
แก้หน่วยข่าวกรองฝรั่งเศสระบุว่า ปรีดีในวัยหนุ่ม "เป็นตัวการได้รับค่าจ้างของพวกโซเวียต ... เป็นสาวกลัทธิคอมมิวนิสต์"[35]: 198 แต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง กระทรวงสงครามสหรัฐและโอเอสเอส ระบุว่า ปรีดีเป็นผู้นิยมประชาธิปไตยอย่างแท้จริง "นักเสรีนิยมและรูปเคารพของเหล่าปัญญาชนหนุ่มชาวสยาม"[35]: 198 คณะผู้แทนทางทูตอเมริกันก็ระบุว่า ในอดีตเขาอาจโน้มเอียงไปทางคอมมิวนิสต์ แต่ปัจจุบัน (ปี 2488) เป็นแค่นักสังคมนิยมอ่อน ๆ เท่านั้น[35]: 198
ความสนใจ
แก้ปรีดีมีความสนใจในแนวคิดระบอบประชาธิปไตยจากท่านอาจารย์เทียนวรรณและ ก.ศ.ร. กุหลาบ สมัยเรียนระดับมัธยมศึกษา[49] และเขายังสนใจในด้านศาสนาพุทธอีกด้วย[50] โดยเฉพาะหนังสือเรื่อง "กฎบัตรของพุทธบริษัท" ที่พุทธทาสภิกขุส่งไปให้ ปรีดีพกไว้ในกระเป๋าเสื้อนอกติดตัวอยู่ตลอดเวลาตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต[51]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
แก้ปรีดี พนมยงค์ ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งไทยและต่างประเทศ ดังนี้
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย
แก้- พ.ศ. 2488 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ (น.ร.) (ฝ่ายหน้า)[12]
- พ.ศ. 2488 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นที่ 1 ปฐมจุลจอมเกล้า (ป.จ.) (ฝ่ายหน้า)[12]
- พ.ศ. 2484 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นสูงสุด มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.)[52]
- พ.ศ. 2480 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นสูงสุด มหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)[53]
- พ.ศ. 2478 – เหรียญพิทักษ์รัฐธรรมนูญ (พ.ร.ธ.)[54]
- พ.ศ. 2481 – เหรียญดุษฎีมาลา เข็มราชการแผ่นดิน (ร.ด.ม.(ผ))[55]
- พ.ศ. 2484 – เหรียญช่วยราชการเขตภายใน การรบสงครามอินโดจีน (ช.ร.)[56]
- พ.ศ. 2481 – เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 8 ชั้นที่ 1 (อ.ป.ร.1)[57]
- พ.ศ. 2475 – เหรียญเฉลิมพระนคร 150 ปี (ร.ฉ.พ.)
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ
แก้- ญี่ปุ่น :
- พ.ศ. 2478 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อาทิตย์อุทัย ชั้นที่ 1[58][59]
- ไรช์เยอรมัน :
- ฝรั่งเศส :
- พ.ศ. 2473 – เครื่องอิสริยาภรณ์วิชาการศึกษา ชั้นที่ 2[62]
- พ.ศ. 2482 – เครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ ชั้น สูงสุด
- เบลเยียม :
- พ.ศ. 2482 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์เลออปอล ชั้นที่ สูงสุด[65]
- อิตาลี :
- พ.ศ. 2482 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญมอริซและลาซารัส ชั้นที่ 1[66]
- บริเตนใหญ่ :
- พ.ศ. 2482 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญไมเคิลและจอร์จ ชั้นที่ 1[67]
- สหรัฐ :
- สวีเดน :
- พ.ศ. 2490 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์วาซา ชั้นที่ 1[9]: 741
มรดก
แก้วันสำคัญ
แก้ทุกวันที่ 11 พฤษภาคมของทุกปีเป็นวันปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของปรีดี พนมยงค์ ในวาระครบรอบ 100 ปีชาตกาล เมื่อปี 2543 ปรีดีได้รับการประกาศยกย่องจากยูเนสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก และได้มีการบรรจุชื่อไว้ในปฏิทินเฉลิมฉลองบุคคลสำคัญของยูเนสโก[68] ในโอกาสนั้น คีตกวี สมเถา สุจริตกุล ประพันธ์ซิมโฟนีชื่อ ปรีดีคีตานุสรณ์ เพื่อยอเกียรติ[69]
พันธุ์สัตว์
แก้เมื่อ พ.ศ. 2546 มีการค้นพบปลาปล้องทองปรีดี (Schistura pridii) ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยเชียงดาว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ โดยตั้งชื่อตามนามของเขา[70] และเอช.จี.ไดแนน (H.G.Deignan) ค้นพบชนิดย่อยใหม่ของนกเขียวก้านตองหน้าผากสีทอง สถาบันสมิทโซเนียนแห่งสหรัฐตั้งชื่อว่า นกปรีดี (Chloropsis aurifrons pridii) ที่ดอยอ่าง ดอยอินทนนท์ ไดแนน ยังตั้งชื่อนกเขียวก้านตองปีกสีฟ้าอีกชนิดย่อยหนึ่ง ที่พบกระจายพันธุ์อยู่ทางภาคใต้ เพื่อเป็นเกียรติแก่ขบวนการเสรีไทยว่า Chloropsis cochinchinensis seri-thai (ชื่อสามัญว่า นกเขียวก้านตองปีกสีฟ้าเสรีไทย หรือนกเสรีไทย)[71]
