นกกระเรียนไทย
นกกระเรียนไทย หรือ นกกระเรียน เป็นนกขนาดใหญ่ที่ไม่ใช่นกอพยพ พบในบางพื้นที่ของอนุทวีปอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศออสเตรเลีย เป็นนกบินได้ที่สูงที่สุดในโลก เมื่อยืนจะสูงถึง 1.8 เมตร[5] สังเกตเห็นได้ง่าย[6] ในพื้นที่ชุ่มน้ำเปิดโล่ง นกกระเรียนไทยแตกต่างจากนกกระเรียนอื่นในพื้นที่เพราะมีสีเทาทั้งตัวและมีสีแดงที่หัวและบริเวณคอด้านบน หากินในที่ลุ่มมีน้ำขังบริเวณน้ำตื้น กินราก หัว แมลง สัตว์น้ำ และสัตว์มีกระดูกสันหลังขนาดเล็กเป็นอาหาร นกกระเรียนไทยเหมือนกับนกกระเรียนอื่นที่มักมีคู่ตัวเดียวตลอดชีวิต นกกระเรียนจะปกป้องอาณาเขตและเกี้ยวพาราสีโดยการกางปีก ส่งเสียงร้อง กระโดดซึ่งดูคล้ายกับการเต้นรำ ในประเทศอินเดียนกกระเรียนเป็นสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์ในชีวิตแต่งงาน เชื่อกันว่าเมื่อคู่ตาย นกอีกตัวจะเศร้าโศกจนตรอมใจตายตาม ฤดูผสมพันธุ์หลักอยู่ในฤดูฝน คู่นกจะสร้างรังเป็น "เกาะ" รูปวงกลมจากกก อ้อ และพงหญ้า มีเส้นผ่าศูนย์กลางเกือบสองเมตรและสูงเพียงพอที่จะอยู่เหนือจากน้ำรอบรัง นกกระเรียนไทยกำลังลดลงอย่างรวดเร็วในคริสต์ศตวรรษที่ผ่านมา คาดกันว่าประชากรมีเพียง 10 หรือน้อยกว่า (ประมาณร้อยละ 2.5) ของจำนวนที่มีอยู่ในคริสต์ทศวรรษ 1850 ประเทศอินเดียคือแหล่งที่มั่นของนกชนิดนี้ ที่ซึ่งนกเป็นที่เคารพและอาศัยอยู่ในพื้นที่การเกษตรใกล้กับมนุษย์ นกกระเรียนนั้นสูญหายไปจากพื้นที่การกระจายพันธุ์ในหลาย ๆ พื้นที่ในอดีต
นกกระเรียนไทย | |
---|---|
![]() | |
A. a. antigone จากอินเดียที่มี "แผงคอ" สีขาวอันโดดเด่น | |
สถานะการอนุรักษ์ | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ ![]() | |
โดเมน: | ยูแคริโอตา Eukaryota |
อาณาจักร: | สัตว์ Animalia |
ไฟลัม: | สัตว์มีแกนสันหลัง Chordata |
ชั้น: | สัตว์ปีก |
อันดับ: | Gruiformes |
วงศ์: | Gruidae |
สกุล: | Antigone (Linnaeus, 1758) |
สปีชีส์: | Antigone antigone |
ชื่อทวินาม | |
Antigone antigone (Linnaeus, 1758) | |
ชนิดย่อย | |
![]() | |
การกระจายพันธุ์ของนกกระเรียนไทยในปัจจุบัน
| |
ชื่อพ้อง | |
|
ลักษณะ
แก้นกกระเรียนไทยเป็นนกขนาดใหญ่ มีลำตัวและปีกสีเทา คอตอนบนและหัวเป็นหนังเปลือยสีแดงไม่มีขน ตรงกระหม่อมเป็นสีเทาหรือเขียว คอยาวเวลาบินคอจะเหยียดตรงไม่เหมือนกับนกกระสาซึ่งจะงอพับไปด้านหลัง ขนปลายปีกและขนคลุมขนปลายปีกสีดำ ขนคลุมขนปีกด้านล่างสีเทา ขนโคนปีกสีขาว ขายาวเป็นสีชมพู มีแผ่นขนหูสีเทา ม่านตาสีส้มแดง ปากแหลมสีดำแกมเทา นกวัยอ่อนมีปากสีค่อนข้างเหลืองที่ฐาน หัวสีน้ำตาลเทาหรือสีเนื้อปกคลุมด้วยขนนก[7]
หนังเปลือยสีแดงบริเวณหัวจะแดงสดใสในช่วงฤดูผสมพันธุ์ หนังบริเวณนี้จะหยาบเป็นตะปุ่มตะป่ำ มีขนสีดำตรงข้างแก้มและท้ายทอยบริเวณแคบ ๆ ทั้งสองเพศมีลักษณะและสีคล้ายกัน เพศผู้ใหญ่กว่าเพศเมียเล็กน้อย ไม่มีความแตกต่างทางเพศอื่นที่ชัดเจนอีก นกกระเรียนไทยเพศผู้ในอินเดียมีขนาดสูงที่สุดคือประมาณ 200 เซนติเมตร ช่วงปีกยาว 250 เซนติเมตร ทำให้นกกระเรียนไทยเป็นนกที่บินได้ที่สูงที่สุดในโลก ในชนิดย่อย antigone มีน้ำหนัก 6.8–7.8 กิโลกรัม ขณะที่ sharpii มีน้ำหนักประมาณ 8.4 กิโลกรัม โดยทั่วไปแล้วจะมีน้ำหนัก 5–12 กิโลกรัม สูง 115–167 เซนติเมตร ช่วงปีกยาว 220–280 เซนติเมตร[8] นกจากประเทศออสเตรเลียจะมีขนาดเล็กกว่านกจากเขตทางเหนือ[9]
ในประเทศออสเตรเลีย นกกระเรียนไทยมักจะสับสนกับนกกระเรียนออสเตรเลีย สีแดงบนหัวของนกกระเรียนออสเตรเลียจะมีแค่บนหัวไม่แผ่ลงมาถึงคอ[8]
การกระจายพันธุ์และถิ่นอาศัย
แก้ในอดีต นกกระเรียนไทยมีการกระจายพันธุ์เป็นวงกว้างบนพื้นที่ราบลุ่มในประเทศอินเดียยาวตลอดแม่น้ำคงคา ทางใต้ไปถึงแม่น้ำโคทาวรี ทางตะวันตกไปถึงชายฝั่งรัฐคุชราต เขตถารปารกร (Tharparkar) ของประเทศปากีสถาน[10] และทางตะวันออกถึงรัฐเบงกอลตะวันตกและรัฐอัสสัม ไม่พบการขยายพันธุ์ในรัฐปัญจาบมานานแล้ว แม้ว่าจะพบบ้างประปรายในฝั่งอินเดียในฤดูหนาว นกกระเรียนหาพบได้ยากและมีจำนวนน้อยมากในรัฐเบงกอลตะวันตกและรัฐอัสสัม[11] และไม่พบมานานแล้วในรัฐพิหาร ในประเทศเนปาล การกระจายพันธุ์จำกัดอยู่เพียงที่ราบลุ่มฝั่งตะวันตก ประชากรส่วนมากอยู่ในเขตรูปันเทหี (Rupandehi) กบิลพัสดุ์ (Kapilvastu) และนวัลปราสี (Nawalparasi)[12][13]
มีประชากรสองกลุ่มในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่แตกต่างกันคือ ประชากรตอนเหนืออยู่ในประเทศจีนและพม่า และประชากรตอนใต้อยู่ในกัมพูชาและเวียดนาม[14] นอกจากนั้น ยังเคยพบในประเทศไทยและทางตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์ แต่ในทั้งสองประเทศสูญพันธุ์ไปแล้วจากธรรมชาติ ในประเทศออสเตรเลียพบในบริเวณด้านเหนือของประเทศ และมีการอพยพไปยังบางพื้นที่[15] พิสัยการกระจายพันธุ์ของนกกระเรียนไทยกำลังลดลงและพื้นที่ที่เกิดมากที่สุดคือประเทศอินเดียซึ่งพื้นที่ลุ่มน้ำขนาดใหญ่ถูกทำลาย นกเหล่านี้จึงต้องอาศัยในนาข้าวในการเพิ่มจำนวน แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วจะพบนกกระเรียนในที่ราบลุ่ม แต่ก็มีรายงานว่าพบบนที่ราบสูงทางเหนือในฮาร์กิตซาร์ (Harkit Sar) และคาฮัง (Kahag) ในรัฐชัมมูและกัศมีร์[16] นอกจากนี้นกกระเรียนยังขยายพันธุ์ในพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลมาก ๆ เช่น ใกล้กับเขื่อนพอง (Pong Dam) ในรัฐหิมาจัลประเทศที่ซึ่งประชากรนกกระเรียนอาจจะเพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของการเพาะปลูกข้าวตามแหล่งกักเก็บน้ำ[12][13]
นกกระเรียนมักอาศัยอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำ[17] หรือนาข้าวที่ไม่ได้เพราะปลูกที่มีน้ำท่วมขัง (ในพื้นที่เรียกว่า khet-taavadi[18]) สำหรับสร้างรัง การจับคู่ผสมพันธุ์มักจะเกิดในพื้นที่ชุ่มน้ำตามธรรมชาติมากกว่าแต่ก็ยังมีในนาข้าวหรือข้าวสาลีบ่อย ๆ[12][13][19]
อนุกรมวิธานและชนิดย่อย
แก้นกกระเรียนชนิดนี้จำแนกโดยลินเนียสในปี ค.ศ. 1758 และจัดอยู่ในสกุล Ardea ร่วมกับนกกระสาขนาดใหญ่[20] เอ็ดเวิร์ด ไบลท์ (Edward Blyth) ตีพิมพ์เอกสารเกี่ยวกับนกกระเรียนในปี ค.ศ. 1881 ซึ่งเขาพิจารณานกกระเรียนไทยในประเทศอินเดียเป็นสองชนิดคือ Grus collaris และ Grus antigone[21] ปัจจุบันจำแนกออกเป็นหนึ่งชนิด สามชนิดย่อย ส่วนชนิดย่อยซึ่งมีประชากรอยู่ในประเทศฟิลิปปินส์และสูญพันธุ์ไปแล้วยังคงเป็นที่กังขา
- A. a. antigone หรือ นกกระเรียนอินเดีย เป็นนกกระเรียนที่พบในตอนเหนือและตอนกลางของประเทศอินเดีย เหลือประมาณ 10,000 ตัว[22] เป็นชนิดย่อยมีขนาดใหญ่ที่สุด ที่มีลักษณะต่างไปจากชนิดย่อยอื่นคือมีปลอกคอสีขาวระหว่างหัวและคอ และตำแหน่งขนโคนปีกสีขาว
- A. a. sharpii หรือ นกกระเรียนอินโดจีน หรือ นกกระเรียนหัวแดง กระจายพันธุ์ทางตะวันออกของพม่าแผ่ไปถึงเกาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันเหลือเพียงในประเทศกัมพูชา เวียดนาม และลาว เหลือประมาณ 1,000 ตัว[22] ชนิดย่อยนี้มีสีขนเข้มกว่า antigone ผู้แต่งบางคนพิจารณาว่า antigone และ sharpii เป็นตัวแทนของประชากรที่มาจากการเปลี่ยนแปลงของลักษณะที่แตกต่างแบบค่อยเป็นค่อยไป[9]
- A. a. gilliae หรือ นกกระเรียนออสเตรเลีย พบในทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศออสเตรเลีย เหลือประมาณ 4,000 ตัว[22] เดิมจัดเป็น sharpii (บางครั้งสะกดเป็น sharpei แต่แก้ไขให้เป็นไปตามกฎไวยากรณ์ของภาษาละติน)[7] ต่อมาจึงแยกออกมาและตั้งชื่อเป็น gilliae (บางครั้งสะกดว่า gillae หรือ gilli) ในปี ค.ศ. 1988 พบครั้งแรกในประเทศออสเตรเลียเมื่อปี ค.ศ. 1969 และถือเป็นนกอพยพ ในนกท้องถิ่นออสเตรเลีย นกกระเรียนไทยและนกกระเรียนออสเตรเลียคล้ายกันมากแต่ก็ยังมีความแตกต่างกัน มีการเรียกนกกระเรียนไทยว่า "นกกระเรียนที่จุ่มหัวลงไปในเลือด" ชนิดย่อยนี้มีขนสีเข้มกว่าอย่างเห็นได้ชัดและแผ่นขนหูสีเทาใหญ่กว่า[note 1] มีขนาดเล็กที่สุด
- A. a. luzonica หรือ นกกระเรียนเกาะลูซอน อาศัยอยู่ในประเทศฟิลิปปินส์ แต่คาดว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว อาจเป็นชื่อพ้องกับ gilliae หรือ sharpii[23]
วิวัฒนาการ
แก้บันทึกซากดึกดำบรรพ์ของนกกระเรียนนั้นมีไม่มากพอ วงศ์ย่อยที่สามารถระบุได้ว่าเป็นนกกระเรียนนั้นพบในตอนปลายของยุคแรกเริ่มที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมถือกำเนิดขึ้นมาหรือสมัยอีโอซีน (ประมาณ 35 ล้านปีมาแล้ว) ส่วนสกุลนกกระเรียนในปัจจุบันปรากฏขึ้นเมื่อ 20 ล้านปีมาแล้ว[8] จากการศึกษาทางชีวภูมิศาสตร์ (biogeography) ของซากดึกดำบรรพ์ที่รู้จักและอยู่ในอนุกรมวิธานของนกกระเรียนแสดงว่ากลุ่มอาจมีต้นกำเนิดมาจากโลกเก่า[8] ความหลากหลายเท่าที่มีอยู่ในระดับสกุลมีศูนย์กลางอยู่ที่ทางตะวันออกของทวีปแอฟริกาแต่เป็นที่เศร้าใจมากที่ไม่มีบันทึกซากดึกดำบรรพ์ในสภาพดีจากที่นั่นเลย ในทางตรงกันข้ามกลับมีซากดึกดำบรรพ์ของนกกระยางเป็นจำนวนมากที่ได้รับการบันทึกไว้จากที่นั้น ซึ่งคาดกันว่ามันใช้ถิ่นอาศัยร่วมกับนกกระเรียน
จากบันทึกซากดึกดำบรรพ์ สกุล Grus สามารถสืบสาวย้อนไปได้ถึง 12 ล้านปีหรือมากกว่านั้น ด้วยการวิเคราะห์ไมโทคอนเดรียลดีเอ็นเอ (Mitochondrial DNA) จากตัวอย่างนกกระเรียนไทยที่มีอยู่อย่างจำกัดแสดงว่ามีการถ่ายเทเคลื่อนย้ายยีน (Gene Flow) ในประชากรแผ่นดินใหญ่ของทวีปเอเชียจนกระทั่งมีพิสัยลดลงในคริสต์ศตวรรษที่ 20 และในประเทศออสเตรเลียเป็นเพียงอาณานิคมเดียวเท่านั้นในตอนปลายของสมัยไพลสโตซีน (Pleistocene) ประมาณ 3,000 ช่วงอายุ หรือ 35,000 ปีมาแล้ว[5] มีการวิเคราะห์ nDNA microsatellite ยืนยัน 4 ครั้งจากกลุ่มตัวอย่าง[9] ผลการวิจัยยังเสนอเพิ่มเติมว่าประชากรในออสเตรเลียมักมาจากการผสมพันธุ์ในพวกเดียวกัน และเนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดลูกผสมกับนกกระเรียนออสเตรเลียซึ่งมีพันธุกรรมที่แตกต่าง จึงคาดกันว่านกกระเรียนไทยในออสเตรเลียอาจจะเริ่มเป็นสปีชีส์ใหม่[9]
ศัพท์มูลวิทยา
แก้ชื่อสามัญ sarus มาจากชื่อในภาษาฮินดี ("sāras") ของนกกระเรียนชนิดนี้ คำในภาษาฮินดีมาจากคำในภาษาสันสกฤต sarasa แปลว่า "นกทะเลสาบ" (บางครั้งกร่อนเป็น sārhans) ขณะที่คนอินเดียให้ความนับถือในนกชนิดนี้[24] แต่ทหารอังกฤษในอาณานิคมอินเดียกลับล่านก ทหารเรียกนกว่า Serious[25] หรือ cyrus[26] ชื่อวิทยาศาสตร์ antigone—ตั้งตามชื่อลูกสาวของเอดิปุสผู้แขวนคอตนเอง อาจเกี่ยวข้องกับผิวหนังเปลือยตรงศีรษะและลำคอ[8][note 2]
นิเวศวิทยาและพฤติกรรม
