จู หรงจี
จู หรงจี (จีน: 朱镕基; พินอิน: Zhū Róngjī; เกิด 23 ตุลาคม ค.ศ. 1928) เป็นนักการเมืองชาวจีนเกษียณอายุซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 5 ของจีน ตั้งแต่ ค.ศ. 1998 ถึง 2003 เขายังดำรงตำแหน่งสมาชิกคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีนตั้งแต่ ค.ศ. 1992 ถึง 2002 ควบคู่ไปกับเจียง เจ๋อหมิน เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน
จู หรงจี | |||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
朱镕基 | |||||||||||||||||||
![]() จูใน ค.ศ. 2000 | |||||||||||||||||||
นายกรัฐมนตรีจีน คนที่ 5 | |||||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 17 มีนาคม ค.ศ. 1998 – 16 มีนาคม ค.ศ. 2003 (4 ปี 364 วัน) | |||||||||||||||||||
ประธานาธิบดี | เจียง เจ๋อหมิน | ||||||||||||||||||
รองหัวหน้ารัฐบาล | หลี่ หลานชิง เฉียน ฉีเชิน อู๋ ปังกั๋ว เวิน เจียเป่า | ||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | หลี่ เผิง | ||||||||||||||||||
ถัดไป | เวิน เจียเป่า | ||||||||||||||||||
รองนายกรัฐมนตรีจีนหมายเลขหนึ่ง | |||||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 29 มีนาคม ค.ศ. 1993 – 17 มีนาคม ค.ศ. 1998 (4 ปี 353 วัน) | |||||||||||||||||||
หัวหน้ารัฐบาล | หลี่ เผิง | ||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | เหยา อีหลิน | ||||||||||||||||||
ถัดไป | หลี่ หลานชิง | ||||||||||||||||||
ผู้ว่าการธนาคารประชาชนจีน | |||||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1993 – 30 มิถุนายน ค.ศ. 1995 (1 ปี 363 วัน) | |||||||||||||||||||
หัวหน้ารัฐบาล | หลี่ เผิง | ||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | หลี่ กุ้ยเซียน | ||||||||||||||||||
ถัดไป | ไต้ เซี่ยงหลง | ||||||||||||||||||
เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำนครเซี่ยงไฮ้ | |||||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 1 มีนาคม ค.ศ. 1989 – 20 มีนาคม ค.ศ. 1991 (2 ปี 19 วัน) | |||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | เจียง เจ๋อหมิน | ||||||||||||||||||
ถัดไป | อู๋ ปังกั๋ว | ||||||||||||||||||
นายกเทศมนตรีนครเซี่ยงไฮ้ | |||||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 25 เมษายน ค.ศ. 1988 – 20 มีนาคม ค.ศ. 1991 (2 ปี 329 วัน) | |||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | เจียง เจ๋อหมิน | ||||||||||||||||||
ถัดไป | หฺวาง จฺวี๋ | ||||||||||||||||||
ข้อมูลส่วนบุคคล | |||||||||||||||||||
เกิด | ฉางชา หูหนาน สาธารณรัฐจีน | 23 ตุลาคม ค.ศ. 1928||||||||||||||||||
พรรคการเมือง | พรรคคอมมิวนิสต์จีน (1949–1958; 1978–) | ||||||||||||||||||
คู่สมรส | เหลา อาน (สมรส 1956) | ||||||||||||||||||
บุตร | จู ยฺเหวียนไหล (บุตรี) จู ยฺหวินไหล (บุตร) | ||||||||||||||||||
ศิษย์เก่า | มหาวิทยาลัยชิงหฺวา (วท.บ.) | ||||||||||||||||||
วิชาชีพ | วิศวกรไฟฟ้า | ||||||||||||||||||
ชื่อภาษาจีน | |||||||||||||||||||
อักษรจีนตัวย่อ | 朱镕基 | ||||||||||||||||||
อักษรจีนตัวเต็ม | 朱鎔基 | ||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||
จูเกิดในฉางชา มณฑลหูหนาน เข้าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนใน ค.ศ. 1949 ปีเดียวกับที่สาธารณรัฐประชาชนจีนสถาปนาขึ้น เขาทำงานในคณะกรรมการวางแผนแห่งรัฐระหว่าง ค.ศ. 1952 ถึง 1958 และวิพากษ์วิจารณ์นโยบายเศรษฐกิจของเหมา เจ๋อตง ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ในช่วงการรณรงค์ร้อยบุปผาใน ค.ศ. 1957 ทำให้เขาถูกตีตราว่าเป็น "ฝ่ายขวา" ในการรณรงค์ต่อต้านฝ่ายขวาที่ตามมา ส่งผลให้จูถูกลดตำแหน่งและถูกขับออกจากพรรคคอมมิวนิสต์ หลังจากนั้นเขาถูกส่งไปทำงานที่โรงเรียนแกนนำในพื้นที่ห่างไกล เขาได้รับอภัยโทษใน ค.ศ. 1962 แม้จะยังไม่ได้รับการกู้ฐานะทางการเมือง หลังเกิดภาวะอดอยากที่เกิดจากนโยบายก้าวกระโดดไกล และได้รับมอบหมายงานที่คณะกรรมการวางแผนแห่งรัฐอีกครั้ง เขาถูกกวาดล้างอีกครั้งในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม โดยถูกส่งไปอบรมใหม่ที่โรงเรียนแกนนำ 7 พฤษภาคม
หลังอสัญกรรมของเหมา เจ๋อตงใน ค.ศ. 1976 และเติ้ง เสี่ยวผิงขึ้นสู่อำนาจหลังจากนั้น จูก็ได้รับการกู้ฐานะทางการเมืองและได้รับอนุญาตให้กลับเข้าพรรคคอมมิวนิสต์จีนอีกครั้ง เขาทำงานในกระทรวงปิโตรเลียมตั้งแต่ ค.ศ. 1976 ถึง 1979 และเข้าร่วมคณะกรรมการเศรษฐกิจแห่งรัฐ หน่วยงานที่สืบทอดจากคณะกรรมการวางแผนแห่งรัฐใน ค.ศ. 1979 โดยเขาดำรงตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีของคณะกรรมการนี้ตั้งแต่ ค.ศ. 1983 ถึง 1987 ใน ค.ศ. 1988 เขาได้เป็นนายกเทศมนตรีนครเซี่ยงไฮ้ ที่ซึ่งเขาได้ดำเนินนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจ เขาทำงานร่วมกับเจียง เจ๋อหมิน เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำเซี่ยงไฮ้ ผู้ซึ่งจูได้ขึ้นเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำเซี่ยงไฮ้แทนใน ค.ศ. 1989 เมื่อเจียงได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นเลขาธิการใหญ่
จูได้เป็นรองนายกรัฐมนตรีหมายเลขหนึ่งใน ค.ศ. 1993 โดยทำงานภายใต้นายกรัฐมนตรีหลี่ เผิง ซึ่งเขาก็ดำเนินนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจต่อไป เขายังได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีใน ค.ศ. 1998 ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีหมายเลขหนึ่งและนายกรัฐมนตรี จูได้รับยกย่องว่าเป็นบุคคลสำคัญผู้อยู่เบื้องหลังนโยบายเศรษฐกิจของจีน จูมีชื่อเสียงในฐานะนักบริหารที่แข็งกร้าวแต่ก็เป็นนักปฏิบัติ ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่ง เศรษฐกิจของจีนมีการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก จูยังเป็นที่นิยมในหมู่สาธารณชนจีนมากกว่าหลี่ เผิง ผู้เป็นนายกรัฐมนตรีคนก่อนหน้ามาก อย่างไรก็ตาม ฝ่ายตรงข้ามของจูแย้งว่าจุดยืนที่แข็งกร้าวและเป็นนักปฏิบัติของเขาในเรื่องนโยบายนั้นไม่สมจริงและไม่จำเป็น และคำสัญญาหลายอย่างของเขาก็ไม่ได้รับการเติมเต็ม จูเกษียณใน ค.ศ. 2003 และไม่ได้ปรากฏตัวในที่สาธารณะอีกเลยนับตั้งแต่นั้นมา
ชีวิตช่วงต้น