สถานที่
แก้- อนุสรณ์สถานปรีดี พนมยงค์ มีอยู่ 2 ที่คือ บริเวณที่ดินถิ่นกำเนิดของปรีดี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นอนุสรณ์สถานรำลึกปรีดี พนมยงค์ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเมือง ตรงข้ามวัดพนมยงค์ อนุสาวรีย์ปรีดีพนมยงค์เป็นรูปสัญลักษณ์ที่แสดงถึงอุดมการณ์อันสำคัญยิ่งของปรีดี 3 ประการคือ สันติภาพ เสรีไทยและประชาธิปไตย[72] และห้องอนุสรณ์สถานบนตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นอนุสรณ์แห่งแรกที่ก่อสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงปรีดี พนมยงค์[73]
- สถาบันปรีดี พนมยงค์ มูลนิธิปรีดี พนมยงค์ ได้จัดสร้างอาคารสถาบันปรีดี พนมยงค์ ขึ้น ณ ซอยทองหล่อ ถนนสุขุมวิท 55 สำหรับใช้ดำเนินกิจกรรมอันเป็นประโยชน์ต่อสังคมและราษฎรไทย เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2538[74]
- ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีการตั้งอนุสรณ์แก่เขา ได้แก่ หอสมุดปรีดี พนมยงค์ เป็นหอสมุดกลางของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,[75] วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ ใช้สำหรับการเรียนการสอนหลักสูตรนานาชาติ โดยจัดตั้งขึ้นในวาระครบ 100 ปี ชาตกาลของเขา[76][77] เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มีการตั้งชื่อคณะนิติศาสตร์ตามชื่อเขา[78]
- ห้องประชุมเฉลิมพระเกียรติฯ 6-1 (ปรีดี พนมยงค์) ชั้น 6 อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ ใช้เป็นห้องประชุมสำหรับพิธีปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ และพิธีประสาทปริญญาบัตรสำหรับผู้สำเร็จการศึกษา และกิจกรรมอื่นๆ ตั้งอยู่ภายในมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
อื่น ๆ
แก้- ถนนปรีดี พนมยงค์ มีอยู่ 3 สาย คือที่ถนนสุขุมวิท 71, ถนนใจกลางเมืองพระนครศรีอยุธยา และภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
- สะพานปรีดี-ธำรง สะพานข้ามแม่น้ำป่าสักอันเป็นทางเข้าออกหลักของเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา ตั้งตามชื่อปรีดี พนมยงค์ และหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์[79]
- ถนนประดิษฐ์มนูธรรม เป็นถนนเลียบทางพิเศษฉลองรัช (ทางด่วนสายรามอินทรา-อาจณรงค์) มีความยาว 12 กิโลเมตร
- แสตมป์ ชุดที่ระลึก 111 ปีชาตกาล ปรีดี พนมยงค์ โดยบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด วางจำหน่ายครั้งแรก 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554[80]
ในวัฒนธรรมสมัยนิยม
แก้ในปี พ.ศ. 2567 ได้มีการสร้างแอนิเมชันเรื่อง ๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ โดยมีตัวละคร ปรีดี พนมยงค์ พากย์เสียงโดย สุเมธ องอาจ
ภาพลักษณ์
แก้พ่อนำชาติด้วยสมองและสองแขน
พ่อสร้างแคว้นธรรมศาสตร์ประกาศศรี
พ่อของข้านามระบือชื่อ 'ปรีดี'
แต่คนดีเมืองไทยไม่ต้องการ
—พรรคแสงธรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์[81]: 7
ภาพลักษณ์ของปรีดี พนมยงค์ถูกสร้างไปสองทางทั้งบวกและลบ มีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ในการเมืองและสังคมไทย ซึ่งสะท้อนถึงการต่อสู้ระหว่างเผด็จการทหาร อนุรักษนิยมและนิยมเจ้า กับเสรีนิยมและสังคมนิยม เผด็จการทหารสร้างภาพลักษณ์เขาในทางลบเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเมืองแก่ตนเอง อนุรักษนิยมและนิยมเจ้าพยายามรักษาบทบาทของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย ส่วนฝ่ายหลังพยายามสร้างภาพลักษณ์ในทางที่ดีเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้กับเผด็จการ[13]: 22–3 สำหรับสุลักษณ์ ศิวรักษ์ เขายกย่องปรีดีว่ามีความสำคัญเทียบเท่าเหมาเจ๋อตงของจีน โฮจิมินห์ของเวียดนาม และชวาหะร์ลาล เนห์รูของอินเดีย[1]: 1 และจากกรณียกิจเป็นผู้นำขบวนการกู้ชาติของเขาทำให้เขาอยู่ในสถานะที่ไม่แพ้สมเด็จพระนเรศวรมหาราชและสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี[1]: 12