แก้นกกระเรียนไทยไม่ใช่นกอพยพทางไกลเหมือนนกกระเรียนชนิดอื่น ๆ แต่ก็มีการอพยพเป็นระยะทางช่วงสั้น ๆ ในฤดูแล้งและฤดูฝน ประชากรนกกระเรียนที่มีการอพยพนั้นพบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น[14] นกกระเรียนที่จับคู่จะปกป้องอาณาเขตจากนกกระเรียนอื่นด้วยเสียงร้องกู่ร้องและการกางปีก นกที่ยังไม่จับคู่จะอยู่รวมกันเป็นฝูงหลากหลายขนาดจำนวนตั้งแต่ 1–430 ตัว[13][27][28] ในพื้นที่กึ่งแห้งแล้ง คู่นกและลูกนกที่บินได้แล้วจะละทิ้งอาณาเขตในฤดูแล้งไปรวมฝูงกับนกที่ยังไม่ได้จับคู่ ในพื้นที่ชุ่มน้ำตลอดปี อย่างในรัฐอุตตรประเทศ คู่นกจะไม่ทิ้งอาณาเขต ฝูงนกกระเรียนที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในพื้นที่ 29 ตารางกิโลเมตรของอุทยานแห่งชาติเกวลาเทวะ (Keoladeo)[29] ซึ่งมีนกถึง 430 ตัว และจากพื้นที่ชุ่มน้ำในเขตอิฏาวา (Etawah) และไมนปุรี (Mainpuri) ในรัฐอุตตรประเทศ มีนกจำนวน 245–412 ตัว ฝูกนกที่มีสมาชิกเกิน 100 ตัวนั้นมีรายงานจากรัฐคุชราต[30] และประเทศออสเตรเลียเป็นประจำ ในระหว่างฤดูผสมพันธุ์ นกที่จับคู่จะขับไล่นกกระเรียนที่ยังไม่จับคู่ออกจากพื้นที่ชุ่มน้ำบางแห่งและประชากรนกท้องถิ่นสามารถลดลงได้ ประชากรนกกระเรียนในอุทยานแห่งชาติเคียวลาเดียวเคยมีบันทึกว่าจากนกมากกว่า 400 ตัวในฤดูร้อนลดลงเหลือเพียง 20 ในระหว่างมรสุม[29]
นกกระเรียนจะนอนในน้ำตื้น ๆ อาจเป็นเพราะจะได้ปลอดภัยจากสัตว์นักล่าบนพื้นดิน[8] นกที่โตเต็มที่จะไม่ผลัดขนทุกปี แต่จะผลัดทุกสองถึงสามปี[31]
การกินอาหาร
แก้นกกระเรียนไทยหากินในน้ำตื้น (ปกติน้ำลึกน้อยกว่า 30 เซนติเมตร) หรือในทุ่งหญ้า บ่อยครั้งพบนกกระเรียนแหย่ปากหากินในปลักโคลน มันเป็นสัตว์กินได้ทั้งพืชและสัตว์ เช่น แมลง (โดยเฉพาะตั๊กแตน) พืชน้ำ ปลา (อาจแค่เฉพาะในกรงเลี้ยง)[32] กบ สัตว์น้ำที่มีเปลือกแข็ง และเมล็ดพืช บางครั้งก็เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังขนาดใหญ่ เช่น งูน้ำ (Xenochrophis piscator)[8] มีบางกรณีที่พบได้ยากที่นกกระเรียนไทยกินไข่ของนกอื่น[33] และเต่า[34] ส่วนพืชก็อย่างเช่น พืชมีหัว หัวของพืชน้ำ หน่อหญ้า เมล็ดพืช และเมล็ดจากพืชที่เพาะปลูกอย่างถั่วลิสงและธัญพืชเช่นข้าว[8]
การเกี้ยวพาราสีและการผสมพันธุ์
แก้นกกระเรียนไทยมีเสียงร้อง "แกร๋...แกร๋..." ดังเหมือนแตร ที่สร้างมาจากหลอดลมที่ยาวม้วนพันกันอยู่ในบริเวณสันอกซึ่งคล้ายกันกับนกกระเรียนชนิดอื่น[35] การเกี้ยวพาราสีของนกกระเรียน จะแสดงออกโดยคู่นกอาจแสดงการกางปีก กระพือปีก ส่งเสียงร้องด้วยท่าทางที่สวยงามและพร้อมเพียงกันไปรอบ ๆ พื้นที่ รวมถึงการ "เต้นระบำ" ที่กระทำทั้งในและนอกฤดูผสมพันธุ์ ซึ่งประกอบไปด้วยการกระโดดช่วงสั้น ๆ กระดกศีรษะขึ้นลง ตบเท้า ไปรอบ ๆ คู่ของมัน[36] นอกจากนี้การเต้นระบำยังเป็นการข่มขู่ขับไล่เมื่อรังหรือลูกนกตกอยู่ในอันตรายอีกด้วย[8] นกกระเรียนไทยส่วนใหญ่ผสมพันธุ์ในฤดูมรสุมในประเทศอินเดีย (กรกฎาคมถึงตุลาคม) แม้ว่าอาจมีการวางไข่ครั้งที่ 2[29] และมีบันทึกว่านกกระเรียนผสมพันธุ์ได้ทั้งปี[13] และในตอนต้นฤดูฝนในประเทศออสเตรเลีย
นกกระเรียนสร้างรังขนาดใหญ่มีรูปร่างกลมแบนแบบง่าย ๆ จากต้นไม้จำพวกอ้อหรือกกและพืชต่าง ๆ ในหนองบึงหรือนาข้าว[18] รังจะสร้างในน้ำตื้นโดยซ้อนทับไปบนกอกก กอข้าว หรือกอหญ้า เพื่อที่รังจะได้อยู่สูงจากระดับน้ำคล้ายกับเป็นเกาะเล็ก ๆ รังไม่มีสิ่งปกปิดมองเห็นได้ชัดเจนจากระยะไกล[37] รังอาจมีเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 2 เมตรสูงเกือบ 1 เมตร[38] คู่นกจะหวงแหนแหล่งทำรังมาก บ่อยครั้งที่จะกับมาซ่อมแซมและใช้รังเดิมถึง 5 ฤดูผสมพันธุ์[39] ในหนึ่งครอกจะมีไข่ 1-2 ใบ (น้อยครั้งที่จะเป็น 3[39] หรือ 4[40] ใบ) พ่อแม่นกจะผลัดเปลี่ยนกันทำหน้าที่ฟักไข่[40] ใช้เวลาฟักไข่ราว 31 วัน (ราว 27–35 วัน[13][41]) ไข่นกกระเรียนไทยมีสีขาว (บางครั้งมีสีครีมแกมชมพูหรือสีเขียว[42]) หนักประมาณ 240 กรัม[8] พ่อแม่นกจะย้ายเปลือกไข่ออกจากรังหรือจะกลืนเปลือกไข่เข้าไปหลังลูกนกฟักเป็นตัว[43] ลูกนกระเรียนจะมีขนอุยปกคลุมทั่วตัว ขนบริเวณหัวและคอมีสีน้ำตาลอมเหลือง ขนข้างอกและหลังด้านบนเป็นสีน้ำตาลเข้ม บริเวณอกและท้องเป็นสีขาว[44] ลูกนกจะกินอาหารจากที่พ่อและแม่ป้อนในสองสามวันแรกและจะหากินเองหลังจากนั้นและจะตามพ่อแม่ไปหาอาหาร เมื่อเตือนภัย พ่อแม่นกจะร้อง "แคร่ร-รร" เสียงต่ำเพื่อส่งสัญญาณให้ลูกนกหยุดและนอนลง[45] นกวัยอ่อนจะอยู่กับพ่อแม่มากกว่า 3 เดือน[8] เชื่อกันว่านกกระเรียนจับคู่อยู่ด้วยกันตลอดชีวิต ถ้ามีตัวใดตัวหนึ่งตายลง นกที่เหลืออาจจับคู่กับนกตัวใหม่ได้ แต่นกกระเรียนเป็นนกที่จับคู่ยากมาก มันจะไม่ยอมจับคู่ใหม่จนกว่าจะพบคู่ที่พอใจ[46] นอกจากนี้ยังมีรายงานการเปลี่ยนคู่บันทึกไว้[47]
ปัจจัยคุกคาม
แก้ไข่ของนกกระเรียนไทยในรังถูกอีกาทำลายอยู่บ่อยครั้ง[43] ในประเทศออสเตรเลีย สัตว์นักล่านกวัยอ่อนนั้นรวมถึงดิงโกและหมาจิ้งจอกแดง ขณะที่เหยี่ยวแดงมักจะกินไข่[8] การนำไข่ไปจากรังโดยเกษตรกร (เพื่อลดความเสียหายของพืชผล) หรือเด็ก ๆ (นำไปเล่น)[48] หรือคนงานเร่ร่อนเพื่อนำไปทำอาหาร[49] เป็นปัจจัยคุกคามต่อไข่นกกระเรียนที่สำคัญ ประมาณร้อยละ 31–42 ของไข่ในรังจะไม่สามารถฟักเป็นตัวได้จากเหตุผลข้างต้น ลูกนกจะเป็นเหยื่อของสัตว์นักล่าประมาณร้อยละ 8 แต่มากกว่าร้อยละ 30 ของลูกนกที่ตายนั้นไม่ทราบสาเหตุ[50][51] อัตราการรอดตายตั้งแต่เป็นไข่จนถึงนกวัยอ่อนจะอยู่ประมาณร้อยละ 20[52] ในบริเวณที่เกษตรกรยินยอมให้นกอาศัยโดยไม่ได้ทำอันตรายต่อนกนั้น มีอัตราการรอดเท่า ๆ กันกับในพื้นที่ชุ่มน้ำ คู่นกที่ทำรังช้าในฤดูกาลมีโอกาสการเลี้ยงลูกนกให้รอดตายต่ำกว่าปกติ แต่ถ้าในอาณาเขตมีพื้นที่ชุ่มน้ำมากอัตราการรอดจะดีขึ้น[48]
เรื่องโรคและปรสิตของนกกระเรียนไทยเป็นที่รู้น้อยมาก รวมถึงผลกระทบที่มีต่อนกป่า จากการศึกษาที่สวนสัตว์โรมระบุบว่านกทนต่อโรคระบาด[53] ปรสิตภายในที่มีการระบุบก็มี พยาธิตัวแบน Opisthorhis dendriticus จากตับของนกในกรงเลี้ยงที่สวนสัตว์ลอนดอน[54] และปรสิตหนอนตัวแบน (Allopyge antigones) จากนกในประเทศออสเตรเลีย[55] นกกระเรียนไทยมีแมลงปรสิตเหมือนกับนกทั่ว ๆ ไป ชนิดที่มีการบันทึกไว้ก็มี Heleonomus laveryi และ Esthiopterum indicum[56]