แก้จู หรงจีเกิดในฉางชา มณฑลหูหนาน เมื่อ 23 ตุลาคม ค.ศ. 1928[1][2] ในครอบครัวนักปัญญาชน[3] และเจ้าของที่ดินผู้มั่งคั่ง ตามธรรมเนียมของครอบครัว ตระกูลของเขาเป็นเชื้อสายของจู ยฺเหวียนจาง จักรพรรดิองค์แรกของราชวงศ์หมิง บิดาของเขาเสียชีวิตก่อนที่เขาจะเกิด และมารดาของเขาเสียชีวิตเมื่อเขาอายุเก้าขวบ หลังจากนั้นจูได้รับการเลี้ยงดูจากจู เซฺวฟาง ลุงของเขา ซึ่งยังคงสนับสนุนการศึกษาของจูต่อไป[4]
จูได้รับการศึกษาในท้องถิ่น และหลังสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมปลาย เขาเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยชิงหฺวาอันทรงเกียรติในปักกิ่ง[3] ที่ชิงหฺวาเขาได้เป็นผู้นำนักศึกษาและมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่จัดโดยพรรคคอมมิวนิสต์[5] เขาสำเร็จการศึกษาด้านวิศวกรรมไฟฟ้าและเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนใน ค.ศ. 1949 ปีเดียวกับที่เหมา เจ๋อตงประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน[3]
สาธารณรัฐประชาชนจีน
แก้จากนั้นจูเริ่มอาชีพในฐานะข้ารัฐการพลเรือนในกระทรวงอุตสาหกรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน โดยเขาได้รับแต่งตั้งเป็นรองหัวหน้าสำนักงานวางแผนการผลิต ใน ค.ศ. 1951 เขาเป็นประธานสหภาพนักศึกษามหาวิทยาลัยชิงหฺวา ตั้งแต่ ค.ศ. 1952 ถึง 1958 เขาทำงานในคณะกรรมการวางแผนแห่งรัฐ โดยดำรงตำแหน่งหัวหน้ากลุ่ม รองผู้อำนวยการ และรองหัวหน้าแผนก[6] ใน ค.ศ. 1957 ระหว่างการรณรงค์ร้อยบุปผา[4] เขาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายเศรษฐกิจของเหมาโดยกล่าวว่านโยบายเหล่านั้นส่งเสริม "การเติบโตที่สูงเกินจริง" ความคิดเห็นของเขาทำให้เขาถูกระบุว่าเป็น "ฝ่ายขวา" ใน ค.ศ. 1958 ระหว่างการรณรงค์ต่อต้านฝ่ายขวา ซึ่งเขาถูกข่มเหง ลดตำแหน่ง[3] เสื่อมเสียชื่อเสียง และถูกขับออกจากพรรคคอมมิวนิสต์ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1958[7] ในช่วงปลายทศวรรษ 1950 ครอบครัวของเขาก็ถูกข่มเหงเช่นกันเนื่องจากสถานะของพวกเขาในฐานะเจ้าของที่ดินผู้ร่ำรวยก่อนการปฏิวัติ และคฤหาสน์ของครอบครัวก็ถูกทำลาย[4]
หลังการประหัตประหารในฐานะฝ่ายขวา จูถูกส่งไปทำงานที่โรงเรียนแกนนำชนบทห่างไกล ใน ค.ศ. 1962 ภายหลังทุพภิกขภัยและการล่มสลายของอุตสาหกรรมที่เกิดจากนโยบายก้าวกระโดดไกล[8] จูได้รับอภัยโทษ (แต่ไม่ได้รับการกู้ฐานะทางการเมือง) และได้รับมอบหมายให้ทำงานเป็นวิศวกรที่สำนักงศรษฐกิจแห่งชาติของคณะกรรมการวางแผนแห่งรัฐ ในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม จูถูกกวาดล้างอีกครั้ง ตั้งแต่ ค.ศ. 1970 ถึง 1975 เขาถูกส่งไป "อบรมใหม่" ที่โรงเรียนแกนนำ 7 พฤษภาคม ไร่นาพิเศษสำหรับเจ้าหน้าที่รัฐที่เสื่อมเสียและอดีตสมาชิกพรรค[6] ในช่วงที่เขาถูกเนรเทศอยู่ในชนบทเป็นเวลาห้าปี จูเป็นแรงงาน ใช้แรงงานเลี้ยงหมูและวัว ขนของเสียจากมนุษย์ และปลูกข้าว[5]
หลังอสัญกรรมของเหมา เจ๋อตงใน ค.ศ. 1976 ไม่นาน เติ้ง เสี่ยวผิงก็ขึ้นสู่อำนาจและริเริ่มการปฏิรูปการเมืองที่นำไปสู่การกู้ฐานะของเหยื่อการปฏิวัติวัฒนธรรม[8] ตั้งแต่ ค.ศ. 1976 ถึง 1979 เขาทำงานเป็นวิศวกรในกระทรวงอุตสาหกรรมปิโตรเลียม และดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของสถาบันสังคมศาสตร์จีน[7] ใน ค.ศ. 1978 เขาได้รับการกู้ฐานะอย่างเป็นทางการและได้รับอนุญาตให้กลับเข้าพรรคคอมมิวนิสต์จีนอีกครั้ง[8] ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ตำแหน่งของจูค่อนข้างไม่โดดเด่น แต่หลังเติ้งรวมอำนาจได้ในทศวรรษ 1980 และรัฐบาลเน้นการแต่งตั้งคนตามความสามารถมากขึ้น จูก็ได้รับเลื่อนตำแหน่งให้ดำรงตำแหน่งที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้นเรื่อย ๆ เขามีความสัมพันธ์น้อยมากกับกองทัพ พรรค หรือระบบรัฐการ และสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งต่าง ๆ ในรัฐบาลได้ส่วนใหญ่ด้วยทักษะของตนเอง[8] ใน ค.ศ. 1979 เขาได้รับมอบหมายให้ไปประจำที่คณะกรรมการเศรษฐกิจแห่งรัฐ หน่วยงานสืบทอดจากคณะกรรมการวางแผนแห่งรัฐ โดยเขาดำรงตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีตั้งแต่ ค.ศ. 1983 ถึง 1987[3]
หลังได้รับการกู้ฐานะทางการเมืองและกลับเข้ารับรัฐการพลเรือน จูกลับมาสานสัมพันธ์กับมหาวิทยาลัยชิงหฺวา สถาบันเก่าของเขา ใน ค.ศ. 1984 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นคณบดีผู้ก่อตั้งของคณะเศรษฐศาสตร์และการจัดการ มหาวิทยาลัยชิงหฺวา เขาดำรงตำแหน่งคณบดีที่ชิงหฺวาเป็นเวลา 17 ปี ตลอดช่วงเวลาส่วนใหญ่ในอาชีพการงานสาธารณะของเขา[9] เมื่อเขาสามารถพบปะและสร้างความสัมพันธ์กับนักวิชาการต่างชาติและผู้นำระดับโลกได้มากขึ้น เขาก็สามารถส่งเสริมความสัมพันธ์ทางวิชาการที่ใกล้ชิดระหว่างชิงหฺวากับเอ็มไอที (สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์) ต่อมาในอาชีพของเขา เขาได้รับชื่อเสียงในฐานะที่ปรึกษาของผู้ใต้บังคับบัญชา พฤติกรรมที่ผู้สังเกตการณ์ตีความว่าเป็นผลผลิตจากตำแหน่งของเขาในฐานะนักการศึกษาที่ชิงหฺวา[8]
อาชีพการเมืองในเซี่ยงไฮ้
แก้ใน ค.ศ. 1988 หลังนายกเทศมนตรีเจียง เจ๋อหมินขึ้นเป็นเลขาธิการพรรคประจำเซี่ยงไฮ้ จูก็ได้รับเลื่อนตำแหน่งเป็นนายกเทศมนตรีเซี่ยงไฮ้ ซึ่งในขณะนั้นเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่สุด มีการพัฒนาอุตสาหกรรมมากที่สุด และร่ำรวยที่สุดของจีน ในระหว่างที่จูดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเซี่ยงไฮ้ เขาดูแลการพัฒนาปรับปรุงครั้งใหญ่และรวดเร็วในด้านโทรคมนาคม การก่อสร้างเมือง และการคมนาคมขนส่ง โดยเฉพาะในผู่ตง เขตเศรษฐกิจพิเศษขนาดใหญ่และมีชื่อเสียง[3]
ในช่วงต้นของการดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีของจู เขากล่าวสุนทรพจน์เรื่อง "ให้องค์กรต่าง ๆ ว่ายน้ำด้วยตัวเองในตลาด" ซึ่งเขาสนับสนุนให้องค์กรและประชาชน "เข้าถึงตลาด" โดยระบุว่า "ทุกคนสามารถสร้างความเชื่อมโยงผ่านตลาดได้"[10]: 45 สุนทรพจน์นี้ช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับเขาในฐานะผู้สนับสนุนการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ[10]: 45
