ต้มยำกุ้ง

อาหารไทยที่ได้รับความนิยม

ต้มยำกุ้ง เป็นอาหารไทยภาคกลางประเภทต้มยำ ซึ่งเป็นที่นิยมรับประทานไปทุกภาคในประเทศไทย เป็นอาหารที่รับประทานกับข้าว มีรสเปรี้ยวและเผ็ดเป็นหลักผสมเค็มและหวานเล็กน้อย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ต้มยำน้ำใส และ ต้มยำน้ำข้น

ต้มยำกุ้ง
มื้ออาหารจานหลัก
แหล่งกำเนิดไทย (ภาคกลาง)[1][2]
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อุณหภูมิเสิร์ฟร้อน
ส่วนผสมหลักข่า, ตะไคร้, ใบมะกรูด, พริก, มะนาว, น้ำปลา, กุ้ง

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2567 ยูเนสโกประกาศรับรองให้ต้มยำกุ้งเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของประเทศไทย

ประวัติ

แก้

ไม่มีหลักฐานที่บอกถึงจุดกำเนิดของอาหารชนิดนี้อย่างแน่ชัด สุจิตต์ วงษ์เทศ ได้เขียนถึงต้มยำกุ้งไว้ว่า "เมื่อรับ 'ข้าวเจ้า' จากอินเดียเข้ามาพร้อมกับการค้าทางทะเลอันดามัน และศาสนาพราหมณ์พุทธ ทำให้ 'กับข้าว' เปลี่ยนไปเริ่มมี 'น้ำแกง' เข้ามาหลากหลาย ทั้งแกงน้ำข้นใส่กะทิแบบอินเดีย กับแกงน้ำใสแบบจีน"

ใน ปะทานุกรม การทำของคาวหวานอย่างฝรั่งแลสยาม (พ.ศ. 2441) มีสูตร ต้มยำกุ้งทรงเครื่อง ซึ่งดูจะแตกต่างมากจากต้มยำกุ้งในปัจจุบัน ระบุว่า "…เนื้อหมูต้มแล้วฉีกหนักสามบาท ปลาใบไม้เผาแล้วทุบฉีกสองบาท ปลาแห้งเผาแล้วฉีกสองบาท กระเทียมดองปอกเอาแต่เนื้อซอยสามบาท แตงกวาปอกเปลือกแล้วซอยสามบาท มะดันซอยสามบาท พริกชี้ฟ้าหั่นหนึ่งบาท ผักชีเด็ดหนึ่งบาท…" ส่วนวิธีทำระบุว่า "เอากุ้งสดมาต้มกับน้ำท่า ใส่น้ำปลาหนักสองบาท ต้มไปจนเนื้อกุ้งสุก…ตักเอาน้ำต้มกุ้งสามสิบแปดบาทใส่ลงในชาม แล้วเอากุ้งปอกเอาแต่เนื้อฉีกเป็นฝอยหนักสี่บาท น้ำกระเทียมดองหนึ่งบาท น้ำปลาเจ็ดบาท น้ำตาลทรายหกสลึง ใส่ลงในน้ำต้มกุ้ง แล้วเอาของที่ชั่งไว้ใส่ลงด้วย…ถ้าไม่เปรี้ยว เอาน้ำมะนาวเติมอีกก็ได้ เมื่อรศดีแล้วเอาพริกชี้ฟ้ากับผักชีโรย เปนใช้ได้"[3]

ส่วนในหนังสือ ของเสวย (พ.ศ. 2507) ตำรับอาหารจากหม่อมราชวงศ์กิตินัดดา กิติยากร มีลักษณะคล้ายคลึงกับสูตรต้มยำกุ้งที่รู้จักกันอยู่ในปัจจุบัน

มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม

แก้
ต้มยำกุ้ง *
   มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมโดยยูเนสโก
 
ประเทศ  ไทย
ภูมิภาค **เอเชียและแปซิฟิก
อ้างอิง01879
ประวัติการขึ้นทะเบียน
ขึ้นทะเบียน2567 (คณะกรรมการสมัยที่ 19)
รายการตัวแทนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ
* ชื่อตามที่ได้ขึ้นทะเบียนในบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมและการสงวนรักษาที่ดี
** ภูมิภาคที่จัดแบ่งโดยยูเนสโก

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2567 เวลา 2:15 น. ตามเวลาประเทศไทย ในการประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการสงวนรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม (Intergovernmental Committee for the Safeguarding of Intangible Cultural Heritage) ครั้งที่ 19 ของยูเนสโก ที่กรุงอาซุนซิออน ประเทศปารากวัย ได้ประกาศขึ้นทะเบียนให้ต้มยำกุ้งเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม นับเป็นการขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมรายการที่ 5 ของประเทศไทย[4][5]

วัฒนธรรมสมัยนิยม

แก้

ชื่อ ต้มยำกุ้ง ปรากฏในสื่อบันเทิงและเหตุการณ์ร่วมสมัย ดังนี้

ดูเพิ่ม

แก้

หนังสืออ่านเพิ่ม

แก้

อ้างอิง

แก้
  1. "Tom Yum Gai – Suwanee's Kitchen". Chiang Rai Times. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-07-04. สืบค้นเมื่อ 18 January 2016.
  2. "The homemade hot sour soup that packs a punch". whitsunday coast guardian. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-09-28. สืบค้นเมื่อ 28 September 2017.
  3. "อาจารย์เดชา ศิริภัทร เล่าที่มาของ "ต้มยำกุ้ง" มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ". เทคโนโลยีชาวบ้าน.
  4. ข่าวสด (2024-12-03). "ไทยเฮ! ยูเนสโก ประกาศรับรอง "ต้มยำกุ้ง" มรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้". ข่าวสด.
  5. Songsawange, Panupong. "'ยูเนสโก' ประกาศรับรอง 'ต้มยำกุ้ง' ขึ้นทะเบียนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้". เดลินิวส์.

แหล่งข้อมูลอื่น

แก้