ในกรงเลี้ยง นกกระเรียนไทยมีอายุยาวถึง 42 ปี[note 3][57][58] การตายของนกกระเรียนที่ยังไม่โตเต็มที่บ่อยครั้งเป็นผลจากการกระทำของมนุษย์ มีอุบัติเหตุกับนกกระเรียนที่เกิดจากสารพิษอย่างโมโนโครโตฟอส (monocrotophos) และดีลดริน (dieldrin) ในพื้นที่เกษตรกรรมบันทึกไว้[59][60] เท่าที่ทราบ มีนกที่โตเต็มที่บินชนสายไฟและโดนไฟดูดตาย ซึ่งมีอัตราการตายจากสาเหตุนี้ประมาณร้อยละ 1 ของประชากรนกในพื้นที่ต่อปี[61]
การอนุรักษ์
แก้มีนกกระเรียนไทยเหลืออยู่ในธรรมชาติประมาณ 15,000–20,000 ตัวจากการประเมินในปี ค.ศ. 2009[1] ประชากรชนิดย่อย นกกระเรียนอินเดีย เหลือน้อยกว่า 10,000 ตัวแต่ก็ถือว่ายังดีกว่าอีก 2 ชนิดย่อยที่เหลือ อาจเป็นเพราะได้รับความเคารพและธรรมเนียมที่สืบทอดกันมาทำให้นกไม่ได้รับอันตราย[49] และในหลาย ๆ พื้นที่ นกกระเรียนไม่เกรงกลัวมนุษย์ นกกระเรียนไทยเคยพบในประเทศปากีสถานแต่ยังไม่พบอีกเลยตั้งแต่ปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 ประชากรนกกระเรียนในอินเดียมีการลดจำนวนลง[1] จากการประมาณประชากรโดยรวมบนพื้นฐานของหลักฐานที่สะสมมาแสดงว่าประชากรในปี ค.ศ. 2000 ดีที่สุดคือร้อยละ 10 และเลวร้ายที่สุดคือร้อยละ 2.5 ของจำนวนทั้งหมดในปี ค.ศ. 1850[62] เกษตรกรหลายคนในอินเดียเชื่อว่านกกระเรียนนั้นเป็นตัวทำลายพืชผล[12] โดยเฉพาะข้าว แม้ว่าจากการศึกษาแสดงว่าการจิกกินเมล็ดข้าวโดยตรงนั้นมีการสูญเสียจำนวนน้อยกว่าร้อยละหนึ่งและการเหยียบย่ำทำให้สูญเสียเมล็ดประมาณ 0.4–15 กิโลกรัม[63] ทัศนคติของเกษตรกรมีแนวโน้มเป็นบวกในเรื่องความเสียหายที่เกิดขึ้น และนี่เองเป็นการช่วยอนุรักษ์นกกระเรียนภายในพื้นที่เกษตรกรรม และการชดเชยความเสียหายความเสียหายแก่เกษตรกรตามความเป็นจริงอาจจะช่วยได้[50] ทุ่งนาอาจมีบทบาทที่สำหรับสำคัญในการช่วยอนุรักษ์นกชนิดนี้ เพราะพื้นที่ชุ่มน้ำตามธรรมชาตินั้นถูกคุกคามมากขึ้นด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์[64] ประชากรนกกระเรียนในประเทศออสเตรเลียมีประมาณ 5,000 ตัวและอาจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ[9] อย่างไรก็ตาม นกกระเรียนอินโดจีนกลับลดลงเป็นจำนวนมากจากสงครามและการเปลี่ยนแปลงที่อยู่อาศัย (เช่นการเกษตรแบบเร่งรัดและการระบายน้ำออกจากพื้นที่ชุ่มน้ำ) และเมื่อกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 นกกระเรียนอินโดจีนได้หายไปจากพื้นที่กระจายพันธุ์ส่วนใหญ่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยแผ่ไปถึงตอนใต้ของประเทศจีน มีประชากรเหลือประมาณ 1,500–2,000 ตัวกระจายตัวเป็นกลุ่มประชากรเล็ก ๆ ประชากรในประเทศฟิลิปปินส์นั้นรู้น้อยมากและสูญพันธุ์ไปในตอนปลายของคริสต์ทศวรรษ 1960[1]
นกกระเรียนไทยจัดอยู่ในสภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ในบัญชีแดงของสหภาพเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ[1] และไซเตสจัดอยู่ในบัญชีอนุรักษ์ที่ 2[65] การคุกคามประกอบไปด้วยภัยคุกคามทำลายถิ่นที่อยู่หรือทำให้เสื่อมลง การล่าและดักจับ เช่นเดียวกับสิ่งแวดล้อมที่เป็นมลพิษ โรค และการแข่งขันในสปีชีส์ ผลของการผสมพันธุ์กันในเชื้อสายที่ใกล้เคียงกันมากในประชากรของประเทศออสเตรเลียยังต้องศึกษาต่อไป[9]
นกกระเรียนไทยสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติแล้วในประเทศมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย มีโครงการนำนกกระเรียนกลับสู่ธรรมชาติในประเทศไทยโดยนำนกมาจากประเทศกัมพูชา[66]
ประเทศไทย
แก้นกกระเรียนไทยเป็นสัตว์ป่าสงวนหนึ่งใน 20 ชนิดตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 สถานะภาพปัจจุบันจัดเป็นสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติแล้ว[67] ประเทศไทยพบนกกระเรียนในธรรมชาติครั้งสุดท้ายในปี พ.ศ. 2511 ที่บริเวณชายแดนติดกับกัมพูชา[68]
โดยในอดีต ปี พ.ศ. 2448 สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงบันทึกไว้ว่า ทรงพบเห็นฝูงนกกระเรียนไทยจำนวนนับพันนับหมื่นตัว ทำรังวางไข่ที่ทุ่งมะค่า และเมื่อปี พ.ศ. 2488 มีรายงานการพบเห็นฝูงนกกระเรียนไทยบินผ่านท้องฟ้าบริเวณจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ นั่นนับเป็นการพบเห็นนกกระเรียนไทยบินรวมตัวเป็นฝูงครั้งสุดท้ายในประเทศไทย[69]
ด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับมูลนิธิอนุรักษ์นกกระเรียนสากล (ICF) ได้ร่วมกันจัดทำโครงการนำนกกระเรียนคืนถิ่น (A. a. sharpii) โดยเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2525 ในปี พ.ศ. 2527 มูลนิธิฯ ได้ส่งลูกนกกระเรียนมาจำนวน 6 ตัว แต่ตายไป 1 ตัว ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2532 มูลนิธิฯ ได้ส่งลูกนกมาให้อีก 6 ตัว นกทั้งหมดนำมาเลี้ยงดูอยู่ที่ศูนย์เพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์สัตว์ป่าบางพระ และเนื่องจากพ่อแม่พันธุ์มีน้อยเกินไป ทางโครงการต้องจัดหาเพิ่มจากแหล่งอื่นอีก[70] ต่อมาสวนสัตว์โคราชได้ลูกนกมาจากการได้รับบริจาคจากประชาชนในบริเวณชายแดนไทย ลาว และกัมพูชา ระหว่างปี พ.ศ. 2532-2540 จำนวนหลายตัว ทางโครงการจึงได้มีการติดต่อกับสวนสัตว์เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกัน[71]