เป็นช่วงเวลาที่เขาดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเซี่ยงไฮ้ที่เขาเริ่มสร้างชื่อเสียงในฐานะผู้ต่อต้านการทุจริตอย่างแข็งขัน[3] และนักปฏิรูปเศรษฐกิจผู้มีความสามารถ[8] ความพยายามของเขาในการทำให้กระบวนการที่รัฐบาลอนุมัติข้อตกลงทางธุรกิจง่ายขึ้น ทำให้เขาได้รับฉายาว่า "One-Chop Zhu" (จูสับเดียว) เพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์กับชุมชนธุรกิจต่างประเทศและขอคำแนะนำจากภายนอก เขาจัดตั้งคณะกรรมาธิการที่ปรึกษาซึ่งประกอบด้วยนักธุรกิจชาวต่างชาติ ขณะทำงานอยู่ในเซี่ยงไฮ้ เขาเริ่มต้นความสัมพันธ์ในการทำงานอันยาวนานกับเจียง เจ๋อหมิน เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ในเวลาต่อมา (ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคประจำเซี่ยงไฮ้) ซึ่งดำเนินต่อไปตลอดอาชีพการงานของจู[5]
เขายังเป็นที่รู้จักในระหว่างที่บริหารเซี่ยงไฮ้จากการยึดมั่นในกฎหมายและวินัยของพรรคอย่างเคร่งครัด และจากการที่เขาปฏิเสธจะให้ความช่วยเหลือเป็นพิเศษนอกเหนือกฎหมายแก่คนใกล้ชิด ครั้งหนึ่งใน ค.ศ. 1988 เมื่อสมาชิกในครอบครัวบางคนถามเขาขณะรับประทานอาหารเย็นว่าเขาสามารถผ่อนผันกฎหมายการอยู่อาศัย (ฮู่โข่ว) ของจีนเพื่อให้พวกเขาย้ายมาเซี่ยงไฮ้ได้หรือไม่ เขาก็ปฏิเสธ โดยตอบว่า: "สิ่งที่ผมทำได้ ผมก็ทำไปแล้ว สิ่งที่ผมทำไม่ได้ ผมจะไม่ทำเลย"[8]
ใน ค.ศ. 1989 เมื่อมีการประท้วงขนาดใหญ่เกิดขึ้นในหลายเมืองทั่วประเทศจีน ก็มีการประท้วงขนาดใหญ่และมีการจัดการอย่างดีในเซี่ยงไฮ้ด้วยเช่นกัน ต่างจากการปราบปรามผู้ประท้วงอย่างรุนแรงของรัฐบาลในปักกิ่ง จูสามารถแก้ไขสถานการณ์ในท้องถิ่นได้อย่างสันติ ณ จุดหนึ่ง กลุ่มผู้ประท้วงทำให้รถไฟตกรางและเผาทำลาย ซึ่งมีผู้เข้าร่วมหลายคนถูกจับกุมและประหารชีวิต แต่โดยรวมแล้วมีการสูญเสียชีวิตน้อยมาก และจูก็ยังคงได้รับความเห็นอกเห็นใจจากสาธารณชนเป็นอย่างมากตลอดเหตุการณ์[3] ในการประชุมในเดือนกันยายน ค.ศ. 1989 กับเดวิด เอ็ม. แลมป์ตัน จู กล่าวว่าความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาการประท้วงในเซี่ยงไฮ้นั้นมาจากแนวทางของรัฐบาลในปักกิ่ง โดยระบุว่า "การเดินขบวนและการจลาจลทั้งหมดถูกกำกับโดยผู้คนในปักกิ่ง ดังนั้นจนกว่าปักกิ่งจะแก้ปัญหา เซี่ยงไฮ้ก็ไม่สามารถทำได้ การแก้ปัญหาในปักกิ่งทำให้สามารถแก้ไขสถานการณ์ในเซี่ยงไฮ้ได้อย่างสันติสุข"[11]: 186
ภายหลังการแก้ปัญหาการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมินด้วยความรุนแรง ได้เกิดการต่อสู้แย่งชิงอำนาจควบคุมรัฐบาลจีนภายในพรรคคอมมิวนิสต์ช่วงสั้น ๆ จูได้รับเลื่อนตำแหน่งให้เป็นเลขาธิการพรรคประจำเซี่ยงไฮ้ใน ค.ศ. 1989 จูช่วยเหลือเติ้งในการกู้เกียรติภูมิและอำนาจของเขาโดยการช่วยเหลือเติ้งในการจัดระเบียบการเดินทางเยือนภาคใต้ ค.ศ. 1992[12]
ใน ค.ศ. 1990 จูนำคณะผู้แทนของนายกเทศมนตรีจีนเข้าพบปะกับผู้นำทางการเมืองและธุรกิจทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติของสหรัฐ โดยมีจุดประสงค์เพื่อรักษาและปรับปรุงความสัมพันธ์ทางการเมืองและธุรกิจ นี่เป็นคณะบุคคลสำคัญกลุ่มแรกจากจีนที่เดินทางเยือนสหรัฐนับตั้งแต่การปราบปรามการประท้วงใน ค.ศ. 1989[13]: 188 เจ้าหน้าที่บางคนที่จูพบในการเยือนครั้งนั้น ได้แก่ ริชาร์ด นิกสัน, เฮนรี คิสซินเจอร์, บ็อบ โดล และแนนซี เพโลซี ระหว่างการเยือน จูกล่าวสุนทรพจน์ทั้งภาษาจีนและอังกฤษโดยไม่ได้เตรียมมาก่อน และได้รับการชื่นชมจากนักข่าว นักการเมือง และผู้นำธุรกิจชาวอเมริกันในเรื่องความตรงไปตรงมา ความเปิดเผย พลังงาน และภูมิหลังทางเทคนิค[14]
แม้เขาจะแสดงออกถึงความปรารถนาและความสามารถในการผลักดันการปฏิรูปกฎหมายและเศรษฐกิจครั้งใหญ่และทั่วถึง รวมถึงการปฏิรูปการเมืองที่มุ่งทำให้รัฐบาลจีนมีประสิทธิภาพและโปร่งใสมากขึ้น แต่จูก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาไม่สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงการเมืองที่รุนแรง ในงานแถลงข่าวระหว่างการเดินทางเยือนสหรัฐใน ค.ศ. 1990 จูกล่าวว่า "คุณมีระบบประชาธิปไตยของคุณ และเรามีระบบประชาธิปไตยของเรา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีอะไรเหมือนกันเลย"[13]: 188 เมื่อถูกนักข่าวตะวันตกถามว่าเขาคือกอร์บาชอฟของจีนหรือไม่ เขาตอบว่า "ไม่ใช่ ผมคือจู หรงจีของจีน"[11]: 186
รองนายกรัฐมนตรี
แก้ภาพรวม
แก้ใน ค.ศ. 1991 ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากความสำเร็จในการบริหารการพัฒนาเซี่ยงไฮ้[7] จูได้รับตำแหน่งสูงขึ้นสู่รัฐบาลกลางในปักกิ่ง ซึ่งเขามุ่งเน้นไปที่การวางแผนและแก้ไขโครงการและปัญหาทางเศรษฐกิจในฐานะรองนายกรัฐมนตรีคณะมนตรีรัฐกิจภายใต้นายกรัฐมนตรีหลี่ เผิงและผู้อำนวยการสำนักงานการผลิตของคณะมนตรีรัฐกิจ เขายังดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารประชาชนจีนที่ทับซ้อนกันตั้งแต่ ค.ศ. 1993 ถึง 1995[10]: 45 ประเด็นแรกของเขาหลังเดินทางถึงปักกิ่งคือการปรับโครงสร้างหนี้ที่รัฐวิสาหกิจเป็นหนี้ และทำให้กระบวนการที่เกษตรกรขายธัญพืชให้รัฐบาลง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น จูสามารถดำเนินการปฏิรูปที่ค่อนข้างกว้างขวางได้ส่วนใหญ่มาจากการสนับสนุนอย่างกว้างขวางของเติ้ง เสี่ยวผิง ผู้ซึ่งกล่าวว่าจู "มีความเห็นเป็นของตัวเอง กล้าตัดสินใจ และรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์"[3] ในการเปรียบเทียบจูกับคนอื่น ๆ เมื่อพิจารณาการแต่งตั้ง เติ้งกล่าวว่า "ผู้นำปัจจุบันไม่รู้เรื่องเศรษฐศาสตร์... จู หรงจีเป็นคนเดียวที่เข้าใจเศรษฐศาสตร์"[15]
ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ใน ค.ศ. 1992 จีนต้องเผชิญกับความท้าทายจากการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรที่มากเกินไป ปริมาณเงินในระบบที่สูงเกินไป และตลาดการเงินที่วุ่นวาย[8] อัตราเงินเฟ้อสูงกว่าร้อยละ 20[16] ในฐานะผู้อำนวยการธนาคารกลาง รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าของคณะมนตรีรัฐกิจ จูแก้ปัญหาเหล่านี้โดยจำกัดปริมาณเงินในระบบ ยกเลิกโครงการอุตสาหกรรมเทคโนโลยีต่ำที่ซ้ำซ้อน[17] ลดค่าเงินหยวน ลดอัตราดอกเบี้ย ปฏิรูปภาษี[8] และลงทุนเงินทุนของรัฐในภาคการขนส่ง เกษตรกรรม และพลังงาน[17] เขายังพยายามปฏิรูปภาคธนาคารของรัฐโดยเพิ่มการกำกับดูแลเพื่อยับยั้งการปล่อยสินเชื่ออย่างประมาท นำ "บริษัทจัดการสินทรัพย์" มาจัดการหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จำนวนมากที่ธนาคารหลายแห่งของจีนสะสมไว้ และแปรรูปธนาคารขนาดใหญ่เพื่อเปิดให้มีการแข่งขันในตลาดเสรี[18] หลังการบริหารของจู เศรษฐกิจจีนก็สามารถรักษาการเติบโตที่มั่นคงและเลี่ยงความผันผวนของราคาที่รุนแรงได้ ความสามารถของจูในการทำให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพนำไปสู่การได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการประชุมสภาพรรคครั้งที่ 14 ใน ค.ศ. 1992 หลังจากนั้นเขาก็ยังคงดำรงตำแหน่งอื่น ๆ ไว้[8][17]
