ชาวรีวกีว (ญี่ปุ่น: 琉球民族โรมาจิRyūkyū minzoku; โอกินาวะ: るーちゅーみんずく; โรมาจิ: Ruuchuu minzuku) หรือ ชาวโอกินาวะ (ญี่ปุ่น: 沖縄人โรมาจิOkinawa jin; โอกินาวะ: 沖縄ん人, うちなーんちゅ; โรมาจิ: Uchinaanchu) [a] เป็นชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่บนหมู่เกาะรีวกีว ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างคีวชูกับไต้หวัน[6] ซึ่งปัจจุบันคือที่ตั้งของจังหวัดโอกินาวะและคาโงชิมะของประเทศญี่ปุ่น ภาษาของพวกเขาจัดอยู่ในตระกูลภาษาย่อยรีวกีว[7] หนึ่งในสองตระกูลภาษาย่อยของตระกูลภาษาญี่ปุ่น และถูกนับว่าเป็นสำเนียงหนึ่งของภาษาญี่ปุ่น[6]

รีวกีว
琉球民族
ชายชาวรีวกีวในเครื่องแต่งกายพื้นเมืองช่วงยุคเมจิ
ประชากรทั้งหมด
1.9 ล้านคน
ภูมิภาคที่มีประชากรอย่างมีนัยสำคัญ
    จังหวัดโอกินาวะ - 1.3 ล้านคน
 จังหวัดคาโงชิมะ (อามามิ)
ภูมิภาคที่มีประชากรอย่างสำคัญ
 ญี่ปุ่น300,000[1]หมายเหตุ
 สหรัฐ-[2]หมายเหตุ
 บราซิล-[2]หมายเหตุ
 เปรู-[2]หมายเหตุ
 โบลิเวีย-[2]หมายเหตุ
 ไต้หวัน-หมายเหตุ
 จีน-หมายเหตุ
 ฟิลิปปินส์-หมายเหตุ
 แคนาดา-[2]หมายเหตุ
 เม็กซิโก-[2]หมายเหตุ
 อาร์เจนตินา-[2]หมายเหตุ
 เอกวาดอร์-หมายเหตุ
 ปารากวัย-[2]หมายเหตุ
 คิวบา-[2]หมายเหตุ
 ไมโครนีเชีย-[2]หมายเหตุ
 นิวแคลิโดเนีย-[2]หมายเหตุ
 ปาเลา-หมายเหตุ
ภาษา
รีวกีว, ญี่ปุ่น
ศาสนา
พื้นเมืองรีวกีว, พุทธ, ชินโต, คริสต์
กลุ่มชาติพันธุ์ที่เกี่ยวข้อง
ยามาโตะ, ไอนุ, โจมง[3]

^ 1. ชาวรีวกีวที่อาศัยในญี่ปุ่นนอกหมู่เกาะรีวกีว นับเป็นคนพลัดถิ่น
^ 2. จำนวนของชาวรีวกีวในต่างประเทศนั้นไม่เป็นที่ทราบ เพราะหลักฐานตามสำมะโนครัวประชากรจะนับว่าเป็นชาวญี่ปุ่นหรือเอเชีย

ชาวรีวกีวไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นชนกลุ่มน้อยในญี่ปุ่น เนื่องจากเจ้าหน้าที่จากทางการนับว่าชาวรีวกีวเป็นกลุ่มย่อยของชาวญี่ปุ่น ทำนองเดียวกับชาวยามาโตะและไอนุ กระนั้นถ้าหากว่าชาวรีวกีวเป็นชนกลุ่มน้อย ก็ถือเป็นชนกลุ่มน้อยที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น เพียงแค่จังหวัดโอกินาวะก็มีชาวรีวกีวมากถึง 1.3 ล้านคนอาศัยอยู่ นอกจากนี้ยังมีชาวรีวกีวจำนวนไม่น้อยกว่า 600,000 คน อาศัยกระจายไปยังส่วนอื่น ทั้งภายในประเทศญี่ปุ่นเองและประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก โดยมากจะอาศัยอยู่ในรัฐฮาวาย[8]

ผลการศึกษาด้านพันธุกรรมและมานุษยวิทยาพบว่าชาวรีวกีวมีความสัมพันธ์กับชาวไอนุเป็นพิเศษ และมีบรรพบุรุษร่วมกันช่วงยุคก่อนประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นหรือยุคโจมง (10,000–1,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ซึ่งอพยพมาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนจะผสมข้ามเผ่าพันธุ์กับชาวยามาโตะในยุคยาโยอิ (1,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช – ค.ศ. 300)[3][9] ซึ่งอพยพมาจากเอเชียตะวันออก[10][11] (โดยเฉพาะจากจีนและคาบสมุทรเกาหลี)[12][13][14] ชาวรีวกีวมีวัฒนธรรมเป็นของตนเอง เช่น ความเชื่อ ศาสนา หรือแม้แต่อาหาร โดยมีการเพาะปลูกข้าวเพื่อบริโภคครั้งแรกราวศตวรรษที่ 12 ประชากรอาศัยอยู่ตามหมู่เกาะอย่างโดดเดี่ยวเป็นเวลาหลายศตวรรษ ราวศตวรรษที่ 14 ได้มีการรวมสามอาณาจักรเป็นรัฐเดียวคืออาณาจักรรีวกีว (ค.ศ. 1429–1879) ซึ่งโดดเด่นด้านการค้าทางทะเลและมีสถานะเป็นรัฐบรรณาการของจีนยุคราชวงศ์หมิงเป็นต้นมา[6] กระทั่ง ค.ศ. 1609 อาณาจักรรีวกีวถูกแคว้นซัตสึมะรุกราน แต่ยังมีอิสระในฐานะรัฐประเทศราช[15]