สวนสัตว์โคราชจัดเป็นสถานที่เพาะขยายพันธุ์นกกระเรียนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย[42] โดยได้เริ่มขยายพันธุ์ทั้งแบบธรรมชาติและการผสมเทียม มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 จนถึงปัจจุบัน จากประชากรเริ่มต้นจำนวน 26 ตัว จนถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2552 มีลูกนกที่เกิดมารวม 100 ตัว ขณะที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว และสถานีเพาะเลี้ยงนกน้ำบางพระ สามารถขยายพันธุ์ได้อีกไม่ต่ำกว่า 50 ตัว[72] ทางสวนสัตว์จึงมีโครงการปล่อยนกกระเรียนกลับคืนสู่ธรรมชาติใน 6 แหล่งด้วยกันคือ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงโขงหลง เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบงคาย เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงบอระเพ็ด เขตห้ามล่าสัตว์ป่าห้วยตลาดและห้วยจระเข้มาก เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบางพระ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำสนามบิน และ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว[73] ซึ่งในอดีต ประเทศไทยเคยปล่อยนกกระเรียนสามตัวกลับสู่ธรรมชาติที่ทุ่งกะมังในปี พ.ศ. 2540 แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ[68]
ปี พ.ศ. 2554 ระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม คณะทำงานโครงการทดลองปล่อยนกกระเรียนพันธุ์ไทยคืนสู่พื้นที่ชุ่มน้ำธรรมชาติ (ประเทศไทย) และสวนสัตว์นครราชสีมาได้มีการทดลองปล่อยนกกระเรียนไทย อายุ 5–8 เดือน จำนวน 10 ตัว กลับคืนสู่ธรรมชาติที่บริเวณอ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มาก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ จากการติดตามพบว่านกกระเรียนดังกล่าวสามารถดำรงชีวิตอยู่ในธรรมชาติได้ตามปกติ ในปีถัดมา ได้ปล่อยนกกระเรียนไทยกลับคืนสู่ธรรมชาติอีกครั้ง จำนวน 9 ตัว ที่อ่างเก็บน้ำสนามบิน อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์[74] เมื่อถึงปี พ.ศ. 2562 มีการปล่อยนกกระเรียนไทยคืนสู่พื้นที่ธรรมชาติแล้วถึง 105 ตัว สามารถมีชีวิตรอดในธรรมชาติ 71 ตัว และมีลูกนกเกิดในธรรมชาติไม่น้อยกว่า 15 ตัว[75][76]
นกกระเรียนในวัฒนธรรม
แก้นกกระเรียนไทยเป็นที่เคารพในประเทศอินเดียและมีตำนานที่ว่ามหาฤๅษีวาลมีกิ (Valmiki) ได้สาปแช่งผู้ที่ฆ่านกกระเรียนและได้แรงบันดาลใจจากนกกระเรียนในการเขียนมหากาพย์รามายณะ[77][78] นกกระเรียนยังเป็นคู่แข่งของนกยูงอินเดียในการคัดเลือกนกที่จะเป็นนกประจำชาติอินเดีย[79] ในชนเผ่าโคนที (Gondi) ซึ่งสักการะพระเจ้า 5 พระองค์ถือว่านกกระเรียนเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์[80] เนื้อนกกระเรียนถือว่าเป็นอาหารต้องห้ามในคัมภีร์ฮินดูโบราณ[81] เป็นที่เชื่อกันอย่างกว้างขวางว่านกกระเรียนจะมีคู่เพียงตัวเดียวตลอดชีวิต ถ้าเกิดตัวใดตัวหนึ่งตายลง อีกตัวหนึ่งจะตรอมใจตายตาม นกกระเรียนเป็นสัญลักษณ์คุณงามความดีศีลธรรมในชีวิตแต่งงานและในรัฐคุชราตมีประเพณีให้คู่แต่งงานใหม่ดูคู่นกกระเรียนเป็นตัวอย่าง[13][12] ในที่ราบน้ำท่วมขังของแม่น้ำคงคา ได้มีการสังเกตการทางชีววิทยาของนกกระเรียนโดยจักรพรรดิโมกุล จาฮันกีร์ (Jahangir) ประมาณช่วงปี ค.ศ. 1607 เขาบันทึกว่านกกระเรียนวางไข่สองใบห่างกัน 48 ชั่วโมงและใช้เวลาฟัก 34 วัน[8]
แม้ว่านกจะเป็นที่เคารพและได้รับการปกป้องจากชาวอินเดีย แต่นกกระเรียนยังคงถูกล่าในช่วงที่อินเดียเป็นอาณานิคม มีบันทึกว่าการฆ่านกจะทำให้คู่ของมันแผดเสียงไปหลายวัน และเชื่อกันว่าหลังจากนั้นมันจะตรอมใจตายตามคู่ไป แม้แต่ในคู่มือการล่านกเพื่อการกีฬายังไม่เห็นด้วยที่จะยิงนกชนิดนี้[82] ตามที่นักสัตววิทยาชาวอังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ทอมัส ซี. เจอร์ดอน (Thomas C. Jerdon) กล่าวไว้ว่า นกวัยอ่อนกินอร่อย ขณะที่นกโตเต็มที่ "ไร้ค่าที่จะวางบนโต๊ะ"[83] ไข่ของนกกระเรียนไทยใช้ในการรักษาแบบพื้นบ้านในบางส่วนของประเทศอินเดีย[13][84]
ในสมัยก่อน บ่อยครั้งที่นกวัยอ่อนจะโดนจับและนำไปเลี้ยงไว้ในโรงเลี้ยงสัตว์ทั้งในประเทศอินเดียและทวีปยุโรป มีการขยายพันธุ์สำเร็จในกรงเลี้ยงในช่วงตอนต้นของคริสต์ทศวรรษ 1600 โดยจักรพรรดิจาฮันกีร์[85] และในยุโรปและในสหรัฐอเมริกาในตอนต้นของคริสต์ทศวรรษ 1930[86][38]
... นกวัยอ่อนเลี้ยงง่ายด้วยการป้อนอาหารด้วยมือ นกจะเชื่องและติดคนป้อนอาหารมากโดยเดินตามอย่างกับสุนัข มันเป็นนกที่ตลกมากด้วยท่าเต้นที่พิสดารและแสดงท่าทางน่าตลกขบขัน ซึ่งคุ้มค่าที่จะเลี้ยงไว้ นกกระเรียนตัวหนึ่งที่ฉันเลี้ยง เมื่อให้ขนมปังกับนมแก่มัน มันจะนำขนมปังออกจากนมและล้างในอ่างน้ำของมันก่อนจะกินเข้าไป นกตัวนี้นำมาจากพระราชวังที่ลัคเนา (Lucknow) ซึ่งมันจะดุร้ายกับคนแปลกหน้าและสุนัขมาก โดยเฉพาะถ้าพวกเขามีท่าทีกลัวมัน มันส่งเสียงดังหนวกหูมากซึ่งเป็นข้อเสียเพียงข้อเดียวของมัน
— Irby, 1861[87]
เครื่องบินใบพัด 14 ที่นั่งของอินเดียได้รับการตั้งชื่อตามนกกระเรียนนี้ว่า Saras[88][89]
ในประเทศไทย เรื่องของนกกระเรียนปรากฏอยู่ใน "เล่าเรื่องกรุงสยาม" ของสังฆราชปาเลอกัวซ์
นอกจากนั้นยังปรากฏอยู่ในกาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดงของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ดังนี้[46]
นกกระเรียนเวียนว่ายน้ำ | เลงแล |
ลงย่องร้องแกร๋แกร๋ | แจ่มจ้า |
ริมทุ่งกระทุงลอยแพ | ลงล่อง |
บินกลาดกลุ้มท้องฟ้าร่อนร้อง | เหลือหลาย |
และยังปรากฏในเรื่อง "ลานนกกระเรียน" ในหนังสือ นิทานโบราณคดี ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ [90]