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1993 ในการประชุมงานด้านการเงินแห่งชาติครั้งแรก จูกล่าวสุนทรพจน์ในฐานะผู้ว่าการธนาคารประชาชนจีน[10]: 47 จูอธิบายวิสัยทัศน์ของเขาเกี่ยวกับโครงสร้างระบบการเงินของจีน โดยระบุว่ารัฐ "ต้องจัดตั้งระบบสถาบันการเงิน ภายใต้การดูแลของธนาคารกลาง ซึ่งประกอบด้วยธนาคารนโยบายของชาติและธนาคารพาณิชย์ของรัฐเป็นหลัก แต่ก็ครอบคลุมสถาบันการเงินที่หลากหลาย"[10]: 47 สถาบันที่เขาเสนอ ได้แก่ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า ระบบการให้กู้ยืมระหว่างธนาคารระดับประเทศ ตลาดตราสารหนี้ระยะสั้น และกลไกอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนอิงตามอัตราตลาด[10]: 47 ดังที่จงหยวน โซอี หลิว นักวิจัยเขียนไว้ว่า "อำนาจทางเศรษฐกิจและอิทธิพลทางการเงินร่วมสมัยของพรรคมีพื้นฐานสำคัญมาจากสถาบันที่จูจินตนาการไว้ใน ค.ศ. 1993 สิบห้าปีต่อมาใน ค.ศ. 2008 ธนาคารนโยบายและกองทุนอธิปไตยของจีนปรากฏตัวในเวทีการเงินโลกในฐานะหนึ่งในนักลงทุนสถาบันที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีอิทธิพลอย่างมากต่อตลาดการเงินและแสดงถึงอำนาจของพรรคในต่างประเทศ"[10]: 47
คู่ต่อสู้ที่แข็งขันที่สุดของแผนปฏิรูปเศรษฐกิจจีนของจูคือนายกรัฐมนตรีหลี่ เผิง หลี่และจูมีความขัดแย้งกันในช่วงสองปีแรกหลังจูได้รับแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรี แต่เมื่อถึงเวลาที่หลี่หัวใจวายใน ค.ศ. 1993 หลี่ก็สูญเสียอิทธิพลในรัฐบาลและไม่สามารถขัดขวางการปฏิรูปหลายอย่างของจูได้อีกต่อไป[19] การที่การปฏิรูปของจูได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางอย่างรวดเร็วภายในรัฐบาลกลางนั้นชัดเจนในกระบวนการรับรองตำแหน่งของหลี่ในการประชุมพรรค ค.ศ. 1992: แม้การแต่งตั้งหลี่จะได้รับการตกลงจากผู้นำระดับสูงของจีนแล้ว แต่จูก็ได้รับคะแนนประท้วงที่ค่อนข้างมากและผิดปกติจากผู้แทนพรรคหลายคน[20] ตลอดวาระการดำรงตำแหน่งทั้งรองนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีของจู หลี่ประสบความสำเร็จในการขัดขวางจูจากการนำเสนอกฎระเบียบหรือการกำกับดูแลของรัฐบาลต่อบริษัทพลังงานของจีน[21] และบริษัทเหล่านั้นยังคงเป็นผู้ผูกขาดส่วนตัวที่บริหารโดยครอบครัวของหลี่ตลอดวาระการดำรงตำแหน่งของจู[22]
จูครั้งหนึ่งเคยใช้คำว่า "องค์กรผู้รักชาติ" ในสุนทรพจน์ช่วงกลางทศวรรษ 1990 เพื่ออธิบายถึงซันเหอ (triads) โดยอ้างถึงประวัติศาสตร์ของพวกเขาในฐานะสมาคมลับที่ต่อต้านผู้รุกรานต่างชาติและมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์จีน สิ่งนี้ถูกตีความโดยผู้สังเกตการณ์บางคนว่าบ่งชี้ถึงความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมระหว่างซันเหอกับพรรคคอมมิวนิสต์[23]
การมีส่วนสนับสนุนต่อเศรษฐกิจตลาดแบบสังคมนิยม
แก้จูเป็นผู้สนับสนุนกลไกตลาด ขณะเดียวกันก็มองว่าบทบาทของรัฐในการกำหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์ของตลาดเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง[10]: 45 โดยทั่วไปแล้ว เขาไม่เชื่อในประสิทธิภาพของการวางแผนเศรษฐกิจโดยรัฐอย่างครอบคลุม[24]: 134 จูมักโต้แย้งสนับสนุนเครื่องมือทางเศรษฐกิจทางอ้อม เช่น ในการประชุมต้าเหลียนในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1993 แม้เขาจะมองว่าคำสั่งโดยตรงจากรัฐบาลกลางก็เป็นเครื่องมือที่ใช้ได้เช่นกัน[11]: 194
วิสัยทัศน์ของจูและเติ้งสำหรับอนาคตของจีนไม่ใช่แค่การเติบโตอย่างรวดเร็วเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโครงการปฏิรูปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าจะจำเป็นต่อการบรรลุการเติบโตนี้ มีเป้าหมายหลักสองประการที่จูเชื่อว่าจำเป็นต่อการบรรลุวิสัยทัศน์นี้ ซึ่งจูเริ่มต้นในขณะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีของจีน เป้าหมายแรกของเขาคือการจัดระเบียบและรวมศูนย์ระบบการคลังและการเงิน เป้าหมายที่สองคือการปรับปรุงและเสริมสร้างภาคส่วนรัฐ[25]
ภารกิจแรกของจูคือการกอบกู้การควบคุมจากส่วนกลางเหนืองบประมาณรายรับจากภาษีของประเทศที่กำลังเติบโตแต่กลับมีการกระจายอำนาจที่เป็นอันตราย ก่อนจะปฏิรูประบบภาษีของจีน เขาเดินทางไปทั่วทุกมณฑลในจีนด้วยตนเองเพื่อเสนอแนวคิด "การแบ่งปันภาษี" แบบใหม่ที่จำลองมาจากรัฐบาลกลางสหรัฐ ภายใต้นโยบายใหม่นี้ รายรับจากมณฑลจะถูกส่งไปปักกิ่งก่อน แล้วจึงจะมีการคืนส่วนแบ่งกลับไปยังมณฑลต่าง ๆ หลังการนำระบบภาษีนี้มาใช้ ส่วนแบ่งรายรับรวมของรัฐบาลกลางเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 20 ในปีเดียว ทำให้งบประมาณส่วนกลางสมดุลและทำให้ทรัพยากรของปักกิ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและเชื่อถือได้เมื่อเวลาผ่านไป เพื่อจัดการกิจการทางการเงินของจีน เขาแต่งตั้งตัวเองเป็นผู้ว่าการธนาคารประชาชนจีนโดยมีอำนาจเหนือกว่านโยบายการเงินและกฎระเบียบทางการเงิน เป็นการนำระบบธนาคารที่เคยมีการกระจายอำนาจอย่างมากมาอยู่ภายใต้การควบคุมของปักกิ่งมากขึ้น[26]
ภารกิจต่อไปของจูคือการจัดการกับธนาคารของรัฐขนาดมหึมาสี่แห่งของจีน ซึ่งสะสมหนี้เสียหลายพันล้านดอลลาร์อันเนื่องมาจากการปล่อยสินเชื่ออย่างฟุ่มเฟือยให้กับรัฐวิสาหกิจ (SOEs) ที่ไม่ทำกำไร เขาแยกหนี้เสียเหล่านี้ออกไปไว้ใน "บริษัทจัดการสินทรัพย์" ที่จัดตั้งขึ้นใหม่ และเพิ่มทุนให้กับธนาคารผ่านพันธบัตรรัฐบาลในกลยุทธ์การปรับโครงสร้าง ภายหลังการได้รับเลื่อนตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีใน ค.ศ. 1998 จูช่วยรักษารัฐวิวาหกิจขนาดใหญ่ที่สุดไว้และปล่อยให้บริษัทขนาดเล็กและกลางและโรงงานหลายพันแห่งต้องล้มละลาย โดยคาดการณ์ว่าการเติบโตใหม่ในภาคเอกชนจะสามารถบรรเทาปัญหาการว่างงานที่เพิ่มขึ้นได้ กลยุทธ์นี้ส่งผลให้แรงงานหลายล้านคนสูญเสียการรับประกัน "ชามข้าวเหล็ก" ที่คุ้มครองการจ้างงานตั้งแต่เกิดจนตาย สวัสดิการด้านสุขภาพ และเงินบำนาญ จูท้าทายผู้จัดการให้กำหนดเงินเดือนตามผลการปฏิบัติงานและความสามารถในการแข่งขันของตลาดและทำให้ความสามารถในการทำกำไรและผลิตภาพเป็นปัจจัยในการพิจารณาการเลื่อนตำแหน่งผู้จัดการและผู้บริหารภายในรัฐวิสาหกิจที่ยังคงอยู่[27]