เขาได้รับยกย่องว่าเป็นมันสมองของคณะราษฎร เป็นนักการเมืองผู้ซื่อสัตย์และมีอุดมการณ์ ทั้งมีความคิดก้าวหน้า จุดยืนทางการเมืองของเขานำมาซึ่งปัญหาทางการเมือง[13]: 30 จากความในประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 เขาถูกมองว่าเป็นนักประชาธิปไตยที่ไม่นิยมเจ้าไปจนถึงเป็นผู้นิยมระบอบสาธารณรัฐ[13]: 37–8 ภาพลักษณ์ของเขาค่อย ๆ ดีขึ้นหลังกบฏบวรเดชล้มเหลว จนระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองที่เขาได้เป็นหัวหน้าขบวนการเสรีไทย และได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังสงครามยุตินับเป็นช่วงที่เขามีภาพลักษณ์ทางบวกสูงสุด[13]: 81 อย่างไรก็ดี แม้เขาจะหันมาแสดงว่าจะฟื้นฟูบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในสังคมไทยแล้วก็ตาม แต่กลุ่มการเมืองอนุรักษนิยมและนิยมเจ้ายังคงแคลงใจอยู่[13]: 82–4
จากกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 เกิดข่าวลือว่าพระเจ้าอยู่หัวถูกลอบปลงพระชนม์แพร่ไปไม่หยุด[13]: 91–6 พลโท ผิน ชุณหะวัณ และหลวงกาจสงคราม (เก่ง ระดมยิง) เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการกระพือข่าวกล่าวหาว่าปรีดีเป็นผู้บงการกรณีสวรรคต[13]: 107–111 ต่อมา คณะทหารนอกราชการผู้ก่อรัฐประหารปี 2490 ออกหมายจับปรีดีฐานลอบปลงพระชนม์[13]: 112 ในระหว่างคดียังไม่สิ้นสุดนั้น คณะรัฐประหารก็กุเรื่องเพิ่มเติมว่าปรีดีเป็นคอมมิวนิสต์และอยากเป็นประธานาธิบดีด้วยเพื่อลดแรงต่อต้านจากคู่แข่งทางการเมือง[13]: 113 สำหรับกลุ่มอนุรักษนิยม-นิยมเจ้าเองก็พยายามสร้างให้ปรีดีเป็นปีศาจการเมืองด้วยเช่นกัน พระพินิจชนคดี (พินิจ อินทรทูต) ซึ่งได้รับแต่งตั้งจากคณะรัฐประหารให้เป็นประธานคณะกรรมการสืบสวนกรณีสวรรคต พยายามสรุปคดีโดยโทษว่าปรีดีเป็นผู้บงการ[13]: 138–142 หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมชเขียนอธิบายลดบทบาทของปรีดีในขบวนการเสรีไทยในประเทศไทย โดยว่าเป็นเพียงผู้จัดตั้งกำลังติดอาวุธเท่านั้น[13]: 149–50
มีคนบางส่วนพยายามแก้ต่างให้ปรีดี ส่วนหนึ่งเพราะเป็นศิษย์และพันธมิตรทางการเมือง[13]: 163 ส่วนหนึ่งเป็นปัญญาชนที่ไม่เห็นด้วยกับวิธีสร้างปรีดีเป็นปีศาจการเมือง เดือน บุนนาคและไสว สุทธิพิทักษ์เขียนหนังสือชีวประวัติให้ปรีดีเพื่อเชิดชูเกียรติ[13]: 169–70 นักเขียน 4 คน ประกอบด้วยอัศนี พลจันทร (กุลิศ อินทุศักดิ์), อิศรา อมันตกุล, ดาวหาง และ อ. อุดากร เขียนแสดงความเห็นใจที่ปรีดีแพ้ในความพยายามรัฐประหารที่ล้มเหลวในปี 2492 และว่าเป็นโศกนาฏกรรมของคนดี[13]: 180–85 อย่างไรก็ดี ความพยายามเหล่านี้ไม่เพียงพอบดบังกระแสปีศาจการเมืองปรีดีที่ครอบงำการเมืองไทยในพุทธทศวรรษ 2490 ได้[13]: 186
ตำนานปีศาจการเมืองปรีดีเริ่มเสื่อมพลังลงในทศวรรษต่อมา หลังกลุ่มทหารที่ครองอำนาจทางการเมืองหันไปให้ความสนใจกับการแสดงออกของกลุ่มนักศึกษาแทน[13]: 189–90 ในช่วงเวลานั้นยังมีการกล่าวหาปรีดีถึงกรณีสวรรคตอยู่ ได้มอบหมายทนายให้ฟ้องร้องหมิ่นประมาทต่อบริษัทสยามรัฐ, หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช กับพวกและชนะคดี[13]: 231–32 ในสมัยรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร เขาปฏิเสธเป็นตัวแทนรัฐบาลไทยเพื่อเจรจาปัญหาผู้ลี้ภัยอินโดจีนเพราะเห็นว่าพลังนักศึกษาขณะนั้นกำลังต่อต้านจอมพลถนอม[13]: 235–37 หลังเหตุการณ์ 14 ตุลา ปรีดีสามารถถ่ายทอดความคิดของตนผ่านทางหนังสือพิมพ์ที่ตนมีสายสัมพันธ์ดีด้วย และเปิดโอกาสให้หนังสือพิมพ์ต่าง ๆ เข้าสัมภาษณ์หลังถูกหนังสือพิมพ์ตะวันตกโจมตีระหว่างลี้ภัยในจีน[13]: 241–45 ชีวประวัติของปรีดีได้รับการเผยแพร่โดยงานเขียนของปราโมทย์ พึ่งสุนทรและสุพจน์ ด่านตระกูลตั้งแต่ปี 2513[13]: 250 นิสิตนักศึกษาและปัญญาชนให้ความสนใจกับการติดต่อปรีดีมากเพิ่มขึ้นสูงสุดแต่ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ปัจจัยหนึ่งเพราะปรีดีต้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่นักศึกษาต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งสถานการณ์การเมืองต่อมายังผลักดันให้นักศึกษามองว่าการร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเป็นทางออก[13]: 270, 277–8