"ลานนกกะเรียน ในเขตจังหวัดนครราชสีมา ตามทางไปมณฑลอุดร มีทุ่งใหญ่ ๆ หลายแห่ง ที่ทำไร่นาไม่ได้เพราะเป็นที่ลุ่ม เวลาฤดูแล้งดินแห้งแข็งกระด้างถากไถไม่ลง ถึงฤดูฝนตกดินอ่อน ถ้าถากไถทำไร่นาพอปลูกพันธุ์ไม้ขยายกอเกิดลำต้นยังไม่ทันออกพืชผล ก็ถึงเวลาน้ำป่าไหลหลากลงมาขังในท้องทุ่งนั้น ท่วมพันธุ์ไม้ตายหมด เป็นอย่างนั้นทุกปีจึงไม่มีใครไปทำนา มีแต่กอหญ้าที่ขึ้นเองแล้วถูกน้ำท่วมเหลือแต่ซากอยู่ในท้องทุ่ง เขาบอกว่าถึงฤดูแล้งมีนกกะเรียนมาทำรังไข่กับแผ่นดินในทุ่งว่างนั้น ตั้งหมื่นตั้งแสน พอจวนถึงฤดูฝน ลูกบินได้ก็พากันหายไปหมด ถึงฤดูแล้งหน้า ก็กลับมาทำรังอีกเสมอทุกปี นกกะเรียนที่มีเลี้ยงกันตามบ้านในกรุงเทพ ฯ ล้วนดักเอาลูกนกไปจากทุ่งนั้นทั้งนั้น เมื่อฉันเดินทางจากเมืองนครราชสีมาไป ๒ วันถึง ทุ่งมะค่า ก็เห็นฝูงนกกะเรียนทำรังอยู่มากมายอย่างเขาว่า พอมันเห็นคนหมู่ใหญ่ก็ตื่นพากันทิ้งรังพากันบินหนีขึ้นไปร่อนอยู่เต็มท้องฟ้า ดูจำนวนนกนับด้วยหมื่น ไม่เห็นเคยมีที่ไหนเหมือน ในเมืองไทยนั้นกกะเรียนก็ไม่มีชุม เคยเห็นชินตาแต่ที่เขาจับเอามาเลี้ยงไว้ แต่นกกะเรียนเถื่อนไม่ใคร่จะได้เห็น จึงพิศวงว่าไฉนนกกะเรียนนับหมื่นจึงพร้อมใจกันมาทำรังในทุ่งมะค่า และมาเสมอทุกปี พิเคราะห์ดูไปเข้าเค้าที่พวกนักปราชญ์ในยุโรปเขาสอบสวน ได้ความว่ามีนกบางชนิดย้ายที่อยู่ไปต่างทวีปตามฤดูกาลเสมอทุกปี ยกตัวอย่างดังเช่นนก “สตอก” (Stork) รูปร่างคล้ายกับ นกฝักบัวของไทย เวลาฤดูร้อนชอบไปเที่ยวอาศัยทำรัง ออกลูกบนหลังคาเรือนคนในยุโรปข้างฝ่ายเหนือ พอจะเข้าฤดูหนาวมันก็พากันบินหนีออกจากยุโรปไปอยู่ในทวีปอัฟริกา จนถึงฤดูร้อนจึงกลับไปทำรังในยุโรปอีก เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างนั้นเสมอทุกปี ชะรอยนกกะเรียนที่มาทำรังในทุ่งมะค่าก็จะทำนองเดียวกัน อาจจะเป็นนกกะเรียนที่แยกย้ายกันอยู่ตามประเทศต่าง ๆ ในทวีปอาเซียนี้ มันรู้กันด้วยอย่างใดอย่างหนึ่ง ว่าที่ทุ่งมะค่าในเมืองไทยเหมาะแก่การทำรังออกลูกยิ่งกว่าที่อื่น ๆ ถึงฤดูทำรังก็มารวมกันทำรังไข่ที่ทุ่งมะค่า จำนวนนกกะเรียนจึงมากนับหมื่น เพราะมาแต่หลายประเทศด้วยกัน หาใช่นกกะเรียนในเมืองไทยเท่านั้นไม่ นกพันธุ์อื่นที่มาอยู่ในเมืองไทยแต่บางฤดูก็ยังมีอีก เช่นนก “ปากง่าม” (Snipe) ก็มีแต่ในฤดูทำนา เขาตรวจได้ความว่ามันทำรังออกลูกอยู่ในภาคไซบีเรียของประเทศรุสเซีย ถึงฤดูจึงไปเที่ยวหากินตาม ประเทศอื่น ๆ ในเวลาเมื่อประเทศนั้น ๆ มีอาหารบริบูรณ์ ถึงนกอีแอ่นที่ทำรังให้คนกินอยู่ตามเกาะในทะเล พอลูกบินได้มันก็หายไปหมด ไม่รู้ว่าไปไหน จนถึงฤดูทำรังปีหน้า จึงกลับมาใหม่เสมอทุกปี นิสัยสัตว์มันรู้จักโลกได้ดีตามประสาของมัน เป็นแต่มนุษย์ไม่รู้ว่ามันบอกเล่านัดหมายกันอย่างไรเท่านั้น"[91]
เชิงอรรถ
แก้อ้างอิง
แก้- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 BirdLife International (2016). "Antigone antigone". IUCN Red List of Threatened Species. 2016: e.T22692064A93335364. doi:10.2305/IUCN.UK.2016-3.RLTS.T22692064A93335364.en. สืบค้นเมื่อ 20 February 2022.
- ↑ "Appendices | CITES". cites.org. สืบค้นเมื่อ 2022-01-14.
- ↑ Blanford, W.T (1896). "A note on the two sarus cranes of the Indian region". Ibis. 2: 135–136. doi:10.1111/j.1474-919X.1896.tb06980.x.
- ↑ "Ardea antigone Linnaeus, 1758". TreatmentBank. Swiss Plazi GmbH. 2021. สืบค้นเมื่อ 30 September 2023.
- ↑ 5.0 5.1 Wood, T.C. & Krajewsky, C. (1996). "Mitochondrial DNA sequence variation among the subspecies of Sarus Crane (Grus antigone)" (PDF). The Auk. 113 (3): 655–663. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2008-10-15. สืบค้นเมื่อ 2010-04-16.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ Vyas, Rakesh (2002). "Status of Sarus Crane Grus antigone antigone in Rajasthan and its ecological requirements" (PDF). Zoos' Print Journal. 17 (2): 691–695.
- ↑ 7.0 7.1 Rasmussen, PC & JC Anderton (2005). Birds of South Asia: The Ripley Guide. Vol. 2. Smithsonian Institution and Lynx Edicions. pp. 138–139.
- ↑ 8.00 8.01 8.02 8.03 8.04 8.05 8.06 8.07 8.08 8.09 8.10 8.11 8.12 Johnsgard, Paul A. (1983). Cranes of the world. Indiana University Press, Bloomington. ISBN 0-253-11255-9.
- ↑ 9.0 9.1 9.2 9.3 9.4 9.5 Jones, Kenneth L.; Barzen, Jeb A.; Ashley, Mary V. (2005). "Geographical partitioning of microsatellite variation in the sarus crane". Animal Conservation. 8 (1): 1–8. doi:10.1017/S1367943004001842. S2CID 85570749.
- ↑ Azam, Mirza Mohammad & Chaudhry M. Shafique (2005). "Birdlife in Nagarparkar, district Tharparkar, Sindh" (PDF). Rec. Zool. Surv. Pakistan. 16: 26–32.[ลิงก์เสีย]
- ↑ Choudhury, A. (1998). "Mammals, birds and reptiles of Dibru-Saikhowa Sanctuary, Assam, India". Oryx. 32 (3): 192–200. doi:10.1017/S0030605300029951.
- ↑ 12.0 12.1 12.2 12.3 12.4 Sundar, K.S.G.; Kaur, J.; Choudhury, BC (2000). "Distribution, demography and conservation status of the Indian Sarus Crane (Grus a. antigone) in India". Journal of the Bombay Natural History Society. 97 (3): 319–339.
- ↑ 13.0 13.1 13.2 13.3 13.4 13.5 13.6 13.7 Sundar, KSG; Choudhury, BC (2003). "The Indian Sarus Crane Grus a. antigone: a literature review". Journal of Ecological Society. 16: 16–41.