จูยกเลิกใบรับรองเงินตราต่างประเทศใน ค.ศ. 1994 ซึ่งจีนเคยใช้เป็นระบบเงินตราคู่ขนานสำหรับชาวต่างชาติ[11]: 194
ความพยายามปฏิรูปเศรษฐกิจทั้งหมดของจูไม่ได้เป็นการรื้อถอนภาครัฐ แต่เป็นการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพโดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้สังคมนิยมตลาดรูปแบบใหม่ของเติ้งสำเร็จลุล่วง แม้หลายคนในโลกตะวันตกจะยังคงกังขาเมื่อเติ้งประกาศว่าเขาจะดำเนินตามแนวทาง "สังคมนิยมอัตลักษณ์จีน" การปฏิรูปของจูช่วยเพิ่มความมั่งคั่งและอำนาจของจีนในขณะที่ยังคงอยู่ภายใต้การกำกับดูแลอย่างแน่นหนาของพรรคคอมมิวนิสต์[28] จูยังมีบทบาทสำคัญในการลดภาวะเงินเฟ้อด้วย[11]: 194
นายกรัฐมนตรี
แก้จูได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ห้าของจีนในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1998 ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากความสำเร็จในการบริหารโครงการเศรษฐกิจมหภาคขนาดใหญ่[7] ในระหว่างวาระการดำรงตำแหน่ง จูยังคงมุ่งเน้นไปที่ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยทั่วไปแล้วเขาชื่นชอบการพัฒนาที่มั่นคงและยั่งยืน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากมาตรการควบคุมเศรษฐกิจมหภาคที่แข็งแกร่งและนโยบายการเงินที่เข้มงวด เขายังคงส่งเสริมการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมและการเกษตรของจีน[29]
ในช่วงต้นวาระการดำรงตำแหน่งของเขา จูริเริ่มโครงการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่ดำเนินไปตลอดช่วงเวลาที่เขาอยู่ในตำแหน่ง ซึ่งเป็นช่วงที่ภาคเอกชนของจีนมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว เขาตอบสนองต่อวิกฤตการณ์การเงินในเอเชีย ค.ศ. 1997 ด้วยการลดขนาดระบบรัฐการของรัฐลงอย่างมาก[29] การ รักษานโยบายควบคุมเงินทุนอย่างเข้มงวด และการให้ทุนสนับสนุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่[30] ในช่วงวิกฤตการณ์ดังกล่าว เขาปฏิเสธการลดค่าเงินหยวนของจีน และ ปกป้องการตัดสินใจของเขาอย่างโกรธเคืองเมื่อผู้นำระหว่างประเทศบางรายแนะนำให้เขาทำเช่นนั้น[31] หลังวิกฤตการณ์ จูสนับสนุนการปรับปรุงตลาดการเงินระหว่างประเทศเพื่อป้องกันการเก็งกำไรในตลาดที่ก่อให้เกิดความเสียหาย[30]
การปฏิรูปการบริหารของจูใน ค.ศ. 1998 ได้ปรับโครงสร้างกระทรวงอุตสาหกรรมให้เป็นทบวงภายใต้คณะกรรมการเศรษฐกิจและการค้าแห่งรัฐ[32]: 281 บทบาทนโยบายเศรษฐกิจของคณะกรรมการพัฒนาและวางแผนแห่งรัฐลดลง[32]: 281
ใน ค.ศ. 2003 คณะกรรมการเศรษฐกิจและการค้าแห่งรัฐได้รับการปรับโครงสร้างเป็นคณะกรรมการกำกับดูแลและบริหารสินทรัพย์ของรัฐ[32]: 281 เขาลดขนาดระบบรัฐการลงครึ่งหนึ่งภายในสิ้นสุดวาระของเขาใน ค.ศ. 2003 แม้ระบบรัฐการในเขตที่ห่างไกลจากเมืองหลวงยังคงขยายตัว นำไปสู่ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างรัฐบาลท้องถิ่นบางแห่งกับเกษตรกรผู้ซึ่งมีรายได้ในการสนับสนุนพวกเขา[33]
การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจของเขาส่งผลให้พนักงานประมาณร้อยละ 35 หรือ 40 ล้านคนถูกเลิกจ้างภายในห้าปี[18][34] จูริเริ่มการปฏิรูปที่จำกัดในระบบที่อยู่อาศัยของจีน โดยอนุญาตให้ผู้อยู่อาศัยสามารถเป็นเจ้าของอพาร์ตเมนต์ของตนเองได้เป็นครั้งแรกในราคาที่ได้รับการอุดหนุน[8]
เมื่อสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของจู เศรษฐกิจจีนมีเสถียรภาพและเติบโตอย่างมั่นคง ขณะที่การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ทั่วโลกลดลงครึ่งหนึ่งใน ค.ศ. 2000 แต่กระแสเงินทุนที่ไหลเข้าสู่จีนแผ่นดินใหญ่กลับเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เนื่องจากบริษัททั่วโลกต่างแย่งชิงกันเพื่อไม่ให้พลาดโอกาสจากความรุ่งเรืองของจีน การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในจีนจึงเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.6 ใน ค.ศ. 2002 ขณะที่การค้าทั่วโลกชะงักงัน เติบโตเพียงร้อยละ 1 ใน ค.ศ. 2002 การค้าของจีนแผ่นดินใหญ่กลับพุ่งสูงขึ้นถึงร้อยละ 18 ในช่วงเก้าเดือนแรกของ ค.ศ. 2002 โดยมีมูลค่าการส่งออกมากกว่าการนำเข้า
การเริ่มต้นต่อต้านการทุจริต
แก้จูสร้างชื่อเสียงในฐานะผู้บริหารที่แข็งแกร่งและเข้มงวด ไม่ยอมรับการทุจริต การเล่นพรรคเล่นพวก หรือความไร้ความสามารถ ในปักกิ่งบางครั้งเขาเป็นที่รู้จักในชื่อเล่นว่า "จูจอมบ้า" และ "หัวหน้าจู" สำหรับจรรยาบรรณในการทำงานที่หนักหน่วง โปร่งใส และแนวโน้มจะไม่สนใจสถานะทางรัฐการที่มีอยู่[8] นอกจากการสอบสวนตัวอย่างของการทุจริตที่อาจเกิดขึ้น จูพยายามทำให้รัฐบาลจีนมีการควบคุมและโปร่งใสมากขึ้นโดยการเพิ่มจำนวนและอำนาจของคณะกรรมการกำกับดูแลอิสระ การลดขนาดระบบรัฐการ การเปิดตำแหน่งรัฐการให้ผู้เชี่ยวชาญภายนอกและการปฏิรูประบบการจ้างงานและการเลื่อนตำแหน่งของรัฐบาลโดยยึดตามคุณธรรม และปรับปรุงความสามารถในการคาดการณ์ของการบริหารโดยการเสริมสร้างนิติธรรม[21]
ก่อนหน้าที่จูจะเข้ารับตำแหน่ง การจ้างงานในระบบรัฐการของจีนส่วนใหญ่ได้มาจากการดำรงตำแหน่งมานานและสายสัมพันธ์ทางการเมือง จูพยายามปรับปรุงระบบอาวุโสของระบบรัฐการให้ทันสมัยและพัฒนาขีดความสามารถของรัฐบาลในการดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถโดยการเปิดตำแหน่งระดับสูงและระดับกลางให้มีการคัดเลือกจากสาธารณะ และปฏิรูปการสอบเข้ารับรัฐการ[21] เขาทุ่มเทอย่างมากเพื่อดึงดูดและส่งเสริมผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์และนักเทคนิคระดับสูงจากภาควิชาการและภาคเอกชนให้มาทำงานภายใต้การดูแลของเขาในฐานะที่ปรึกษาในรัฐบาลกลาง และประสบความสำเร็จในการดึงดูดเจ้าหน้าที่จำนวนไม่มาก (ประมาณหลายสิบคน) ให้มาทำงานและให้คำปรึกษาแก่เขา[8] ด้วยการเปิดตำแหน่งระดับกลางให้ผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก เขาสามารถทำให้มั่นใจได้ว่าข้ารัฐการจีนซึ่งได้รับเลื่อนตำแหน่งในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้นโดยทั่วไปแล้วสนับสนุนแนวคิดของเขา[21]
ในระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จูทุ่มเทอย่างหนักในการปราบปรามการทุจริตของเจ้าหน้าที่[35] มีรายงานว่าครั้งหนึ่งเขาเคยอ่านจดหมายถึงปีละ 16,000 ฉบับที่ส่งมาจากประชาชนผู้เดือดร้อนเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ของชาวจีนทั่วไปได้ดียิ่งขึ้น[8] เขาเดินทางตรวจเยี่ยมบ่อยครั้งนอกปักกิ่งเพื่อตรวจสอบสภาพการทำงาน โดยเฉพาะในภาคใต้ หลังเข้ารับตำแหน่งไม่นานใน ค.ศ. 1998 เขาสั่งให้กองทัพปลดปล่อยประชาชนยุติการเข้าไปมีส่วนร่วมในธุรกิจต่าง ๆ ที่ทำให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงและบุตรหลานร่ำรวยและต่อมาได้ห้ามข้ารัฐการพลเรือนเข้าร่วมในกิจการธุรกิจ เขาพยายามนำมาตรการกำกับดูแลที่เข้มงวดและเป็นทางการมากขึ้นมาใช้ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้นำระดับมณฑลรับสินบนจากนักธุรกิจและยักยอกเงินทุนของรัฐ[35]
การตรวจสอบการทุจริตของเจ้าหน้าที่ของจูนำไปสู่การค้นพบการประพฤติมิชอบขนาดใหญ่จำนวนมากโดยเจ้าหน้าที่ระดับมณฑล หลังเขาพบว่าเงิน 25,800 ล้านหยวนที่จัดสรรไว้สำหรับการซื้อธัญพืชตลอดหกปีได้หายไป เขาก็เริ่มการสอบสวนซึ่งสรุปว่าอย่างน้อย 10,000 ล้านหยวนถูกนำไปใช้สร้างโรงแรมและอพาร์ตเมนต์หรูหรา และลงทุนในธุรกิจเก็งกำไร ในการเดินทางตรวจสอบครั้งหนึ่งใน ค.ศ. 2001 จูค้นพบเครือข่ายการทุจริตขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่ โดยพบว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนในฝูเจี้ยนได้สมคบคิดดำเนินการค้าของเถื่อนขนาดใหญ่ ผลจากการกวาดล้างครั้งนั้น ผู้นำพรรคและผู้ว่าการระดับสูงจำนวนมากถูกจับกุมและประหารชีวิต ในการเดินทางตรวจสอบครั้งหนึ่ง หลังสังเกตเห็นว่าคันกั้นน้ำพังทลายลงเนื่องจากเงินที่จัดสรรไว้สำหรับการก่อสร้างที่เหมาะสมถูกขโมยไปโดยเจ้าหน้าที่ทุจริต เขาก็โกรธจัดกับ "โครงการก่อสร้างสารเลว" เช่นนี้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกในจีนในเวลานั้น เขากล่าวครั้งหนึ่งว่า "ผมจะเตรียมโลงศพ 100 ใบสำหรับคนทุจริต และหนึ่งใบสำหรับผม เพราะผมจะตายด้วยความเหนื่อยล้า" ความพยายามส่วนใหญ่ของเขาในการเพิ่มบทบาทของตลาดเอกชนในระบบเศรษฐกิจ เพื่อปรับปรุงการคุ้มครองทางกฎหมายสำหรับธุรกิจ และเพื่อแนะนำระบบธนาคารพาณิชย์ที่แท้จริง ล้วนดำเนินการโดยนัยเพื่อลดการทุจริตและของเสียจากเจ้าหน้าที่ที่เขาค้นพบผ่านการตรวจสอบส่วนตัวของเขาเอง[36]
จูพร้อมกับเวิน เจียเป่า ผู้สืบทอดตำแหน่งของเขา พยายามจำกัดอำนาจของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในการเรียกเก็บค่าบริการและค่าธรรมเนียมเบ็ดเตล็ดเพื่อปกป้องเกษตรกรจากการเก็บภาษีตามอำเภอใจโดยเจ้าหน้าที่ที่ทุจริต[37]
ความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบ
แก้ในการแถลงข่าวร่วมกับประธานาธิบดีสหรัฐ บิล คลินตัน จูอธิบายจุดยืนของจีนในสามคำถามที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบ ได้แก่ (i) อิทธิพลของกองทัพสหรัฐต่อความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบ (ii) มีกำหนดเวลาสำหรับการรวมชาติจีนหรือไม่ และ (iii) เขายินดีจะเยือนไต้หวันหรือไม่ จูตอบว่าสำหรับนโยบายของจีนต่อการรวมชาติจีน เขาจะไม่แสดงความเห็นเพิ่มเติมและชี้ไปที่ถ้อยแถลงก่อนหน้านี้ของเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน เจียง เจ๋อหมิน เขาอ้างว่าจีนยึดมั่นในหลักการ "หนึ่งประเทศ สองระบบ" และรักษาความเป็นอิสระระดับสูงในฮ่องกงและเปรียบเทียบไต้หวันกับฮ่องกง โดยระบุว่าจีนอนุญาตให้ไต้หวันรักษากองทัพของตนเองไว้ได้ และพร้อมจะให้ผู้นำไต้หวันขึ้นเป็นรองผู้นำของจีนในกรณีมีการรวมชาติ[38]
ท่าทีของจูต่อไต้หวันเปลี่ยนแปลงไปตลอดช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ระหว่างการเลือกตั้งประธานาธิบดีสาธารณรัฐจีน ค.ศ. 2000 ในไต้หวัน จูเตือนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งชาวไต้หวันไม่ให้ลงคะแนนให้พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ซึ่งสนับสนุนการตีตัวออกห่างจากจีน โดยกล่าวว่า "ผู้สนับสนุนเอกราชของไต้หวันจะไม่มีจุดจบที่ดี"[39] ท่าทีของเขาต่อไต้หวันเปลี่ยนไปหลังการเลือกตั้ง สามปีต่อมา ในสุนทรพจน์อำลาต่อสภาประชาชนแห่งชาติใน ค.ศ. 2003 จูสนับสนุนให้นักการเมืองจีนใช้ภาษาที่นุ่มนวลขึ้นในการหารือประเด็นความสัมพันธ์จีนแผ่นดินใหญ่-ไต้หวัน โดยกล่าวว่าจีนแผ่นดินใหญ่และไต้หวันควรปรับปรุงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การคมนาคม และวัฒนธรรมเพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย ระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ จูเผลอเรียกจีนและไต้หวันว่าเป็น "สองประเทศ" ก่อนจะรีบแก้ไขตัวเองและอ้างถึงทั้งสองฝ่ายว่าเป็น "สองฝั่ง" เหตุการณ์ดังกล่าวถูกรายงานในสื่อไต้หวันว่าเป็น "ความผิดพลาด"[40]
การต่างประเทศ
แก้จูเริ่มต้นการประชุมสภาการพัฒนาประเทศจีนใน ค.ศ. 2000[41]: 290 เมื่อแรกเริ่ม การประชุมนี้เป็นการพบปะที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวระหว่างผู้นำจีนและผู้เชี่ยวชาญต่างชาติ[41]: 290 จูมองว่าการประชุมนี้เป็นการทดสอบความกดดันสำหรับเจ้าหน้าที่ระดับสูง และสนับสนุนการอภิปรายและหารือเกี่ยวกับนโยบายกับผู้เชี่ยวชาญต่างชาติที่เข้าร่วม[41]: 290
เขาเป็นผู้นำการเจรจาเพื่อให้จีนเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก ซึ่งจีนประสบความสำเร็จใน ค.ศ. 2001 ท่ามกลางเสียงชื่นชมทั้งในและต่างประเทศ[8] การเข้าร่วม WTO เปิดโอกาสให้จีนได้รับการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น แต่ก็กำหนดให้จีนต้องปฏิบัติตามอนุสัญญาการค้าระหว่างประเทศ ทรัพย์สินทางปัญญา และการจัดการสิ่งแวดล้อม จูคาดการณ์ว่าการที่จีนเข้าเป็นสมาชิก WTO จะนำไปสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่ก็หวังว่าการเข้าร่วม WTO จะบังคับให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและกฎหมายภายในประเทศจีน ซึ่งจูเองมีอำนาจน้อยที่จะดำเนินการ[34]
เกษียณอายุ