แม้หลังเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ยังมีงานเขียนพาดพิงถึงปรีดีในแง่ลบอยู่บ้าง และเขาเคลื่อนไหวโดยการฟ้องคดีหมิ่นประมาทและชนะคดี[13]: 301–3 ปัญญาชนก็หันมามองเขาว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งเสรีนิยม[13]: 306 ในปี 2527 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ตกอยู่ใต้การควบคุมของรัฐบาลที่มองปรีดีเป็นศัตรูมาหลายยุคสมัยจึงเกิดวิกฤตด้านอัตลักษณ์ จึงมีความพยายามให้ความสำคัญแก่ปรีดีเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย[13]: 312 อนุสาวรีย์ปรีดีได้รับก่อสร้างขึ้นในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งสะท้อนถึงการต่อสู้เพื่อสร้างความทรงจำร่วมของสังคม[13]: 336 ภาพลักษณ์เสรีนิยมดังกล่าวพรรคประชาธิปัตย์ยังนำไปใช้หาเสียงในปี 2535[13]: 339 การเชิดชูปรีดีให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกโดยยูเนสโกในปี 2543 ส่งผลลบล้างมลทินของเขา[82]: 122 สัญลักษณ์ว่ารัฐบาลยอมรับการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของปรีดี เริ่มจากการเปลี่ยนชื่อถนนสุขาภิบาล 2 เป็นถนนเสรีไทย ตามมาด้วยการเปลี่ยนชื่อสถานที่ต่าง ๆ ว่าเกี่ยวข้องกับปรีดี[82]: 127–8 สุลักษณ์ ศิวรักษ์ยังกลายมาเป็นผู้มีส่วนสำคัญคนหนึ่งในการตั้งกองทุน 100 ปี ชาตกาล ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ โดยให้เหตุผลว่าต้องการไถ่โทษที่ตนเคยเข้าใจปรีดีผิด[82]: 127–8 นอกจากนี้เขายังได้รับเสนอชื่อเป็นชาวเอเชียแห่งศตวรรษด้วย[83]
ลำดับสาแหรก
แก้ลำดับสาแหรกของปรีดี พนมยงค์ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
เชิงอรรถ
แก้- ↑ โปรดดู:
- ดคีดำหมายเลขที่ ๗๒๓๖/๒๕๑๓
- คดีหมายเลขดำที่ ๑๑๓/๒๕๑๔
- คดีหมายเลขดำ ที่ ๔๒๒๖/๒๕๒๑
- ↑ โปรดดู:
- บันทึก เรื่อง รายงานของคณะกรรมการวิสอมัญซึ่งสภาได้ลงมติตั้งเพื่อให้สอบวนว่าหลวงประดิษฐ์มนูธรรมเป็นคอมมิวนิสต์หรือไม่
- สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร รับที่ ๗๖๒/๒๔๗๖ วันที่ ๑/๑๒/๗๖ ลงวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๖
- รายงานคณะกรรมาธิการสอบสวนว่า หลวงประดิษฐ์มนูธรรมเป็นคอมมิวนิสต์หรือไม่?
- กรรมาธิการสอบสวนว่าหลวงประดิษฐ์มนูธรรมเป็นคอมมิวนิสต์หรือไม่ รายงานการประชุมครั้งที่ ๑–๔
- ↑ ภายหลังจากที่ปรีดีต้องลี้ภัยทางการเมือง รัฐบาลได้เปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัย โดยตัดคำว่า "วิชา" และ "การเมือง" ออก เหลือเพียงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อไม่ให้นักศึกษายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ทั้งยังขายหุ้นทั้งหมดของมหาวิทยาลัย จนไม่มีความสามารถที่จะเลี้ยงตัวเองได้ กลายเป็นมหาวิทยาลัยปิดที่ต้องอาศัยงบประมาณจากรัฐบาล[26][27]
- ↑ สุพจน์ ด่านตระกูลเล่าว่าเป็นเพราะขุนนางเก่ามีความคิดแบบจารีตนิยม ไม่เห็นชอบให้ประชาชนกล่าวโทษข้าราชการ[17]: 151
- ↑ พระราชบัญญัติสงฆ์ พ.ศ. 2484 ใช้ได้เพียง 20 ปี ก็มีเหตุการณ์ไม่ราบรื่นเกิดขึ้นในสังฆมณฑล จนนำคณะสงฆ์กลับไปสู่การปกครองระบอบเผด็จการโดยคณะเดียวภายใต้พระราชบัญญัติสงฆ์ พ.ศ. 2505[28]
- ↑ ควง อภัยวงศ์เล่าว่า พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภาไม่กล้าลงพระนามแต่งตั้งพันตรี ควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี จึงลาออกจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ[17]: 227–8
อ้างอิง
แก้- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 1.5 ส. ศิวรักษ์, เรื่องปรีดี พนมยงค์ ตามทัศนะ ส.ศิวรักษ์ เก็บถาวร 2021-02-25 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2540
- ↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 วาณี สายประดิษฐ์, ปรีดีในต่างแดน, ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ปรีดี-พูนศุข, เรียกข้อมูลวันที่ 10 พ.ย. 2552
- ↑ สัจจา วาที, ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ เปิดเผยต่อศาล ปรีดี พนมยงค์ คือผู้บริสุทธิ์ เก็บถาวร 2021-07-25 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สถาบันวิทยาศาสตร์สังคม
- ↑ UNESCO: MS Data Thailand เก็บถาวร 2009-07-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, UNESCO
- ↑ ชีวประวัติย่อของปรีดี พนมยงค์ สกุล พนมยงค์ และ สกุล ณ ป้อมเพชร์ เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, โครงการปรีดีพนมยงค์กับสังคมไทย, 2526, หน้า 163