- ↑ 14.0 14.1 Archibald, G.W.; Sundar, KSG; Barzen, J. (2003). "A review of the three subspecies of Sarus Cranes Grus antigone". J. Ecol. Soc. 16: 5–15.
- ↑ Marchant, S.; Higgins, P.J. (1993). Handbook of Australian, New Zealand & Antarctic birds. Oxford University Press, Melbourne.
- ↑ Vigne, GT (1842). Travels in Kashmir, Ladak, Iskardo. Vol. 2. Henry Colburn,London.
- ↑ Sundar, KSG (2009). "Are rice paddies suboptimal breeding habitat for Sarus Cranes in Uttar Pradesh, India?". The Condor. 111 (4): 611–623. doi:10.1525/cond.2009.080032.
- ↑ 18.0 18.1 Borad, C.K.; Mukherjee, A.; Parasharya, B.M. (2001). "Nest site selection by the Indian sarus crane in the paddy crop agrosystem". Biological Conservation. 98 (1): 89–96. doi:10.1016/s0006-3207(00)00145-2.
- ↑ Sundar, KSG; Choudhury, BC (2006). "Conservation of the Sarus Crane Grus antigone in Uttar Pradesh, India". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 103 (2–3): 182–190.
- ↑ Gmelin, JF (1788). Systema Naturae. 1 (13 ed.). p. 622.
- ↑ Blyth, Edward (1881). The natural history of the cranes. R H Porter. pp. 45–51.
- ↑ 22.0 22.1 22.2 Sarus Crane Birding in India and South Asia
- ↑ Meine, Curt D. and George W. Archibald (Eds) (1996). The cranes: Status survey and conservation action plan. IUCN, Gland, Switzerland, and Cambridge, U.K. ISBN 2831703263.
- ↑ หนังสือธรรมชาตินานาสัตว์ เล่ม 2 นายแพทย์ บุญส่ง เลขะกุล
- ↑ Yule, Henry, Sir. (1903). Hobson-Jobson: A glossary of colloquial Anglo-Indian words and phrases, and of kindred terms, etymological, historical, geographical and discursive. New ed. edited by William Crooke, B.A.. J. Murray, London.
- ↑ Stocqueler, JH (1848). The Oriental Interpreter. C. Cox, London.
- ↑ Livesey,TR (1937). "Sarus flocks". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 39 (2): 420–421.
- ↑ Prasad, SN; NK Ramachandran; HS Das & DF Singh (1993). "Sarus congregation in Uttar Pradesh". Newsletter for Birdwatchers. 33 (4): 68.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ 29.0 29.1 29.2 Ramachandran, NK; Vijayan, VS (1994). "Distribution and general ecology of the Sarus Crane (Grus antigone) in Keoladeo National Park, Bharatpur, Rajasthan". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 91 (2): 211–223.
- ↑ Acharya,Hari Narayan G (1936). "Sarus flocks". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 38 (4): 831.
- ↑ Hartert, Ernst & F Young (1928). "Some observations on a pair of Sarus Cranes at Tring". Novitates Zoologicae. 34: 75–76.
- ↑ Law,SC (1930). "Fish-eating habit of the Sarus Crane (Antigone antigone)". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 34 (2): 582–583.
- ↑ Sundar, KSG (2000). "Eggs in the diet of the Sarus Crane Grus antigone (Linn.)". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 97 (3): 428–429.
- ↑ Chauhan, R; Andrews, Harry (2006). "Black-necked Stork Ephippiorhynchus asiaticus and Sarus Crane Grus antigone depredating eggs of the three-striped roofed turtle Kachuga dhongoka". Forktail. 22: 174–175.
- ↑ Fitch, WT (1999). "Acoustic exaggeration of size in birds via tracheal elongation: comparative and theoretical analyses" (PDF). J. Zool., Lond. 248: 31–48. doi:10.1111/j.1469-7998.1999.tb01020.x.
- ↑ Mukherjee, A. (2002). "Observations on the mating behaviour of the Indian Sarus Crane Grus antigone in the wild". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 99 (1): 108–113.
- ↑ Whistler, Hugh (1949). Popular Handbook Of Indian Birds. 4th edition. Gurney and Jackson, London. หน้า 446–447.
- ↑ 38.0 38.1 Walkinshaw, Lawrence H. (1947). "Some nesting records of the sarus crane in North American zoological parks" (PDF). The Auk. 64 (4): 602–615. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2011-06-07. สืบค้นเมื่อ 2010-04-16.
- ↑ 39.0 39.1 Mukherjee, A; Soni, V.C.; Parasharya, C.K. Borad B.M. (December 2000). "Nest and eggs of Sarus Crane (Grus antigone antigone Linn.)" (PDF). Zoos' Print Journal. 15 (12): 375–385.
- ↑ 40.0 40.1 Sundar, KSG & BC Choudhury (2005). "Effect of incubating adult sex and clutch size on egg orientation in Sarus Cranes Grus antigone" (PDF). Forktail. 21: 179–181. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2008-10-11. สืบค้นเมื่อ 2010-04-16.
- ↑ Ricklefs RE, DF Bruning * G W Archibald. "Growth rates of cranes reared in captivity" (PDF). The Auk. 103 (1): 125–134. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2010-06-09. สืบค้นเมื่อ 2010-04-16.
- ↑ 42.0 42.1 มิ่งขวัญ วัตพนาศรัย, นกกระเรียนคืนถิ่น, Advanced Thailand Geographic ฉบับที่ 136 พ.ศ. 2555, ISSN 0859-5356
- ↑ 43.0 43.1 Sundar, K.S.G.; Choudhury, B.C. (2003). "Nest sanitation in Sarus Cranes Grus antigone in Uttar Pradesh, India" (PDF). Forktail. 19: 144–146. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 11 October 2008.
- ↑ นกกระเรียนในประเทศไทย เก็บถาวร 2010-07-13 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน สถานีเพาะเลี้ยงนกน้ำบางพระ อ.ศรีราชา จังหวัดชลบุรี ส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า สำนักอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ กรมป่าไม้, bknowledge.org
- ↑ Ali, S (1957). "Notes on the Sarus Crane". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 55 (1): 166–168.
- ↑ 46.0 46.1 นกกระเรียน[ลิงก์เสีย] สัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
- ↑ Sundar, KSG (2005). "Observations of mate change and other aspects of pair-bond in the Sarus Crane Grus antigone". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 102 (1): 109–112.
- ↑ 48.0 48.1 Sundar, KSG (2009). "Are rice paddies suboptimal breeding habitat for Sarus Cranes in Uttar Pradesh, India?". The Condor. 111 (4): 611–623.
- ↑ 49.0 49.1 Kaur, J.; Choudhury, B.C.; Choudhury, B.C. (2008). "Conservation of the vulnerable Sarus Crane Grus antigone antigone in Kota, Rajasthan, India: a case study of community involvement". Oryx. 42 (3): 452–455. doi:10.1017/S0030605308000215.
- ↑ 50.0 50.1 Mukherjee, A; C. K. Borad & B. M. Parasharya (2002). "Breeding performance of the Indian sarus crane in the agricultural landscape of western India". Biological Conservation. 105 (2): 263–269. doi:10.1016/S0006-3207(01)00186-0.
- ↑ Kaur J & Choudhury, BC (2005). "Predation by Marsh Harrier Circus aeruginosus on chick of Sarus Crane Grus antigone antigone in Kota, Rajasthan". Journal of the Bombay Natural History Society. 102 (1): 102.
- ↑ Borad, CK; Mukherjee, Aeshita; Parasharya, BM & S.B. Patel (2002). "Breeding performance of Indian Sarus Crane Grus antigone antigone in the paddy crop agroecosystem". Biodiversity and Conservation. 11 (5): 795–805. doi:10.1023/A:1015367406200.
- ↑ Ambrosioni P & Cremisini ZE (1948). "Epizoozia de carbonchi ematico negli animali del giardino zoologico di Roma". Clin. Vet. (ภาษาอิตาลี). 71: 143–151.
- ↑ Lal, Mukund Behari (1939). "Studies in Helminthology-Trematode parasites of birds". Proceedings of the Indian Academy of Sciences. Section B. 10 (2): 111–200.
- ↑ Johnston, SJ (1913). "On some Queensland trematodes, with anatomical observations and descriptions of new species and genera". Quarterly Journal of Microscopical Science. 59: 361–400.
- ↑ Tandan, BK. "The genus Esthiopterum (Phthiraptera: Ischnocera)" (PDF). J. Ent. (B). 42 (1): 85–101.
- ↑ Flower, M.S.S. (1938). "The duration of life in animals - IV. Birds: special notes by orders and families". Proc. Zool. Soc. London: 195–235.
