ท้าวเวสวัณ

1 ใน จตุโลกบาล ทั้ง 4
(เปลี่ยนทางจาก ท้าวเวสสุวรรณ)

ท้าวเวสสุวรรณ[1] (สันสกฤต: वैश्रवण Vaiśravaṇa ไวศฺรวณ; บาลี: वेस्सवण Vessavaṇa เวสฺสวณ) หรือท้าวกุเวร[2] เป็นเจ้าแห่งยักษ์ เป็นหนึ่งในจาตุมหาราช ผู้คุ้มครองและดูแลโลกมนุษย์ สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ในรามเกียรติ์เป็นโอรสของท้าวลัสเตียนกับนางศรีสุมณฑา มีพระอนุชาคือ ท้าวกุเปรัน ท้าววัสวตีวัณ (เจ้าแห่งสวรรค์ชั้นที่ 6) ทรงอิทธิฤทธิ์อานุภาพมาก เคยตัดเศียรของท้าวราวณะขาดไป 1 เศียร ครองโลกบาลทิศเหนือ ท้าวเวสวัณคือท้าวกุเวร ในศาสนาฮินดู

ท้าวเวสวัณ ศิลปะจีน
ตราประจำจังหวัดอุดรธานี แสดงรูปท้าวเวสวัณ
ท้าวเวสวัณ ที่วัดพระธาตุดอยสุเทพ
วัดโทได

ในคัมภีร์ทางพุทธศาสนา ได้กล่าวถึงท้าวเวสสุวรรณว่าเป็น 1 ใน 5 ผู้มีสุดยอดอาวุธวิเศษ คือ วชิราวุธของพระอินทร์ ไม้ตะบองของท้าวเวสสุวรรณนัยตาของพระยม ผ้าพันคอของอาฬวกยักษ์ และจักรแก้วของพระเจ้าจักรพรรดิ

ในพระอภิธรรมของเถรวาท ได้จัดให้ยมทูตและนายนิรยบาลที่ลงโทษสัตว์นรกในนรกนั้นเป็นเทวดาประเภทยักษ์ ซึ่งเป็นบริวารของท้าวเวสสุวรรณโดยตรง จึงถือกันว่าท้าวเวสสุวรรณเป็นจ้าวแห่งวิญญาณที่ควบคุมเหล่าภูตผีปีศาจสัมภเวสีต่าง ๆ อีกด้วย ผ่านยมทูตและนิรยบาลนั่นเอง

คนไทยโบราณนิยมนำผ้ายันต์รูปยักษ์ผูกไว้ที่หัวเตียงเด็กเพื่อป้องกันวิญญาณชั่วร้ายไม่ให้มารังควานแก่เด็ก ท้าวกุเวรองค์นี้มีกล่าวถึงในอาฏานาฏิยปริตรว่านำเทวดาในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกามาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า และได้ถวายสัตย์ที่จะดูแลพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกไม่ให้ยักษ์หรือบริวารอื่น ๆ ของท้าวจตุโลกบาลไปรังควาน โดยมอบบทอาฏานาฏิยปริตรให้แก่พระสงฆ์ เพื่อไว้สวดเพื่อขับไล่ภูตผีปีศาจที่จะมารบกวน และเชื่อว่าถ้าสวดอาฏานาฏิยปริตร โดยพระสงฆ์ จะขับไล่ภูตผีอาถรรพ์มนต์ดำได้ทั้งสิ้น ปัจจุบันจะเรียกการสวดอาฏานาฏิยปริตรอีกชื่อหนึ่งว่าการสวด"ภาณยักษ์"นั่นเอง

ท้าวกุเวรนั้น บางทีก็เรียกว่าท้าวไวศรวัน (เวสสุวรรณ) ภาษาทมิฬเรียก "กุเวร" ว่า "กุเปรัน" ซึ่งมีเรื่องอยู่ในรามเกียรติ์ว่า เป็นพี่ต่างมารดาของทศกัณฐ์ และทศกัณฐ์ไปแย่งบุษบกของท้าวกุเวรไป ท้าวกุเวรมีรูปร่างพิการผิวขาว มีฟัน 8 ซี่ และมีขาสามขา (ภาพท้าวเวสสุวรรณจึงมักเขียนท่ายืนแยงแย่ ถือไม้กระบองยาว อยู่หว่างขา) เมืองท้าวกุเวรชื่อ "อลกา" อยู่บนเขาหิมาลัย มีสวนอุทยานอยู่ไหล่เขาแห่งหนึ่งของเขาพระสุเมรุ ชื่อว่า "สวนไจตรต" หรือ "มนทร" มีพวกกินนรและคนธรรพ์เป็นผู้รับใช้ ท้าวกุเวรเป็นโลกบาลประจำทิศเหนือ คนจีนเรียกว่า "ตัวเหวิน" (多聞) คนญี่ปุ่นเรียกว่า "บิชะมนเตง" (毘沙門天(びしゃもんてん)