แก้จูเกษียณจากตำแหน่งสมาชิกคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีนในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2002 และตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2003 ตามลำดับ โดยมีเวิน เจียเป่าเข้ามาแทนที่[29] เวินเป็นพันธมิตรเพียงคนเดียวของจูที่ปรากฏในคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดถัดมาซึ่งมีสมาชิกเก้าคน หลังเกษียณอายุ จูถอนตัวออกจากการมีส่วนร่วมทางการเมืองของจีนอย่างชัดเจน[42] แต่เขายังคงรักษาความสัมพันธ์กับมหาวิทยาลัยชิงหฺวา ที่ซึ่งเขายังคงเดินทางไปเยี่ยมเยียนหลายครั้งในระหว่างพิธีและกิจกรรมพิเศษต่าง ๆ ใน ค.ศ. 2014 เขาเขียนจดหมายสาธารณะที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นนักเนื่องในโอกาสครบรอบ 30 ปีของคณะเศรษฐศาสตร์และการจัดการ มหาวิทยาลัยชิงหฺวา แต่ไม่สามารถเข้าร่วมได้เนื่องจากสุขภาพไม่ดี[9] ในจดหมายนั้น เขาสนับสนุนให้นักศึกษาของโรงเรียนธุรกิจอันทรงเกียรตินี้ไปเยี่ยมเยียนพื้นที่ยากจนและชนบทของจีน เพื่อจะได้เข้าใจสภาพความเป็นอยู่ของคนจีนส่วนใหญ่ได้ดียิ่งขึ้น เขาปรากฏตัวในงานศพของหฺวาง จฺวี๋ในวันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 2007[43]
หลังพ้นจากตำแหน่ง จูเขียนหนังสือและเป็นหัวข้อของหนังสือหลายเล่ม หนังสือเล่มแรกของจูชื่อ Zhu Rongji Meets the Press (แปลว่า จู หรงจี พบสื่อมวลชน) เป็นการรวบรวมสุนทรพจน์และการสัมภาษณ์กับนักข่าวและเจ้าหน้าที่ทั้งชาวต่างชาติและชาวจีน ได้รับการตีพิมพ์ใน ค.ศ. 2009[43] (ฉบับแปลภาษาอังกฤษของวางจำหน่ายใน ค.ศ. 2011).[29] หนังสือเล่มที่สอง Zhu Rongji's Answers to Journalists' Questions (แปลว่า คำตอบของจู หรงจี ต่อคำถามของนักข่าว) เป็นชุดรวมสุนทรพจน์ บทความ และจดหมายของจูจำนวนสี่เล่ม ก็ได้รับการตีพิมพ์ใน ค.ศ. 2011 เช่นกัน หนังสือเล่มที่สองนี้ได้รับการแปลและตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษใน ค.ศ. 2013 ภายใต้ชื่อ Zhu Rongji on the Record: The Road to Reform (แปลว่า บันทึกของจู หรงจี: เส้นทางสู่การปฏิรูป)[43] ภายในสิ้น ค.ศ. 2013 หนังสือของเขามียอดขายมากกว่าหกล้านเล่ม[44] เฮนรี คิสซินเจอร์เขียนไว้ว่าการแปลหนังสือของเขาเป็นภาษาอังกฤษถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์จีน-สหรัฐและส่งเสริมความเข้าใจระหว่างประเทศเกี่ยวกับวัฒนธรรมและการเมืองของจีน[45] ชีวประวัติของจูที่เขียนโดยชาวตะวันตกเล่มหนึ่งสนับสนุนให้ผู้นำในประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ศึกษาและเลียนแบบการปฏิรูปของเขา และเปรียบเทียบอิทธิพลของเขาที่มีต่อทฤษฎีเศรษฐศาสตร์เชิงปฏิบัติว่าเทียบเท่ากับเคนส์[15] แม้เขาจะตีพิมพ์หนังสือที่รวบรวมจากสุนทรพจน์และการสัมภาษณ์ แต่บุตรสาวของเขารายงานว่าเขาไม่มีความสนใจการเขียนบันทึกความทรงจำส่วนตัว[46]
หลังเกษียณ จูทุ่มเทเวลาและพลังงานส่วนใหญ่ให้กับงานการกุศลสาธารณะ ใน ค.ศ. 2013 และ 2014 เพียงสองปี เขามอบเงินบริจาค 40 ล้านหยวน (ประมาณ 6.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ให้กับการกุศล มีรายงานว่าเงินที่บริจาคมาจากค่าลิขสิทธิ์หนังสือของเขา และมอบให้กับมูลนิธิการกุศลที่ส่งเสริมการศึกษาในพื้นที่ชนบทที่ยากจน จำนวนเงินที่บริจาคนี้ถือว่าไม่ปกติสำหรับนักการเมืองจีนเกษียณอายุ ทำให้เกิดการคาดการณ์เกี่ยวกับวัฒนธรรมทางการเมืองของจีน การบริจาคดังกล่าวทำให้ผู้แสดงความเห็นบางคนนำลักษณะนิสัยของเขาไปเปรียบเทียบกับโจว เอินไหล นายกรัฐมนตรีคนแรกของจีน[43]
ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2022 ตามรายงานที่เผยแพร่โดย เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล จูแสดงความเห็นคัดค้านสี จิ้นผิง เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนคนปัจจุบัน ที่พยายามดำรงตำแหน่งเป็นวาระที่สามติดต่อกันอย่างไม่เคยมีมาก่อน เนื่องจากจะเป็นการทำลายระบบการสืบทอดตำแหน่งผู้นำของพรรคที่กำหนดไว้แต่เดิม[47]
ชีวิตส่วนตัว
แก้จู หรงจีได้รับการยอมรับว่าเป็นนักพูดในที่สาธารณะที่ดีและเป็นที่น่าสังเกตในอาชีพการงานของเขาในเรื่องความสามารถทางภาษาอังกฤษที่เชี่ยวชาญ เขามักกล่าวสุนทรพจน์ในที่สาธารณะโดยไม่ใช้สคริปต์ และเมื่อเขาทำเช่นนั้น สุนทรพจน์ของเขาก็ถูกกล่าวขานว่า สนุกสนานและน่าตื่นเต้น[6]
เขาชื่นชอบวรรณกรรม และมีรายงานว่าใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงเกษียณไปกับการอ่านหนังสือที่ไม่มีเวลาอ่านในขณะดำรงตำแหน่ง เขาสีซอเอ้อร์หู เครื่องดนตรีที่คล้ายกับไวโอลินสองสาย เขาชื่นชอบงิ้วปักกิ่ง และครั้งหนึ่งเคยปรากฏตัวบนเวทีในฐานะนักแสดง[48]
เหลา อัน ภรรยาของเขา เคยดำรงตำแหน่งรองประธานคณะกรรมการบริหารของบริษัท China International Engineering and Consulting เธอและจูเรียนด้วยกันสองสถาบัน คือที่โรงเรียนมัธยมหูหนานแห่งที่ 1 และต่อมาที่มหาวิทยาลัยชิงหฺวา พวกเขามีบุตรสองคน เป็นบุตรชายหนึ่งคนและบุตรสาวหนึ่งคน[6] จู ยฺหวินไหล บุตรชายของพวกเขา เกิดใน ค.ศ. 1957[49] เขาเคยเป็นประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของหนึ่งในธนาคารเพื่อการลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของจีน คือ China International Capital Corp.[50] จู เยี่ยนไหล บุตรสาวของพวกเขา เกิดใน ค.ศ. 1956[51] ปัจจุบันเธอดำรงตำแหน่งผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหารของธนาคารแห่งประเทศจีน (ฮ่องกง) (Bank of China (Hong Kong)) และเป็นสมาชิกในคณะกรรมาธิการแห่งชาติประจำสภาที่ปรึกษาการเมืองประชาชนจีน[46]
สิ่งสืบทอด
แก้บทบาทของจูในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปเศรษฐกิจแบบตลาดเสรีนั้นเป็นที่ถกเถียงกัน ก่อนเขาจะเกษียณ จูยอมรับต่อสาธารณะว่าเขาไม่สามารถทำการปฏิรูปที่ต้องการให้สำเร็จได้หลายอย่างก่อนวาระของเขาจะสิ้นสุดลง ใน ค.ศ. 2003 เขากล่าวสุนทรพจน์นาน 90 นาทีต่อผู้แทนหลายพันคนในมหาศาลาประชาชน โดยสรุปถึง "ความยากลำบากและปัญหาที่โดดเด่น" ซึ่งเขาคาดว่าเวิน เจียเป่า ผู้สืบทอดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเขาจะต้องเผชิญ[33] หลังจูเกษียณ เวินพยายามสานต่อการปฏิรูปหลายอย่างที่จูริเริ่มและออกแบบ โดยการสร้างและเพิ่มอำนาจของคณะกรรมการกำกับดูแลอิสระและการปรับโครงสร้างระบบรัฐการบนพื้นฐานของคุณธรรม[21] การปฏิรูปบางส่วนของจูถูกยกเลิกภายใต้การนำของหู จิ่นเทา และการปฏิรูปอื่น ๆ ที่เขาหวังว่ารัฐบาลชุดใหม่จะดำเนินการก็ไม่ได้ถูกนำไปปฏิบัติ ที่น่าสังเกตคือ รัฐวิสาหกิจได้รับอนุญาตให้เติบโตอีกครั้งและยังคงมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจจีน และภาคธนาคารส่วนใหญ่ยังคงไม่ถูกกำกับดูแล หูอาจเปลี่ยนจุดยืนเดิมของรัฐบาลจีนและส่งเสริมรัฐวิสาหกิจเพื่อส่งเสริมเสถียรภาพทางสังคม[34] ในระหว่างที่เวินดำรงตำแหน่ง การปฏิรูปหลายอย่างที่จูเสนอได้รับการต่อต้านจากรัฐมนตรีสายอนุรักษนิยม โดยเฉพาะปั๋ว ซีไหล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์[21] ตำแหน่งหัวหน้าธนาคารกลางของจูถูกมอบให้กับโจว เสี่ยวชวน คนสนิทของเขา และความเห็นของจูยังคงมีอิทธิพลบางส่วนในภาคการเงินของจีนหลังการเกษียณของเขา[52]
