ทากาชิ มูรากามิ

ทากาชิ มูรากามิ (ญี่ปุ่น: 村上隆โรมาจิMurakami Takashi) เกิด 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2506 ที่โตเกียว เป็นศิลปินชาวญี่ปุ่น ซึ่งรู้จักในชื่อของ ©MURAKAMI

Takashi Murakami

ประวัติ

แก้

การเข้าสู่แวดวงแฟชั่นของทากาชิ มูรากามิแตกต่างจากเก็นโซ, โยจิ ยามาโมโตะ, จุง ทากาฮาชิ รวมถึง 3 ศรีพี่น้องแห่งตระกูลโคชิโนะตรงที่ ทากาชิ มูรากามิไม่ได้สำเร็จการศึกษาด้านแฟชันดีไซเนอร์เหมือนนักออกแบบแฟชั่นรายอื่นๆ

ทากาชิ มูรากามิสำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรี (Bachelor of Fine Arts : BFA) ปริญญาโท (MFA) จาก Tokyo National University of Fine Arts and Music สถานที่ที่เขาได้รับการบ่มเพาะทักษะและความชำนาญในการผลิตงานศิลปะตามแบบฉบับ classical and traditional painting ของญี่ปุ่น และได้รับปริญญาเอก (Ph.D.) จากสถาบันเดียวกันนี้ ในปี 1993 ด้วยวิทยานิพนธ์ที่มีหัวเรื่องว่า "The Meaning of the Nonsense of the Meaning" ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับงานศิลปะแบบ Nihonga

ทากาชิ มูรากามิเกิดในกรุงโตเกียวเมื่อปี 1962 โดยในวัยเด็ก ทากาชิ มูรากามิได้รับอิทธิพลทางความคิดจากการ์ตูน anime ของญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงทศวรรษที่ 1970 และ 1980 โดยเฉพาะจาก Ginga Tetsudo 999 (Galaxy Express 999) ซึ่งนับเป็นซีรีส์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในญี่ปุ่น

ทากาชิ มูรากามิเริ่มสร้างและสะสมชื่อเสียงทั้งในฐานะประติมากร (sculpture) และจิตรกร (painter) จากผลงานที่ส่วนใหญ่มีรากฐานผูกพันกับการ์ตูนญี่ปุ่น (manga) โดยงานที่สร้างชื่อให้กับ ทากาชิ มูรากามิและถือเป็นประหนึ่งสัญลักษณ์ของเขาในยุคแรก ๆ เป็นงานประติมากรรมที่สร้างขึ้นจาก fiberglass ที่ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์และกล่าวถึงอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานที่มีชื่อว่า HIROPON และ My Lonesome Cowboy โดยในผลงานทั้งสองนี้ ทากาชิ มูรากามิได้นำลักษณะและบุคลิกของอนิเมะ (การ์ตูนญี่ปุ่น) มาเป็นฐานในการสร้างงาน

ความหนักหน่วงของเสียงวิพากษ์ที่เกิดขึ้นก็เนื่องเพราะงานทั้งสองชิ้นของ ทากาชิ มูรากามิดังกล่าวได้สะท้อนเรื่องราวของสรีระและสัญลักษณ์ทางเพศอย่างชัดเจน

โดยงานที่ชื่อ HIROPON นอกจากจะเป็นรูปปั้นหญิงสาวในแบบสไตล์อนิเมะที่สูงสง่าเกินมาตรฐานปกติในชุดรัดรูปที่มีขนาดเล็กเกินกว่าจะปกปิดเรือนกายและของสงวนแล้ว ทรวงอกขนาดมหึมาเกินมนุษย์ธรรมดาจะพึงมีได้ ยังปรากฏน้ำนมไหลเป็นสาย ก่อนที่จะถูกลำเลียงและขัดเป็นเกลียวประหนึ่งเส้นเชือกน้ำนมที่หญิงสาว HIROPON ใช้เป็นเชือกกระโดด

ขณะที่ในส่วนของ My Lonesome Cowboy ก็ปรากฏเป็นภาพชายหนุ่มรูปร่างกำยำ กำลังใช้มือยึดกุมองคชาติที่แข็งเกร็งและกำลังหลั่งน้ำอสุจิเป็นทางยาว โดยมีมืออีกข้างหนึ่งถือสายน้ำอสุจิที่กำลังพวยพุ่งขึ้นแกว่งไกวไว้เหนือศีรษะประหนึ่งเป็นบ่วงบาศ