เชื่อกันว่าการบูชาท้าวเวสสุวรรณจะทำให้ค้าขายดี และเชื่อว่าจะทำให้ทรัพย์สมบัติมั่นคง ไม่มีใครจะมาทำลายหรือแย่งชิงไปได้เพราะท้าวเวสสุวรรณเป็นผู้ชื่อว่าปกป้องรักษาขุมทรัพย์สมบัติ (ตามตำนานที่ท้าวเวสสุวัณจะสั่งให้คุยหกะยักษ์เฝ้ารักษาขุมทรัพย์ไว้) รวมทั้งเชื่อว่าการบูชาท้าวเวสสุวรรณจะป้องกันมนต์ดำจากผู้ไม่หวังดีที่มุ่งประสงค์ให้กิจการค้าขายหรือครอบครัวเดือดร้อนอยู่ไม่สุข หรือใช้เล่ห์เหลี่ยมมาแกล้ง เพื่อเป็นการทำลายคู่แข่งทางการค้า

พระไพศรพณ์

แก้
ไฟล์:ไพศรพณ์.jpg
พระไพศรพณ์

ในประเทศไทยมีคติการบูชาท้าวเวสสุวรรณอีกรูปแบบหนึ่ง โดยเรียกเทพเจ้าองค์นี้ว่า พระไพศรพณ์ ตามนามในภาษาสันสกฤต ไวศฺรวณ มือขวาถือตะบอง มือซ้ายยกเสมอหน้าอกแสดงการห้ามปรามมิให้ (เทวดา) ทำผิด เนื่องจากมีหน้าที่รักษาความเรียบร้อยยุติธรรมในสวรรค์ ถูกนำมาเป็นสัญลักษณ์ของอัยการมานาน คาดว่าตั้งแต่แรกตั้งกรมอัยการเมื่อกว่า 100 ปีมาแล้วเนื่องจากยกกระบัตร (ชื่อเรียกอัยการในสมัยโบราณ) หรืออัยการในปัจจุบันก็มีหน้าที่รักษาความยุติธรรมและกฎหมายเช่นเดียวกับหน้าที่ของพระไพศรพณ์ในสวรรค์ แต่ยังตรวจไม่พบหลักฐานว่าได้มีประกาศเป็นทางการให้ใช้รูปพระไพศรพณ์เป็นเครื่องหมายราชการของอัยการตั้งแต่เมื่อใด

สัญลักษณ์ของอัยการ

แก้

ตามพระราชกฤษฎีกาเครื่องแบบข้าราชการอัยการและระเบียบการแต่งกายฯ พ.ศ. 2524 กำหนดเครื่องแบบข้าราชการอัยการซึ่งรวมถึงเครื่องหมายที่ประดับอินทรธนู จึงตรวจสอบดูปรากฏคำว่า "รูปพระไพศรพณ์" เป็นโลหะสีทองซึ่งกฎหมายนี้กำหนดวิธีการใช้ ดังนี้

  1. กรณีเครื่องแบบพิธีการ เช่น เครื่องแบบปกติขาว เครื่องแบบเต็มยศ ฯลฯ ให้ติดทับอยู่บนอินทรธนูค่อนมาทางด้านไหล่
  2. สำหรับเครื่องแบบสีกากีคอพับ กับเครื่องแบบสีกากีคอแบะ ให้ประดับทับอยู่บนพื้นอินทรธนูภายในขมวดวงกลม ฐานของรูปพระไพศรพณ์อยู่เหนือแถบต้น (กรณีอัยการชั้น 3 ขึ้นไป) หรืออยู่บนแถบที่สองของอินทรธนู (กรณีอัยการชั้น 1 และชั้น 2)