- ↑ 6.0 6.1 6.2 6.3 6.4 6.5 วิชัย ภู่โยธิน. (2538). ก้าวแรกแห่งความสำเร็จ ดร.ปรีดี พนมยงค์ เก็บถาวร 2012-10-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, ไทยวัฒนาพานิช, ISBN 974-08-2445-5
- ↑ 7.0 7.1 7.2 7.3 7.4 นาวี รังสิวรารักษ์. (2544). รัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ปรีดี พนมยงค์ เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สำนักพิมพ์ดับเบิ้ลนายน์, ISBN 974-604-957-7
- ↑ ปรีดี พนมยงค์, เรื่องการมีจิตสำนึกอภิวัฒน์ของข้าพเจ้า ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้าและ 21 ปีที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สำนักพิมพ์เทียนวรรณ, 2529, หน้า 14
- ↑ 9.00 9.01 9.02 9.03 9.04 9.05 9.06 9.07 9.08 9.09 9.10 9.11 9.12 9.13 9.14 9.15 9.16 9.17 9.18 9.19 9.20 9.21 9.22 9.23 9.24 9.25 9.26 9.27 9.28 9.29 9.30 9.31 9.32 9.33 9.34 9.35 9.36 9.37 9.38 9.39 9.40 9.41 9.42 9.43 9.44 9.45 9.46 9.47 9.48 9.49 9.50 9.51 9.52 ไสว สุทธิพิทักษ์, ดร.ปรีดี พนมยงค์ เก็บถาวร 2021-07-21 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, บพิธการพิมพ์, 2493
- ↑ 10.00 10.01 10.02 10.03 10.04 10.05 10.06 10.07 10.08 10.09 10.10 10.11 10.12 10.13 บุนนาค, เดือน (1999). "ท่านปรีดีนักกฎหมาย". ใน โสภณศิริ, สันติสุข (บ.ก.). ปรีดีปริทัศน์: รวมทัศนะนักวิชาการต่อปรีดี พนมยงค์ (PDF) (1 ed.). คณะกรรมการดำเนินงานฉลอง 100 ปี ชาตกาลนายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส ภาคเอกชน. ISBN 9747833441. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2011-08-19. สืบค้นเมื่อ 2009-11-19.
- ↑ 11.00 11.01 11.02 11.03 11.04 11.05 11.06 11.07 11.08 11.09 11.10 11.11 11.12 11.13 11.14 11.15 11.16 11.17 11.18 11.19 11.20 11.21 11.22 11.23 11.24 11.25 11.26 11.27 11.28 11.29 11.30 11.31 11.32 Na Pombhejara, Vichitvong (1983). Pridi Banomyong And The Making Of Thailand's Modern History (PDF). ISBN 9742601755.
- ↑ 12.0 12.1 12.2 ปรีดี พนมยงค์, ชีวประวัติย่อของปรีดี พนมยงค์, สำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก, 2544, ISBN 974-7834-15-4 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "ปรีดี" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน - ↑ 13.00 13.01 13.02 13.03 13.04 13.05 13.06 13.07 13.08 13.09 13.10 13.11 13.12 13.13 13.14 13.15 13.16 13.17 13.18 13.19 13.20 13.21 13.22 13.23 13.24 13.25 13.26 13.27 13.28 13.29 13.30 13.31 13.32 13.33 13.34 13.35 13.36 เจวจินดา, มรกต. ภาพลักษณ์ปรีดี พนมยงค์ กับการเมืองไทย พ.ศ. 2475–2526 (PDF). กรุงเทพฯ: โครงการเฉลิมฉลองบุคคลสำคัญของไทย ที่มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรมระดับโลก สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ: คณะอนุกรรมการฝ่ายนิทรรศการ คณะกรรมการจัดงานฉลอง 100 ปี รัฐบุรุษอาวุโส ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ พ.ศ. 2543, 2543. ISBN 9745727938. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2020-10-27. สืบค้นเมื่อ 2020-06-20.
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานบรรดาศักดิ์ เก็บถาวร 2016-03-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม 45, วันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2471, หน้า 2718
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ข้าราชการ กราบถวายบังคมลาออกจากบรรดาศักดิ์ เก็บถาวร 2014-09-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ ทิพวรรณ (บุญทวี) เจียมธีรสกุล, วิทยานิพนธ์เรื่องความคิดทางการเมืองของปรีดี พนมยงค์ : ระยะเริ่มแรก เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, 2528, หน้า 409-421, 423-424
- ↑ 17.00 17.01 17.02 17.03 17.04 17.05 17.06 17.07 17.08 17.09 17.10 17.11 17.12 17.13 17.14 17.15 17.16 17.17 17.18 17.19 17.20 17.21 17.22 17.23 17.24 17.25 17.26 17.27 17.28 17.29 17.30 17.31 17.32 17.33 17.34 17.35 17.36 17.37 17.38 17.39 17.40 17.41 17.42 ด่านตระกูล, สุพจน์ (1971). ชีวิตและงานของ ดร.ปรีดี พนมยงค์. พระนคร: ประจักษ์การพิมพ์.