ในบรรดาผู้นำต่างชาติที่เขาพบและเจรจาด้วยในฐานะนายกรัฐมนตรี เขาได้รับชื่อเสียงในด้านสติปัญญา พลังงาน ความไม่อดทนต่อความไร้ความสามารถ ความเฉลียวฉลาด และในฐานะบุคคลที่ต้องได้รับการเคารพ แม้แต่ในหมู่ผู้ไม่ชอบเขา นักข่าวตั้งข้อสังเกตถึงความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างเชี่ยวชาญและอารมณ์ขันที่ "น่าประทับใจ"[8] เมื่อถึงเวลาที่เขาเกษียณ จูเป็นที่นิยมอย่างเห็นได้ชัดมากกว่าหลี่ เผิง ผู้ดำรงตำแหน่งก่อนหน้าเขา ทั้งในจีนและต่างประเทศ นักเศรษฐศาสตร์ตั้งข้อสังเกตว่าตลอดระยะเวลาที่เขาดำรงตำแหน่ง เขาแสดงให้เห็นว่ามีความสามารถในการบริหารเศรษฐกิจได้ดีกว่าหลี่ เผิงมาก[33]
จูเป็นที่รู้จักกันดีจากความพยายามต่อสู้กับการทุจริตของเจ้าหน้าที่ แต่ไม่สามารถยับยั้งการทุจริตของเจ้าหน้าที่ได้ตลอดวาระการดำรงตำแหน่งของเขา ภายหลังการประชุมสภาแห่งชาติพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 18 ใน ค.ศ. 2012 หวัง ฉีชาน ศิษย์คนหนึ่งของจู ได้ขึ้นเป็นหัวหน้าคณะกรรมการสอบวินัยส่วนกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีน องค์กรหลักของพรรคคอมมิวนิสต์ที่รับผิดชอบการสอบสวนการทุจริตภายในพรรค[53] จูออกมาสนับสนุนการรณรงค์ต่อต้านการทุจริตของเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน สี จิ้นผิง ซึ่งหวังมีบทบาทสำคัญในการนี้ เขาไม่ได้ปรากฏตัวในงานฉลองครบรอบ 70 ปีการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 2019 22 วันก่อนวันเกิดปีที่ 91 ของเขา เขายังไม่ได้ปรากฏตัวในงานฉลองครบรอบ 100 ปีการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนในวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2021 เขาไม่ได้เข้าร่วมงานพร้อมกับเจียง เจ๋อหมิน อดีตเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน และหลัว ก้าน อดีตสมาชิกกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีน เขาฉลองวันเกิดปีที่ 92 ของเขาในวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 2020 ในช่วงการระบาดทั่วของโควิด-19[46]
ดูเพิ่ม
แก้อ้างอิง
แก้- ↑ "朱镕基90岁了 致敬他不悲观涉险滩敢担当的精气神". 23 October 2018. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-07-02. สืบค้นเมื่อ 2018-10-23.
- ↑ "老院长朱镕基:人生九十,不忘初心_清华经管学院". Sohu. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-07-06. สืบค้นเมื่อ 2018-10-23.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 3.5 3.6 3.7 3.8 Song 429
- ↑ 4.0 4.1 4.2 McCarthy
- ↑ 5.0 5.1 5.2 Lee 141
- ↑ 6.0 6.1 6.2 6.3 People's Daily
- ↑ 7.0 7.1 7.2 7.3 Dumbaugh and Martin 8
- ↑ 8.00 8.01 8.02 8.03 8.04 8.05 8.06 8.07 8.08 8.09 8.10 8.11 8.12 8.13 8.14 8.15 Weatherley 180
- ↑ 9.0 9.1 Zhang
- ↑ 10.0 10.1 10.2 10.3 10.4 10.5 10.6 10.7 Liu, Zongyuan Zoe (2023). Sovereign Funds: How the Communist Party of China Finances its Global Ambitions. The Belknap Press of Harvard University Press. doi:10.2307/jj.2915805. ISBN 9780674271913. JSTOR jj.2915805. S2CID 259402050.
- ↑ 11.0 11.1 11.2 11.3 11.4 Lampton, David M. (2024). Living U.S.-China Relations: From Cold War to Cold War. Lanham, MD: Rowman & Littlefield. ISBN 978-1-5381-8725-8.
- ↑ Center on U.S.-China Relations
- ↑ 13.0 13.1 Minami, Kazushi (2024). People's Diplomacy: How Americans and Chinese Transformed US-China Relations during the Cold War. Ithaca, NY: Cornell University Press. ISBN 9781501774157.
- ↑ National Committee on United States-China Relations
- ↑ 15.0 15.1 LaMoshi
- ↑ Schmidt xiii
- ↑ 17.0 17.1 17.2 Song 429–430
- ↑ 18.0 18.1 Foley
- ↑ Mackerras, McMillen, & Watson 137
- ↑ CNN.com
- ↑ 21.0 21.1 21.2 21.3 21.4 21.5 Chen Zhenzhen
- ↑ Lam 1
- ↑ Manthorpe 118
- ↑ Heilmann, Sebastian (2018). Red Swan: How Unorthodox Policy-Making Facilitated China's Rise. The Chinese University of Hong Kong Press. ISBN 978-962-996-827-4.
- ↑ Schell & Delury 337
- ↑ Schell & Delury 337–340
- ↑ Schell & Delury 340–341
- ↑ Schell & Delury 342–343
- ↑ 29.0 29.1 29.2 29.3 Song 430
- ↑ 30.0 30.1 Schmidt xiv
- ↑ Lee 143
- ↑ 32.0 32.1 32.2 Hirata, Koji (2024). Making Mao's Steelworks: Industrial Manchuria and the Transnational Origins of Chinese Socialism. Cambridge Studies in the History of the People's Republic of China series. New York, NY: Cambridge University Press. ISBN 978-1-009-38227-4.
- ↑ 33.0 33.1 33.2 The Economist
- ↑ 34.0 34.1 34.2 Pesek
- ↑ 35.0 35.1 Lee 142
- ↑ Lee 142–143
- ↑ China.org.cn
- ↑ peggy shi (2018-04-03). "谈台湾问题拿林肯举例不惜一战 逼克林顿声明一个中国政策". YouTube.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-05-28. สืบค้นเมื่อ 2019-01-17.
- ↑ Lai 104
- ↑ AP and Reuters
- ↑ 41.0 41.1 41.2 Roach, Stephen S. (2022). Accidental Conflict: America, China, and the Clash of False Narratives. New Haven: Yale University Press. doi:10.12987/9780300269017. ISBN 978-0-300-26901-7. JSTOR j.ctv2z0vv2v. OCLC 1347023475.
- ↑ Lee 144
- ↑ 43.0 43.1 43.2 43.3 Yu
- ↑ Liu
- ↑ Kissinger & Schmidt
- ↑ 46.0 46.1 46.2 Chen Chu-chun
- ↑ Wei, Lingling (2022-03-15). "Rollback of Xi Jinping's Economic Campaign Exposes Cracks in His Power". The Wall Street Journal (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0099-9660. สืบค้นเมื่อ 2023-06-28.
- ↑ Lee 143–144
- ↑ 朱鎔基儿子朱云来中金简历简介(照片) เก็บถาวร พฤศจิกายน 23, 2010 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ Yue
- ↑ Yanlai Zhu: Executive Profile & Biography - Businessweek[ลิงก์เสีย]
- ↑ Barron
- ↑ Wu
ก่อนหน้า | จู หรงจี | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
หลี่ เผิง | นายกรัฐมนตรีจีน (พ.ศ. 2541-2546) |
เวิน เจียเป่า |