ต่อมาใน พ.ศ. 2503 ได้มีกฎหมายออกมากำหนดให้ข้าราชการอัยการใช้เครื่องหมายนี้มาประดับบนอินทรธนูเพื่อบ่งแสดงให้เห็นว่าข้าราชการอัยการแตกต่างจากข้าราชการพลเรือน และต่อมาใน พ.ศ. 2513 ก็ได้มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีกำหนดให้ใช้รูปท้าวกุเวร (หรือท้าวเวสสุวัณ) เป็นเครื่องหมายราชการของกรมการสารวัตรทหารบกซึ่งเป็นหน่วยงานรักษาความสงบเรียบร้อยของฝ่ายทหาร

ส่วนพระไพศรพณ์ยังคงเป็นสัญลักษณ์ประดับบ่าเสื้อเครื่องแบบอัยการทั้งสองข้างตลอดมา และใน พ.ศ. 2535 สำนักงานอัยการสูงสุดก็ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้รูปพระมหาพิชัยมงกุฎ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตราแผ่นดินวางอยู่บนตราชั่งซึ่งเป็นเครื่องหมายของนักกฎหมาย ประกอบกับอีก 3 รูปรวมกันเป็นเครื่องหมายราชการของสำนักอัยการสูงสุด คือ พระแว่นสุริยกานต์ พระขรรค์ รองรับด้วยช่อชัยพฤกษ์

รูปตราใหม่นี้ถือเป็นเครื่องหมายราชการของหน่วยงานตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2535 ในวาระที่หน่วยงานของอัยการได้เปลี่ยนแปลงสถานะภาพจากหน่วยงานระดับกรมขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย มาเป็นสำนักงานไม่สังกัดกระทรวง ส่วนพนักงานอัยการในปัจจุบันรัฐธรรมนูญและกฎหมายต่าง ๆ ได้ขยายบทบาทออกไปมาก รวมทั้งกำหนดหน้าที่อัยการไปถึงเรื่องทางการเมืองเพราะอัยการมีหน้าที่ต้องอำนวยความยุติธรรมทางการเมืองด้วยนั่นเอง

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับท้าวเวสสุวัณกับคุยหกะยักษ์

แก้

สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่มที่ 3 หน้า 1439 กล่าวถึงท้าวกุเวรหรือท้าวเวสวัณไว้ว่า กุเวร-ท้าว พระยายักษ์ผู้เป็นเจ้าแห่งขุมทรัพย์มียักษ์ และคุยหกะ (ยักษ์ผู้เฝ้าขุมทรัพย์) เป็นบริวาร