- ↑ ชัยพงษ์ สำเนียง เล่าเรื่องอภิวัฒน์ 2475, ประชาไท, 20 มิ.ย. 2552, เรียกข้อมูลวันที่ 10 พ.ย. 2552
- ↑ ประมาณ อดิเรกสาร, Unseen ราชครู, สื่อวัฏสาร, 2547, หน้า 186, ISBN 974-92685-3-9
- ↑ 20.0 20.1 สถาบันวิทยาศาสตร์สังคม (ประเทศไทย), เค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม, ศิษย์อาจารย์ฉบับที่ 3, สำนักพิมพ์สุขภาพใจ, 2541
- ↑ 21.0 21.1 Ashayagachat, Achara (11 May 2013). "Father of Thai democracy, forever misunderstood". Bangkok Post. สืบค้นเมื่อ 2020-06-21.
- ↑ เฉลิมเกียรติ ผิวนวล, ความคิดทางการเมืองของปรีดี พนมยงค์ เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2529, หน้า 146-147
- ↑ ใจจริง, ณัฐพล (2013). ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ: ความเคลื่อนไหวของขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติสยาม (พ.ศ. 2475-2500) (1 ed.). ฟ้าเดียวกัน. ISBN 9786167667188.
- ↑ ปรีดี พนมยงค์ : ชีวิต งาน และธรรมศาสตร์ เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2529, หน้า 31, 59-60
- ↑ 25.0 25.1 25.2 25.3 สุพจน์ ด่านตระกูล, จากรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ถึงรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สำนักพิมพ์สันติธรรม, 2531
- ↑ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์กับมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง, ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ปรีดี-พูนศุข, เรียกข้อมูลวันที่ 10 พ.ย. 2552
- ↑ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ประวัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เก็บถาวร 2007-09-11 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, www.tu.ac.th
- ↑ ปรีดี พนมยงค์ กับพระพุทธศาสนา
- ↑ 29.0 29.1 วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร, ปรีดี พนมยงค์ กับปฏิบัติการเสรีไทย เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, คณะกรรมการดำเนินงานฉลอง 100 ปี ชาตกาล ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส ภาคเอกชน, 2543, ISBN 974-7833-69-7, หน้า 47–56
- ↑ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, 16 สิงหาคม 2488 ประวัติศาสตร์ที่ "ให้จำ" กับ "ให้ลืม", ประชาไท, เรียกข้อมูลวันที่ 17 พ.ย. 2552
- ↑ จดหมายของปรีดี พนมยงค์ ถึง พระพิศาลสุขุมวิท เรื่องหนังสือจดหมายเหตุของเสรีไทยเกี่ยวกับปฏิบัติการในแคนดี นิวเดลฮี และ สหรัฐอเมริกา เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, อมรินทร์การพิมพ์, 2522
- ↑ United States Department of State, Foreign relations of the United States : diplomatic papers, 1945 เก็บถาวร 2011-07-16 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Volume VI, 1945, pp.1278-1279
- ↑ สุพจน์ ด่านตระกูล, ปรีดี พนมยงค์ กับ ในหลวงอานันท์ และกรณีสวรรคต เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สถาบันวิทยาศาสตร์สังคม (ประเทศไทย), 2541
- ↑ "พล.อ. เปรม กับเครื่องราชฯ โบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ ซึ่งสามัญชนน้อยคนได้รับพระราชทาน". ศิลปวัฒนธรรม. 28 May 2019. สืบค้นเมื่อ 12 May 2021.
- ↑ 35.00 35.01 35.02 35.03 35.04 35.05 35.06 35.07 35.08 35.09 Apbomsuvan, Thanet (1987). "THE UNITED STATES AND THE COMING OF THE COUP OF 1947 IN SIAM" (PDF). Journal of The Siam Society (75). สืบค้นเมื่อ 8 February 2021.
- ↑ ศิวรักษ์, ส. (2012). "ชีวิตและงานของสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในฐานะที่เป็นพยานทางประวัติศาสตร์ในเรื่องการสร้างสรรค์สติปัญญาอย่างของไทยเราเอง" (PDF). วารสารดำรงราชานุภาพ. 12 (43). ISSN 1513-6884. สืบค้นเมื่อ 2020-06-02.