กระทั่งในยุคเมจิ อาณาจักรรีวกีวถูกยุบเป็นแคว้นรีวกีว (1872–1879) หลังถูกจักรวรรดิญี่ปุ่นยึดครอง ในปี ค.ศ. 1879 มีการผนวกดินแดนรวมเข้ากับประเทศญี่ปุ่น แล้วจัดตั้งจังหวัดโอกินาวะ ส่วนพระเจ้าโช ไท พระมหากษัตริย์พระองค์สุดท้ายของรีวกีวถูกเนรเทศไปโตเกียวหลังจากนั้น[6][16][17] ค.ศ. 1895 ประเทศจีนอ้างสิทธิเหนือหมู่เกาะรีวกีว[18] ในช่วงเวลานี้ทางการญี่ปุ่นได้ทำการปราบปรามประเพณี วัฒนธรรม และภาษาพื้นเมืองของชาวรีวกีว[6][19][20] เพื่อกลืนเป็นชาวญี่ปุ่นหรือชาวยามาโตะ[21][22][23] หลังสงครามโลกครั้งที่สอง หมู่เกาะรีวกีวถูกสหรัฐเข้าปกครองในปี ค.ศ. 1945–1950 และ ค.ศ. 1950–1972 ช่วงเวลานี้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนรีวกีวจำนวนมาก[24][25] อันก่อให้เกิดความไม่พอใจทั้งรัฐบาลญี่ปุ่นและหน่วยงานทหารของสหรัฐที่ประจำการในโอกินาวะอย่างรุนแรง ดังจะเห็นได้จากการเกิดขบวนการรีวกีวอิสระ (琉球独立運動, Ryukyu independence movement)[7][26]

เชิงอรรถ แก้

  1. รีวกีวปรากฏในเอกสารต้นกรุงรัตนโกสินทร์ว่า ลิชี่ว (ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์)[4] หรือ ลิ่วขิ่ว (โคลงภาพคนต่างภาษา)[5]

อ้างอิง แก้

  1. Rabson, Steve (มกราคม 2012), The Okinawan Diaspora in Japan: Crossing the Borders Within, Honolulu: University of Hawaii Press, ISBN 978-0-8248-3534-7, JSTOR j.ctt6wqkq9
  2. 2.00 2.01 2.02 2.03 2.04 2.05 2.06 2.07 2.08 2.09 2.10 Nakasone, Ronald Y., บ.ก. (กุมภาพันธ์ 2002), Okinawan Diaspora, Honolulu: University of Hawaii Press, ISBN 978-0-8248-2530-0, JSTOR j.ctvvn5vb
  3. 3.0 3.1 Yuka Suzuki (2 ธันวาคม 2012), "Ryukyuan, Ainu People Genetically Similar Read more from Asian Scientist Magazine", Asian Scientist, สืบค้นเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ 2017
  4. สุจิตต์ วงษ์เทศ 2005, p. 192.
  5. สุจิตต์ วงษ์เทศ 2005, p. 199.
  6. 6.0 6.1 6.2 6.3 6.4 Minahan, James B. (2014), Ethnic Groups of North, East, and Central Asia: An Encyclopedia, ABC-CLIO, pp. 231–233, ISBN 978-1-61069-018-8
  7. 7.0 7.1 Masami Ito (12 พฤษภาคม 2009), "Between a rock and a hard place", The Japan Times, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 พฤษภาคม 2021, สืบค้นเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2017
  8. Noguchi & Fotos 2001, p. 69.
  9. Hendrickx 2007, p. 65.
  10. Serafim 2008, p. 98.
  11. Robbeets 2015, p. 26.
  12. 渡来系弥生人の故郷を中国に求めて [Searching for the hometown of the immigrant Yayoi people in China], 日本人はるかな旅展 (ภาษาญี่ปุ่น), 国立科学博物館, 2001, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 เมษายน 2015, สืบค้นเมื่อ 20 สิงหาคม 2017
  13. "Yayoi linked to Yangtze area", The Japan Times, 19 มีนาคม 1999, สืบค้นเมื่อ 20 สิงหาคม 2017 – โดยทาง www.trussel.com
  14. Kumar 2009, p. 79, 88.
  15. Loo 2014, p. 1–2.
  16. Rabson 2008, p. 3.
  17. Caprio 2014, p. 61.
  18. Dubinsky & Davies 2013, p. 12.
  19. Christy 2004, p. 173–175.
  20. Rabson 2008, p. 4.
  21. Dubinsky & Davies 2013, p. 15–16.
  22. Caprio 2014, p. 49–50, 63, 66–67.
  23. Inoue 2017, p. 3.
  24. Inoue 2017, p. 4, 50–51.
  25. "List of Main Crimes Committed and Incidents Concerning the U.S. Military on Okinawa - Excerpts", 沖縄タイムス [Okinawa Times], Okinawa Peace Network of Los Angeles, 12 ตุลาคม 1995, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 มกราคม 2017, สืบค้นเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2017
  26. Hendrickx 2007, p. 65–66.
บรรณานุกรม

แหล่งข้อมูลอื่น แก้