ผลงานดังกล่าว ส่งผลให้ ทากาชิ มูรากามิได้รับการเรียกขานในฐานะ Otaku King (Otaku : กลุ่มคนที่นิยมและคลั่งไคล้งาน animation หรือ anime แบบญี่ปุ่นที่มีบุคลิกมาจากการ์ตูน Manga ที่มีลักษณะเป็น hyper-sexualized comic ซึ่งต่อมาได้ขยายไปสู่ตัวละครใน video game และ computer game โดยมีความเกี่ยวเนื่องกับกระแสการบริโภคสื่อทางเพศ pornographic media ด้วย) ซึ่งเป็นกระแสวัฒนธรรมที่ถูกผลักให้เป็นวัฒนธรรมใต้ดินและนอกกระแสมาตั้งแต่เมื่อปี 1989 ก่อนที่จะกลายเป็นรูปแบบวัฒนธรรมยอดนิยม (popular culture) ในเวลาต่อมา ขณะที่กระแสวิพากษ์บางส่วนกล่าวถึงงานดังกล่าวในฐานะที่เป็นภาพสะท้อนของศิลปะและวัฒนธรรมร่วมสมัยญี่ปุ่น (contemporary art & contemporary culture) ด้วย

แต่สำหรับ ทากาชิ มูรากามิดูเหมือนเขาจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับการถูกจัดหมวดหมู่หรือคำนิยามใด ๆ มากนัก เพราะเขาเชื่อว่าวัฒนธรรมญี่ปุ่นเกิดขึ้นจากวัฒนธรรมย่อย ๆ นอกกระแส (sub-culture) ที่หลากหลาย มากกว่าที่จะมีวัฒนธรรมใด ๆ เพียงหนึ่งเดียวเป็นตัวกำหนด

ความไร้แก่นสารและปราศจากความหมาย (The Meaning of the Nonsense of the Meaning) ที่ปรากฏในงานของ ทากาชิ มูรากามิกลายเป็นสาระหนักหน่วงบางประการที่เขาพยายามจะสื่อต่อสาธารณะ

ในปี 1996 นิทรรศการ "Konnichiwa, Mr. DOB" ได้ท้าทายความเป็นไปของสังคมญี่ปุ่นอีกครั้ง เมื่อ ทากาชิ มูรากามินิยามความหมายของ DOB ที่ได้รับการสื่อออกมาในรูปแบบของตัวการ์ตูนว่า "DOB is a self-portrait of the Japanese people... cute but has no meaning and understands nothing of life, sex, or reality." และ "DOB is always confused, and in a daze, like he was drunk or stoned."

DOB กลายเป็นผลงานที่ได้รับการนำเสนอต่อเนื่องในหลายรูปแบบและในโอกาสหลากหลาย (1998 : "More over, DOB raises his hand" และ 1999 : DOB in the strange forest) ซึ่งปรากฏผลงานทั้งในรูปของงาน Installation, ภาพพิมพ์, ภาพวาด และสื่อผสม ขณะเดียวกัน DOB ก็กลายเป็นสภาพเป็นสินค้านานาชนิดที่สะท้อนสภาพ cute emptiness in contemporary Japanese society ได้เป็นอย่างดี

ชื่อเสียงของ ทากาชิ มูรากามิมิได้จำกัดอยู่เฉพาะในบริบทของสังคมญี่ปุ่นเท่านั้น หากแต่สถาบันศิลปะทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ก็ประเมิน ทากาชิ มูรากามิในฐานะศิลปินระดับแนวหน้าของยุคสมัยที่กำลังหล่อหลอมและกำหนดทิศทางใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นในแวดวงศิลปวัฒนธรรมของญี่ปุ่น

โดย ทากาชิ มูรากามิได้จัดแสดงผลงานโดยเฉพาะในแบบ solo exhibition ขึ้นที่ Marianne Boesky Gallery, New York (2003) ; Fondation Cartier pour l'art contemporain, Paris (2002) ; Museum of Fine Arts, Boston (2001) ; Galerie Emmanuel Perrotin, Paris (2001) และ Museum of Contemporary Art, Tokyo (2001) รวมถึงการได้รับเชิญไปเป็นผู้สอนและบรรยาย New Genre Course ที่ UCLA และการร่วมในงาน group exhibition ที่ส่วนใหญ่จัดแสดงภายใต้หัวข้อ contemporary art อีกนับครั้งไม่ถ้วน