- ↑ 37.0 37.1 สุพจน์ ด่านตระกูล, ท่านปรีดี พนมยงค์ กับกับสถาบันกษัตริย์และกรณีสวรรคต เก็บถาวร 2012-10-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, นิตยสารสารคดี, ฉบับที่ 182, เมษายน พ.ศ. 2543
- ↑ ประมาณ อดิเรกสาร, Unseen ราชครู, สื่อวัฏสาร, 2547, หน้า 260, ISBN 974-92685-3-9
- ↑ ประสิทธิ์ ลุลิตานนท์, ลายพระหัตถ์ ม.จ.ศุภสวัสดิ์ฯ เก็บถาวร 2012-10-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, แผนกงานจ้าง อัลลายด์พริ้นเตอรส์, โรงพิมพ์โพสต์พับลิชชิ่ง จำกัด, วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2517, หน้า 3-4
- ↑ วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร, บางหน้าในประวัติศาสตร์ไทย อัตชีวประวัติของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, แสงดาว, 2549, ISBN 974-9818-83-0, หน้า 409-416
- ↑ วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์, 100 ปี ของ สามัญชนนาม ปรีดี พนมยงค์, นิตยสารสารคดี, เรียกข้อมูลวันที่ 28 ม.ค. 53
- ↑ ประทีป สายเสน, กบฏวังหลวงกับสถานะของปรีดี พนมยงค์ เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สำนักพิมพ์อักษรสาส์น, 2532, ISBN 974-7248-22-7
- ↑ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล: พูนศุข พนมยงค์ ให้สัมภาษณ์กรณีสวรรคต พฤษภาคม 2500
- ↑ สุพจน์ ด่านตระกูล, ม.จ. ศุภสวัสดิ์ฯ รับสั่งว่า ในหลวงและสมเด็จพระราชชนนีไม่ทรงเชื่อว่า...ปรีดีฯ สมคบปลงพระชนม์ ร.8 เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สำนักพิมพ์สันติธรรม, 2529, หน้า 46, 69
- ↑ นรุตม์, หลากบทชีวิต ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ เก็บถาวร 2012-10-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, แพรวสำนักพิมพ์, อมรินทร์พริ้นติ้งกรุ๊พ, หน้า, 2535, ISBN 974-8359-86-7
- ↑ พระเจ้าช้างเผือก ถ่ายช้างได้ดีที่สุดในโลก เก็บถาวร 2010-02-06 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, มูลนิธิหนังไทย, เรียกข้อมูลวันที่ 11 พ.ย. 2552
- ↑ สุรัยยา (เบ็ญโส๊ะ) สุไลมาน, กระบวนทัศน์สันติวิธีของปรีดี พนมยงค์ กรณีศึกษาเรื่องพระเจ้าช้างเผือก เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เรือนแก้วการพิมพ์, 2544, ISBN 974-7834-10-3
- ↑ บรรณานุกรมงานของปรีดี พนมยงค์, ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ปรีดี-พูนศุข, เรียกข้อมูลวันที่ 11 พ.ย. 2552
- ↑ ปรีดีเคยเจอเขาทั้งสอง ! ก.ศ.ร. กุหลาบ และ เทียนวรรณ สถาบันปรีดี สืบค้นเมื่อ 19 ตุลาคม 2563
- ↑ สัมพันธ์ ก้องสมุทร, ดอกโมกข์ ดอกไม้แห่งพุทธะและธรรมมาตา เก็บถาวร 2012-10-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, ปีที่ 2 ไตรมาสที่ 1 ฉบับที่ 5, หน้า 93
- ↑ ข่าวสด, เปิดหนังสือกฎบัตรพุทธบริษัท, วันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7227 ข่าวสดรายวัน
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๕๘ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๙๔๕, ๑๙ มิถุนายน ๒๔๘๔
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๕๔ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๒๑๓, ๑๓ ธันวาคม ๒๔๘๐
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความ พระราชทานเหรียญพิทักษ์รัฐธรรมนูญ, เล่ม ๕๒ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๓๙, ๒๑ เมษายน ๒๔๗๘
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มราชการแผ่นดิน, เล่ม ๕๕ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๔๐๓๒, ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๑
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญช่วยราชการเขตภายใน, เล่ม ๕๘ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๙๔๗, ๒๓ มิถุนายน ๒๔๘๔
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์, เล่ม ๕๕ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๙๕๙, ๒๘ พฤศจิกายน ๒๔๘๑
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความ เรื่อง ให้ประดับตราต่างประเทศ, เล่ม ๕๒ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๓๓๗๔, ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๘
- ↑ ปรีดี พนมยงค์. Ma Vie Movementee et mes 21 Ans D' Exil en Chine Populaire, แปลและเรียบเรียงโดย วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร จากหนังสือ บางหน้าของประวัติศาสตร์ ประสบการณ์ของบุคคลสำคัญต่าง ๆ ในอดีต -- กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์พิทยาคาร, พ.ศ. 2522
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม ๕๕ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๖๒, ๑๘ เมษายน ๒๔๘๑
- ↑ ปรีดี พนมยงค์, ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้า และ 21 ปีที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, บทที่ 3 การเข้าพบมุสโสลินีฯ, สำนักพิมพ์เทียนวรรณ, 2529, หน้า 43
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานพระบรมราชานุญาตประดับตราต่างประเทศ, เล่ม ๔๗ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๔๑๖๔, ๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๓
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ประดับเครื่องอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม ๕๖ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๙๒๘, ๒๖ มิถุนายน ๒๔๘๒
- ↑ ปรีดี พนมยงค์ ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้า และ 21 ปีที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สำนักพิมพ์เทียนวรรณ, 2529, หน้า 9
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม ๕๖ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๗๙๘, ๒๕ กันยายน ๒๔๘๒
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม ๕๖ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๕๕๖, ๒๐ พฤศจิกายน ๒๔๘๒
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม ๕๖ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๖๕๐, ๔ ธันวาคม ๒๔๘๒
- ↑ This system is currently under maintenance
- ↑ กฤษณา อโศกสิน, หน้าต่างบานใหม่ เก็บถาวร 2011-07-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สกุลไทย, ฉบับที่ 2387 ปีที่ 46 ประจำวันอังคารที่ 18 กรกฎาคม 2543
- ↑ ชวลิต วิทยานนท์, ปลาปล้องทองปรีดี ปลาชนิดใหม่ของโลก, นิตยสารสารคดี ปีที่ 19 ฉบับที่ 222, หน้า 38
- ↑ "นกสวยงามกับเสรีไทย". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-07-31. สืบค้นเมื่อ 2016-07-17.