- ↑ Ricklefs, R. E. (2000). "Intrinsic aging-related mortality in birds" (PDF). J. Avian Biol. 31: 103–111. doi:10.1034/j.1600-048X.2000.210201.x.
- ↑ Pain, D.J., Gargi, R., Cunningham, A.A., Jones, A., Prakash, V. (2004). "Mortality of globally threatened Sarus cranes Grus antigone from monocrotophos poisoning in India". Science of the Total Environment. 326 (1–3): 55–61. doi:10.1016/j.scitotenv.2003.12.004. PMID 15142765.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ Muralidharan, S. (1993). "Aldrin poisoning of Sarus cranes (Grus antigone) and a few granivorous birds in Keoladeo National Park, Bharatpur, India". Ecotoxicology. 2 (3): 196–202. doi:10.1007/BF00116424.
- ↑ Sundar, KSG & BC Choudhury (2005). "Mortality of sarus cranes (Grus antigone) due to electricity wires in Uttar Pradesh, India". Environmental Conservation. 32: 260–269. doi:10.1017/S0376892905002341.
- ↑ BirdLife International (2001). Threatened birds of Asia: the BirdLife International Red Data Book (PDF). BirdLife International, Cambridge, UK. ISBN 0946888426. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2016-02-10. สืบค้นเมื่อ 2010-04-16.
- ↑ Borad, C.K.; Mukherjee, A.; Parasharya, B.M. (2001). "Damage potential of Indian sarus crane in paddy crop agroecosystem in Kheda district Gujarat, India". Agriculture, Ecosystems and Environment. 86 (2): 211–215. doi:10.1016/S0167-8809(00)00275-9.
- ↑ Sundar, KSG (2009). "Are rice paddies suboptimal breeding habitat for Sarus Cranes in Uttar Pradesh, India?". The Condor. 111 (4): 611–623. doi:10.1525/cond.2009.080032.
- ↑ นกกระเรียน เก็บถาวร 2010-03-23 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน แฟ้มสัตว์โลก โลกสีเขียว
- ↑ Tanee T, Chaveerach A, Anuniwat A, Tanomtong A, Pinthong K, Sudmoon R & P., Mokkamul (2009). "Molecular Analysis for Genetic Diversity and Distance of Introduced Grus antigone sharpii L. to Thailand" (PDF). Pakistan Journal of Biological Sciences. 12 (2): 163–167. doi:10.3923/pjbs.2009.163.167. PMID 19579938.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)[ลิงก์เสีย] - ↑ นกกระเรียนไทย ฐานข้อมูลชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในประเทศไทย
- ↑ 68.0 68.1 นกกระเรียน ชีวิตในตำนาน[ลิงก์เสีย] สารคดี
- ↑ หน้า 122-129, โฮป : ความหวังบนลานนกกระเรียน โดย พงษ์ชัย มูลสาร. นิตยสารเนชั่นแนลจีโอกราฟิก ฉบับภาษาไทย ฉบับที่ 173: ธันวาคม 2558
- ↑ พรทิพย์ อังคปรีชาเศรษฐ์ นกกระเรียนคืนถิ่น[ลิงก์เสีย] สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
- ↑ โครงการนกกระเรียนคืนถิ่น เก็บถาวร 2009-10-23 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน บุบผา อ่ำเกตุ
- ↑ "นกกระเรียนไทย"ที่สวนสัตว์ดุสิตขยายพันธุ์สำเร็จ ไทยรัฐ วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
- ↑ กษมา หิรัณยรัชต์. ฉลองนกกระเรียนตัวที่ 100 พันธุ์ไทยแท้-แท้ ที่โคราช. มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 18 มิถุนายน 2552 หน้า 21
- ↑ เตรียมปล่อย “กระเรียนไทย”ใกล้สูญพันธุ์ สู่ธรรมชาติที่บุรีรัมย์อีก 9 ตัว เก็บถาวร 2016-02-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, ASTVผู้จัดการออนไลน์, 27 มีนาคม 2555
- ↑ องค์การสวนสัตว์เปิดศูนย์อนุรักษ์นกกระเรียนพันธุ์ไทย แหล่งเรียนรู้ใหม่บุรีรัมย์, ไทยโพสต์, 05 สิงหาคม พ.ศ. 2562
- ↑ เปิดแหล่งเรียนรู้ "นกกระเรียนพันธุ์ไทย" ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ, Thai PBS, 5 สิงหาคม 2562
- ↑ Leslie, J. (1998). "A bird bereaved: The identity and significance of Valmiki's kraunca". Journal of Indian Philosophy. 26 (5): 455–487. doi:10.1023/A:1004335910775.
- ↑ Hammer, Niels (2009). "Why Sārus Cranes epitomize Karuṇarasa in the Rāmāyaṇa". Journal of the Royal Asiatic Society. 19: 187–211. doi:10.1017/S1356186308009334.
- ↑ Sundar, KS Gopi (2006). "Conservation of the Sarus Crane Grus antigone in Uttar Pradesh, India". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 103 (2–3): 182–190.
- ↑ Russell, RV (1916). The tribes and castes of the Central Provinces of India. Volume 3. Macmillan and Co., London. p. 66.
- ↑ The Sacred Laws of the Aryas. Parts 1 and 2. แปลโดย Bühler, Georg. New York: The Christian Literature Company. 1898. p. 64. LCCN 32034301.
- ↑ Finn, F (1915). Indian sporting birds. Francis Edwards, London. pp. 117–120.
- ↑ Jerdon, TC (1864). Birds of India. Vol. 3. George Wyman & Co, Calcutta.
- ↑ Kaur, J & BC Choudhury (2003). "Stealing of Sarus crane eggs". Current Science. 85 (11): 1515–1516.
- ↑ Ali, S (1927). "The Moghul emperors of India as naturalists and sportsmen. Part 2". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 32 (1): 34–63.
- ↑ Rothschild D (1930). "Sarus crane breeding at Tring". Bull. Brit. Orn. Club. 50: 57–68.
- ↑ Irby,LH (1861). "Notes on birds observed in Oudh and Kumaon". Ibis. 3 (2): 217–251. doi:10.1111/j.1474-919X.1861.tb07456.x.
- ↑ Norris, Guy (2005). "India works to overcome Saras design glitches". Flight International. 168 (5006): 28.
- ↑ Mishra, Bibhu Ranjan (16 November 2009). "After IAF, Indian Posts shows interest for NAL Saras". Business Standard. สืบค้นเมื่อ 13 January 2010.
- ↑ "SiamRareBooks". db.sac.or.th.
- ↑ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ. "นิทานโบราณคดี". db.sac.or.th.
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
แหล่งที่มาอื่น
แก้- Matthiessen, Peter & Bateman, Robert (2001). The Birds of Heaven: Travels with Cranes. North Point Press, New York. ISBN 0-374-19944-2
- Weitzman, Martin L. (1993). "What to preserve? An application of diversity theory to crane conservation". The Quarterly Journal of Economics. 108 (1): 157–183. doi:10.2307/2118499. hdl:10.2307/2118499. ISSN 0033-5533. JSTOR 2118499.
- Haigh, J. C. & Holt, P. E. (1976). "The use of the anaesthetic "CT1341" in a Sarus crane". Can Vet J. 17 (11): 291–292. PMC 1697384. PMID 974983.
- Duan, W. & Fuerst, P. A. (2001). "Isolation of a sex-Linked DNA sequence in cranes". Journal of Heredity. 92 (5): 392–397. doi:10.1093/jhered/92.5.392. PMID 11773245.
- Menon, G. K.; R. V. Shah & M. B. Jani (1980). "Observations on integumentary modifications and feathering on head and neck of the Sarus Crane, Grus antigone antigone". Pavo. 18: 10–16.
- Sundar, K. S. G. (2006). "Flock size, density and habitat selection of four large waterbirds species in an agricultural landscape in Uttar Pradesh, India: implications for management". Waterbirds. 29 (3): 365–374. doi:10.1675/1524-4695(2006)29[365:fsdahs]2.0.co;2. S2CID 198154724.
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- International Crane Foundation: Sarus Crane, Grus antigone. Retrieved 22 February 2007.
- USGS Northern Prairie Wildlife Research Center: The Cranes Status Survey and Conservation Action Plan: Sarus Crane (Grus antigone). Retrieved 22 February 2007.
- Sarus Crane (International Crane Foundation)
- International Crane Foundation (literature)
- Sarus Crane (Grus antigone) from Cranes of the World (1983) by Paul Johnsgard
- Arkive