สมัยหนึ่งพระโพธิสัตว์เสวยชาติเกิดเป็นบิดาของเด็กหญิงตาบอด พระโพธิสัตว์รักและสงสารลูกสาวตาบอดคนนี้มาก อยู่มาวันหนึ่งได้ยินข่าวว่ามีหมอที่เก่งดุจเทวดา จึงเดินทางนำลูกสาวตาบอดไปหาหมอคนนั้น เพื่อให้รักษาดวงตาของลูกสาว หมอจึงบอกว่าต้องใช้สมุนไพรชนิดหนึ่งมาทำเป็นเครื่องประกอบยาจึงรักษาโรคตาของลูกสาวได้ แต่หมอไม่มีสมุนไพรชนิดนั้น และสมุนไพรชนิดนั้นหายาก ต้องไปเอาในสถานที่แห่งหนึ่ง ที่อันตรายมากจึงจะได้มา เมื่อคนเป็นพ่อรู้สถานที่และลักษณะสมุนไพรแล้ว จึงฝากภรรยาให้ดูแลบุตรสาวในขณะที่ตนเองไปหาสมุนไพร ถ้าหายไปนานเกินไปแปลว่าตายแล้ว เมื่อฝากฝังเรียบร้อยจึงออกเดินทางไปหายาสมุนไพร คนเป็นพ่อนั้นได้เดินทางเข้าสู่พื้นที่ของคุยหกะยักษ์หรือยักษ์ผู้เฝ้าขุมทรัพย์ ซึ่งเป็นบริวารของท้าวเวสสุวัณรักษาอยู่ โดยท้าวเวสสุวัณให้ยักษ์ให้รักษาสิ่งสำคัญบางอย่าง และให้อนุญาตไว้ว่าใครเข้ามาในอาณาเขตที่เฝ้ารักษาให้ฆ่าและจับกินเป็นอาหารได้ จึงทำให้คนเป็นพ่อนั้นถูกยักษ์จับและจะกินเป็นอาหาร แต่ท้าวเวสสุวัณได้ให้ปริศนาธรรมเอาไว้ ถ้าใครตอบได้ ห้ามฆ่าเด็ดขาด เพื่อให้โอกาสกับคนมีบุญ คนยังมีโชค ยังไม่ถึงคราวตาย ผู้มีปัญญา และคนมีธรรมะ ได้รอดชีวิต ซึ่งแต่ละสถานที่จะให้ปริศนาธรรมที่แตกต่างกันกับยักษ์คุยหกะแต่ละตน ซึ่งยักษ์คุยหกะตนนี้ได้ปริศนาธรรมชื่อว่าพรหมวิหารปัญหา ซึ่งถามว่า ในพรหมวิหารทั้ง 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ข้อไหนสำคัญที่สุด ผู้เป็นพ่อจึงพิจารณาว่า ลูกสาวของตนตาบอด นำอาหารดี เสื้อผ้าสวยๆให้ใส่ก็ไม่ช่วยให้มีความสุข คนที่ป่วยเป็นโรคที่ทุกข์ทรมาณต่อให้หาอาหาร การแสดงดีๆอย่างไร ก็ไม่ช่วยให้มีความสุขได้ คำตอบจึงไม่ใช่เมตตา จึงพิจารณาต่อไปว่า ลูกสาวของเขาตาบอด จึงไม่มีใครมาอิจฉาริษยาลูกสาวเขาแน่ๆ ลูกสาวของเขาไม่ต้องการมุทิตา คำตอบจึงไม่ใช่มุทิตา ลูกสาวเขาตาบอด ไม่เคยไปสร้างความเดือดร้อนให้ใคร จึงไม่ต้องการให้ใครวางเฉยหรือให้อภัยเพราะไปสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น ลูกสาวเขาไม่ต้องการอุเบกขา คำตอบจึงไม่ใช่อุเบกขา แต่ลูกสาวของเขาต้องการพ้นทุกข์ ต้องการหายตาบอด ลูกสาวของเขาต้องการความกรุณา คำตอบจึงต้องเป็นกรุณาแน่ๆ จึงตอบคำถามยักษ์คุยหกะไปว่ากรุณา ยักษ์จึงเฉลยว่าถูกต้องแล้ว จึงฆ่าคนเป็นพ่อไม่ได้ ตามคำสั่งท้าวเวสสุวัณ จึงปล่อยตัวคนเป็นพ่อแล้วถามว่ามาทำอะไรที่นี้ จึงได้คำตอบว่ามาหาสมุนไพรลักษณะเช่นนี้นำไปรักษาดวงตาลูกสาว ยักษ์รู้จักจึงชี้บอกต้นสมุนไพร ให้คนเป็นพ่อ คนเป็นพ่อจึงได้ต้นสมุนไพรและกลับบ้านไปเพื่อนำสมุนไพรให้หมอนำไปรักษาดวงตาลูกสาวจนหายเป็นปกติ

ดังนั้น ในพุทธคุณทั้ง 3 คือ ปัญญาธิคุณ กรุณาธิคุณ บริสุทธิคุณ หนึ่งในนั้นคือกรุณา ไม่ใช่เมตตา มุทิตา หรืออุเบกขา เพราะกรุณา เป็นธรรมที่สำคัญที่สุดใน พรหมวิหาร 4

อีกเรื่องหนึ่ง

พระโพธิสัตว์เกิดเป็นเจ้าชาย ที่หลงเข้าไปในพื้นที่ของยักษ์คุยหกะ ซึ่งยักษ์คุยหกะนั้นได้รับปริศนาธรรมชื่อว่าเทวธรรมปัญหา คือถามว่าธรรมที่ทำให้คนเป็นเทวดาคืออะไร พระโพธิสัตว์ตอบว่าหิริโอตตัปปะและกตัญญูกตเวที ซึ่งเป็นคำตอบที่ถูกต้องเช่นกัน เพราะแม้จะยังไม่ตายผู้มีธรรมสองอย่างนี้ได้ขึ้นชื่อเป็นเทวดาตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่

อ้างอิง

แก้
  1. ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, 2556, หน้า 1130
  2. "ท้าวกุเวร", วิกิพีเดีย, 2024-10-04, สืบค้นเมื่อ 2024-10-04

ดูเพิ่ม

แก้