{{cite web}}
: ระบุ|accessdate=
และ|access-date=
มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ|archivedate=
และ|archive-date=
มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ|archiveurl=
และ|archive-url=
มากกว่าหนึ่งรายการ (help) - ↑ อนุสรณ์สถานปรีดีพนมยงค์[ลิงก์เสีย]
- ↑ ลานปรีดี พนมยงค์ จาก es.foursquare.com
- ↑ ประวัติสถาบันปรีดี พนมยงค์, เว็บไซต์สถาบันปรีดี พนมยงค์
- ↑ "ประวัติหอสมุดปรีดี พนมยงค์". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-05-06. สืบค้นเมื่อ 2016-06-19.
{{cite web}}
: ระบุ|accessdate=
และ|access-date=
มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ|archivedate=
และ|archive-date=
มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ|archiveurl=
และ|archive-url=
มากกว่าหนึ่งรายการ (help) - ↑ "Pridi Banomyong International College". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-07-08. สืบค้นเมื่อ 2016-06-19.
{{cite web}}
: ระบุ|accessdate=
และ|access-date=
มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ|archivedate=
และ|archive-date=
มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ|archiveurl=
และ|archive-url=
มากกว่าหนึ่งรายการ (help) - ↑ DMNEWS บล็อกข่าวส่งเสริมคนดี. (11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552). วิทยาลัยนานาชาติ"ปรีดี พนมยงค์" มิติใหม่ธรรมศาสตร์ สร้างนักศึกษาสู่ตลาดโลก. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก [1]. (เข้าถึงเมื่อ: 21 กรกฎาคม 2553).
- ↑ เกี่ยวกับคณะ–คณะนิติศาสตร์ ปรีดี พนมยงค์
- ↑ เกื้อกูล ยืนยงอนันต์. (2527). ความเปลี่ยนแปลงภายในเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาระหว่าง พ.ศ. 2438-2500. พระนครศรีอยุธยา : ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ วิทยาลัยครูพระนครศรีอยุธยา. ถ่ายเอกสาร.
- ↑ ปณท ออกแสตมป์100ปี หลวงพ่อปัญญา-ปรีดี พนมยงค์
- ↑ คณะกรรมการโครงการ "ปรีดี พนมยงค์กับสังคมไทย". มิตรกำสรวล เนื่องในมรณกรรมของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ (PDF). กรุงเทพฯ : อมรินทร์การพิมพ์: โครงการ "ปรีดี พนมยงค์กับสังคมไทย". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2020-10-27. สืบค้นเมื่อ 2020-06-20.
- ↑ 82.0 82.1 82.2 แสงดี, ชนิกานต์ (2017). "กรณีข้อกล่าวหาหมิ่นประมาทจากหนังสือภาพลักษณ์ปรีดี พนมยงค์ กับ การเมืองไทย พ.ศ. 2475 - 2526: ภาพสะท้อนของภาพลักษณ์นายปรีดีในสังคมไทยปัจจุบัน". วารสารประวัติศาสตร์. ISSN 0125-1902.
- ↑ Asia Week, Asian of the century เก็บถาวร 2010-01-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- สถาบันปรีดี พนมยงค์ เว็บไซต์สถาบันปรีดี พนมยงค์
- ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ปรีดี-พูนศุข รวบรวมประวัติ ภาพ และผลงานของ ปรีดี พนมยงค์ และภรรยา พูนศุข พนมยงค์
- 100 ปีของสามัญชน นาม ปรีดี พนมยงค์ นิตยสารสารคดี ฉบับที่ 182 เดือน เมษายน 2543
- สัมภาษณ์ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส เมื่อ พ.ศ. 2525 ในโอกาสครบรอบ 50 ปี การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
- สัมภาษณ์พิเศษ ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน ในโอกาสครบรอบ 48 ปีแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครอง (24 มิ.ย. 2523)
ก่อนหน้า | ปรีดี พนมยงค์ | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
ควง อภัยวงศ์ | นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 7 (ครม. 15) (24 มีนาคม พ.ศ. 2489 – 23 สิงหาคม พ.ศ. 2489) |
ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ | ||
พระยาไชยยศสมบัติ | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สมัยที่ 1 (20 ธันวาคม พ.ศ. 2481 – 16 ธันวาคม พ.ศ. 2484) |
เภา เพียรเลิศ บริภัณฑ์ยุทธกิจ | ||
พระยาศรีวิสารวาจา | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สมัยที่ 2 (24 มีนาคม พ.ศ. 2489 – 23 สิงหาคม พ.ศ. 2489) |
วิจิตร ลุลิตานนท์ | ||
พระยาศรีเสนา (ศรีเสนา สมบัติศิริ) |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (12 กรกฎาคม พ.ศ. 2479 – 21 ธันวาคม พ.ศ. 2481) |
เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร์ ณ สงขลา) | ||
พระยาพหลพลพยุหเสนา | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (29 มีนาคม พ.ศ. 2477 – 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2478) |
ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ | ||
สถาปนาตำแหน่ง | ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (11 เมษายน พ.ศ. 2477 – 18 มีนาคม พ.ศ. 2495) |
ศาสตราจารย์ เดือน บุนนาค (รักษาการ) | ||
เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน (อุ่ม พิชเยนทรโยธิน) |
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (16 ธันวาคม พ.ศ. 2484 – 20 กันยายน พ.ศ. 2488) |
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร |