งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ–ธรรมศาสตร์

ฟุตบอลประเพณีระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ หรือ งานฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์-จุฬาฯ[a] เป็นการแข่งขันฟุตบอลประเพณีระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2 มหาวิทยาลัยเก่าแก่ของประเทศไทย เริ่มจัดกิจกรรมครั้งแรกในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2477[1] แต่ละมหาวิทยาลัยจะสลับกันเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันทุกปี ชื่อของมหาวิทยาลัยที่เป็นเจ้าภาพจะได้รับเกียรติให้ขึ้นต้นชื่องานฟุตบอลประเพณีในปีนั้น สถานที่จัดการแข่งขันจะไม่สลับตามเจ้าภาพ แต่จะจัดงานที่สนามศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติ ถนนพระรามที่ 1 แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร เป็นประจำทุกปี กองเชียร์ของมหาวิทยาลัยเจ้าภาพจะใช้อัฒจันทร์ฝั่งทิศเหนือ อีกฝ่ายจะใช้อัฒจันทร์ฝั่งทิศใต้

งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ–ธรรมศาสตร์
พิธีเปิดงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 71
Native nameงานบอล
กีฬาฟุตบอล
ทีม2
พบกันครั้งแรก4 ธันวาคม พ.ศ. 2477
พบกันครั้งล่าสุด8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563
พบกันครั้งต่อไปรอประกาศ
ถ่ายทอดสดไทยรัฐทีวี
สนามสนามกีฬาแห่งชาติ
รางวัลถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
สถิติ
การพบกันทั้งหมด74 ครั้ง
ชนะสูงสุดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Longest win streakมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ–ธรรมศาสตร์
Chula–Thammasat Traditional Football Match
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ข้อมูลทั่วไป
ครั้งแรก 4 ธันวาคม พ.ศ. 2477
สนามแข่งขันแรก สนามหลวง
ทีมชนะเลิศปัจจุบัน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เจ้าภาพครั้งล่าสุด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ชนะเลิศติดต่อกันนานที่สุด มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สนาม สนามกีฬาแห่งชาติ
ถ่ายทอดสด โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย (ครั้งที่ 1-71)

ไทยรัฐทีวี (ตั้งแต่ครั้งที่ 72)

สัญลักษณ์ของจุฬาฯ พระเกี้ยว
สัญลักษณ์ของธรรมศาสตร์ ธรรมจักร
จำนวนครั้งที่ชนะ
จุฬา ธรรมศาสตร์
18 24
จำนวนครั้งที่เสมอ
32
งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ–ธรรมศาสตร์
พิธีเปิดงานฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์-จุฬาฯ ครั้งที่ 71
ก่อตั้ง4 ธันวาคม พ.ศ. 2477 (ธรรมศาสตร์)
จัดขึ้นทุก1 ปี
ครั้งล่าสุด8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 (จุฬาฯ)
วัตถุประสงค์เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างนิสิตจุฬาฯ กับนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สำนักงานใหญ่สนามศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติ
หมายเหตุชื่อมหาวิทยาลัยใดนำหน้าเป็นเจ้าภาพ

กิจกรรมภายในงานอาจแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ การแข่งขันฟุตบอล และกิจกรรมเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างนิสิตจุฬาฯ กับนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เช่น การเดินพาเหรด การเชียร์ การแปรอักษร ขบวนพาเหรดล้อการเมืองและกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์[2] ในทุกๆ ปี บรรยากาศภายในงานจะถ่ายทอดสดผ่านทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ตามลำดับ ยกเว้น ครั้งที่ 70 (มีการถ่ายทอดสดผ่านทางช่องไบรต์ทีวีร่วมอยู่ด้วย) และ ครั้งที่ 72 และ 74 ที่ถ่ายทอดสดเฉพาะช่องไทยรัฐทีวีในระบบความคมชัดสูง[3] รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจากการจัดงานทุกปีจะนำไปบริจาคเป็นสาธารณกุศล[1]

ผลการแข่งขันถึงปัจจุบัน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ชนะ 24 ครั้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยชนะ 18 ครั้ง และเสมอกัน 32 ครั้ง (ไม่นับรวมการแข่งขันฟุตบอลสานสัมพันธ์จุฬาฯ–ธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2567 ซึ่งเป็นการแข่งขันโดยตรงระหว่างนิสิตและนักศึกษาของมหาวิทยาลัย)

ประวัติ แก้

 
พิธีเปิดการแข่งขันครั้งที่ 66 อัฒจันทร์ฝั่งตรงข้ามในภาพเป็นของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ–ธรรมศาสตร์ ได้จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2477 โดยกลุ่มนักเรียนโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เพื่อสร้างความสามัคคีนิสิตในหมู่นิสิตนักศึกษาทั้งสองมหาวิทยาลัย เนื่องจากมุมมองของนักเรียนในสมัยก่อนว่า ผู้เข้าศึกษาในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสำเร็จมัธยมศึกษา ส่วนผู้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (ชื่อในขณะนั้น) ไม่สำเร็จมัธยมศึกษา ทำให้มีการดูถูกกันหรือไม่สนิทสนมกันเหมือนเดิม จึงเป็นแรงบันดาลใจให้นิสิตนักศึกษาทั้งสองมหาวิทยาลัยจัดกิจกรรมสานความสามัคคีและสร้างความปรองดองระหว่างกัน โดยมีแบบอย่างจากการแข่งขันเรือประเพณีระหว่างมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดและมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ในสหราชอาณาจักร และการแข่งขันเบสบอลประเพณีระหว่างมหาวิทยาลัยเคโอและมหาวิทยาลัยวาเซดะในประเทศญี่ปุ่น แต่กลุ่มผู้ริเริ่มถนัดและสนใจกีฬาฟุตบอลมาตั้งแต่เมื่ออยู่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย จึงตกลงที่จะจัดการแข่งขันฟุตบอลขึ้น

ผู้ริเริ่มฝ่ายจุฬาฯ ประกอบด้วย ประถม ชาญสันต์ เป็นหัวหน้านิสิตคณะอักษรศาสตร์ในขณะนั้น กับทั้งประสงค์ ชัยพรรค และประยุทธ์ สวัสดิ์สิงห์ เวลานั้น หม่อมราชวงศ์สุมนชาติ สวัสดิวัฒน์ นายกสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำเรื่องเสนอผ่านกองกิจการนิสิตซึ่งมีหม่อมราชวงศ์สลับ ลดาวัลย์ เป็นผู้รับผิดชอบ เพื่อขออนุมัติจัดงานจากอธิการบดี ส่วนผู้ริเริ่มฝ่ายธรรมศาสตร์ คือ ต่อศักดิ์ ยมนาค และบุศย์ สิมะเสถียร ได้ทำเรื่องเสนอเดือน บุนนาค เลขาธิการมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เพื่อขออนุมัติจากผู้ประศาสน์การ เมื่อได้รับฉันทานุมัติจากมหาวิทยาลัยทั้งสองแล้ว งานก็ได้เริ่มขึ้นโดยมีธรรมศาสตร์เป็นเจ้าภาพ จัดที่ท้องสนามหลวงเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2477 และมีการเก็บค่าผ่านประตูคนละ 1 บาท รายได้ทั้งหมดมอบให้แก่สมาคมปราบวัณโรคซึ่งเป็นโรคที่ร้ายแรงที่สุดในขณะนั้น

ปีต่อมา ย้ายสถานที่จัดการแข่งขันมายังสนามฟุตบอลโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย จนปี พ.ศ. 2492 ย้ายมาที่สนามศุภชลาศัยถึงปัจจุบัน รายได้ที่เหลือจากการหักค่าใช้จ่ายแล้วมอบให้แก่หน่วยงานการกุศลทุกครั้ง จนปี พ.ศ. 2521 จึงเริ่มนำรายได้ถวายพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย

การพระราชทานถ้วยรางวัลมีขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2492 เมื่อสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เสด็จมาเป็นองค์ประธาน จนปี พ.ศ. 2495 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินมาเป็นองค์ประธานและพระราชทานถ้วยรางวัลด้วยพระองค์เอง แต่ปัจจุบัน โปรดให้ผู้แทนพระองค์มาแทน

 
อัฒจันทร์ฝั่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แปรอักษร

เหตุการณ์ที่ทำให้ต้องยกเลิกการจัดงานฟุตบอลประเพณีมีหลายครั้ง เช่น พ.ศ. 2485 เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ทั่วกรุงเทพมหานคร, พ.ศ. 2487–2491 เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา, พ.ศ. 2494 เกิดกบฏแมนฮัตตัน, พ.ศ. 2516 – 2518 องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เห็นว่าการจัดงานฟุตบอลประเพณีใช้งบประมาณมาก เป็นกิจกรรมที่ฟุ่มเฟือย, พ.ศ. 2557 เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง, พ.ศ. 2560 ยกเลิกกิจกรรมเพื่อเป็นการแสดงความอาลัยในช่วงพระราชพิธีพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร, ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 – 2567 ยกเลิกกิจกรรมเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และ งานฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์-จุฬาฯ ครั้งที่ 75 ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด ส่วนในปี พ.ศ. 2567 มีการแข่งขัน ฟุตบอลสานสัมพันธ์จุฬาฯ–ธรรมศาสตร์ ซึ่งไม่ใช่งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ–ธรรมศาสตร์ แต่อย่างใด

เอกลักษณ์เด่น แก้

ขบวนพาเหรด แก้

ตามธรรมเนียมก่อนเข้าสู่การแข่งขัน จะมีการเดินพาเหรดขบวนล้อการเมือง โดยกลุ่มอิสระล้อการเมือง ม.ธรรมศาสตร์ เป็นส่วนหนึ่งในงานฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์-จุฬาฯ เป็นสิ่งแสดงความคิดความอ่านทางการเมืองของนักศึกษาที่จะต้องโตขึ้นไปอยู่ในสังคมที่ถูกขับเคลื่อนโดยแรงขับทางการเมือง ไม่ว่าจะด้านเศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรม ดังนั้น การทำล้อการเมืองแสดงผ่านหุ่น ผ่านข้อความในป้ายผ้า เป็นบทกลอน จะสะท้อนความคิดเห็นของนักศึกษาหลากหลายคณะในมหาวิทยาลัยจากการเรียนในวิชาต่างๆ ออกมาเป็นตัวหุ่น เป็นป้ายผ้า ซึ่งล้อการเมืองมีมาทุกสมัย ไม่ว่าจะเป็นในยุครัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง หรือรัฐบาลสมัยประชาธิปไตยครึ่งใบ หรือรัฐบาลที่มาจากเสียงข้างมากกว่าหลายล้านเสียงก็ตาม ตรงนี้ล้อการเมืองก็ยังอยู่มาเรื่อยๆ ซึ่งเป็นบรรทัดฐานของการล้อที่ไม่ว่าการเมืองจะเป็นอย่างไร ล้อการเมืองจะไม่ขาดช่วงไปจากสังคมไทย[4]

ในขณะที่ขบวนสะท้อนสังคม ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รับผิดชอบโดยกลุ่มสะท้อนสังคม เป็นการนำปัญหาของสังคมที่เกิดในรอบปี โดยการนำเสนอผ่านงานศิลปะ อาทิตัวหุ่น และป้ายผ้า ซึ่งการสะท้อนสังคมเป็นหนึ่งในกระบอกเสียงที่สามารถทำได้ในฐานะนิสิต โดยเป็นการแสดงความคิดเห็นที่ไม่มีถูกผิด เพียงแค่ต้องอยู่ในกรอบเท่านั้น[5]

ทั้งขบวนล้อการเมือง และขบวนสะท้อนสังคม มีจุดประสงค์เพื่อเป็นเสมือนกระจกที่สะท้อนถึงปัญหาที่เกิดขึ้นภายในสังคม โดยนำเสนอภายใต้ขอบเขต ซึ่งจะไม่โจมตีไปที่ใครคนใดคนหนึ่ง เพื่อให้นิสิต-นักศึกษา ตลอดจนประชาชนทั่วไป ได้ตระหนักและตื่นตัวต่อปัญหา/สถานการณ์ที่เกิดขึ้น และร่วมกันหาทางแก้ไขเพื่อให้สังคมมีความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้น

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แก้

 
ขบวนอัญเชิญพระเกี้ยว

การอัญเชิญพระเกี้ยว แก้

การอัญเชิญพระเกี้ยวปรากฏหลักฐานครั้งแรกในหนังสือพิมพ์สยามนิกร (พิเศษ) ฉบับวันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2507 โดยมีนิสิตหญิง 1 คน เป็นผู้อัญเชิญ โดยการอัญเชิญพระเกี้ยวเข้ามาสู่สนามการแข่งขันเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่นักกีฬาและกองเชียร์ โดยจะคัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเป็นนิสิตชาย 1 คน และ นิสิตหญิง 1 คน เพื่อเป็นตัวแทนบรรดานิสิตอัญเชิญพระเกี้ยวเข้าสู่สนามแข่งขัน ถึงแม้ว่านิสิตทุกคนต่างมีฐานะเป็นผู้อัญเชิญพระเกี้ยว[6] แต่เนื่องจากในทางปฏิบัตินั้นไม่สามารถให้ทุกคนเป็นผู้อัญเชิญพระเกี้ยวได้ จึงต้องคัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเป็นตัวแทนนิสิตเพื่อทำหน้าที่นี้[7]

อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2564 องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) มีมติในการประชุมสามัญ 29:0 เสียง เห็นควรให้มีการยกเลิกกิจกรรมการคัดเลือกผู้อัญเชิญพระเกี้ยวในงานฟุตบอลประเพณีฯ เนื่องจากเห็นว่าเป็นธรรมเนียมที่สะท้อนถึงความไม่เท่าเทียม และพบว่ามีการบังคับนิสิตให้มาแบกเสลี่ยงโดยอ้างว่าจะมีผลต่อคะแนนการคัดเลือกผู้มีสิทธิ์ใช้หอพัก[8]

ประธานเชียร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แก้

ผู้นำเชียร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยหรือฝั่งจุฬาจะเรียกว่า "ประธานเชียร์" นอกจากจะทำหน้าที่นำเชียร์ ควบคุมจังหวะการร้องเพลงเชียร์ของสแตนด์แล้ว ยังทำหน้าที่เป็นตัวแทนของนิสิตจุฬา ในการประชาสัมพันธ์งานฟุตบอลประเพณีฯ และบำเพ็ญประโยชน์แก่สาธารณะอีกด้วย ในระยะแรกนั้นผู้นำเชียร์หรือประธานเชียร์จะเป็นผู้ให้จังหวะปรบมือแก่กองเชียร์ ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงท่าทางของผู้นำเชียร์ขึ้นใหม่ โดยเน้นหลักการสำคัญของผู้นำเชียร์แห่งจุฬาฯ นั้น มี 5 ประการ ได้แก่ การให้จังหวะ การควบคุมกองเชียร์ ความสวยงาม ความพร้อมเพรียง และรูปแบบในการนำเสนอ มีการแต่งตัวให้สวยงาม สร้างสีสันให้กับสแตนด์เชียร์ การสรรหาผู้นำเชียร์ฯ จากการเปิดรับสมัครคัดเลือกอย่างเป็นทางการจากนิสิตทั่วไป ไม่จำกัดคณะและชั้นปี ในแต่ละปีนั้นมีจำนวนผู้ผ่านการคัดเลือกแตกต่างกันออกไปตามความเหมาะสมของผู้สมัครในปีนั้น ๆ โดยทั่วไปแล้วมักมีจำนวนเฉลี่ยรุ่นละ 11-13 คน

จุฬาฯ คทากร แก้

จุฬาฯคทากรมีหน้าที่หลักคือ การเดินนำขบวนพาเหรดของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นอกจากนั้นยังมีหน้าที่แสดงควงคทาประกอบเพลงประจำมหาวิทยาลัยอีกด้วย

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แก้

ทูตกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ แก้

 
อัฒจันทร์ฝั่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ขณะกำลังแปรอักษรว่า "รัก CU นะ"

ในอดีตผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำในขบวนอัญเชิญธรรมจักร ถ้วยพระราชทาน ป้ายนามมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง และดรัมเมเยอร์ ได้มาจากการคัดเลือกเช่นเดียวกับการอัญเชิญพระเกี้ยวของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนกระทั่งหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาในปี พ.ศ. 2516 ประเพณีการคัดเลือกก็ได้งดไป เนื่องจากถูกมองว่าเป็นความฟุ่มเฟือยและเกิดเป็นที่มาของคำขวัญว่า "ธรรมจักรเป็นของชาวธรรมศาสตร์ทุกคน ทุกคนจึงมีสิทธิในการอัญเชิญได้" จึงคงไว้เพียงขบวนอัญเชิญธรรมจักรและรับสมัครทุกคนที่สนใจร่วมแบกเสลี่ยงอัญเชิญโดยไม่มีผู้แทน จนกระทั่งปี พ.ศ. 2544 สมาคมธรรมศาสตร์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ฟื้นฟูผู้นำในขบวนอัญเชิญธรรมจักรและดรัมเมเยอร์และทำหน้าที่ในการบำเพ็ญประโยชน์ ตลอดจนการรณรงค์และส่งเสริมให้นักศึกษาร่วมทำกิจกรรมเพื่อสังคมกันมากขึ้นกลับมา ในชื่อว่า "ทูตกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" โดยเริ่มตั้งแต่ 2545 เป็นต้นมา หน้าที่ของทูตกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์คือเป็นตัวแทนนักศึกษาในการนำขบวนพาเหรดทั้งหมดของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เข้าสู่สนาม โดยเป็นผู้อัญเชิญป้ายนามมหาวิทยาลัย ถ้วยพระราชทาน อัญเชิญพานพุ่มนำขบวนอัญเชิญธรรมจักรและดรัมเมเยอร์ รวมถึงการบำเพ็ญประโยชน์ทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย การคัดเลือกทูตกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะพิจารณาถึงทั้งลักษณะ บุคลิก ความรู้ความสามารถ ทั้งในด้านการเรียน และในความรู้เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ การมีจิตอาสา มีคุณธรรมและพร้อมที่จะช่วยเหลือแก่สังคม

แม่ทัพเชียร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แก้

ผู้นำเชียร์แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์หรือฝั่งธรรมศาสตร์จะเรียกว่า "แม่ทัพเชียร์" เป็นตัวแทนนักศึกษาของมหาวิทยาลัยสำหรับทำหน้านำกองเชียร์ร้องเพลงส่งเสียงเชียร์ ประกอบรหัส สัญญาณ การเคลื่อนไหวร่างกาย หรืออุปกรณ์ เพื่อความพร้อมเพรียง ความสวยงาม และความสนุกสนานของการเชียร์และแปรอักษร โดยทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีแนวคิดและต้นแบบแรงบันดาลใจจาก ผู้ควบคุมวงดนตรีหรือวาทยากร ที่ทำหน้าที่นำการเล่นดนตรีวงใหญ่หรือการร้องประสานเสียง ผู้นำเชียร์นั้นนอกจากจะมีท่วงท่าสง่างาม ยังมีรหัสสัญญาณมือที่สื่อความหมายสามารถประยุกต์ใช้กับการร้องเพลงเป็นหมู่คณะของกองเชียร์

เพลงประจำการแข่งขัน แก้

  • เพลงพระราชนิพนธ์ของทั้งสองมหาวิทยาลัย
    • เพลงของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คือ เพลงพระราชนิพนธ์ยูงทอง
    • เพลงของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คือ เพลงพระราชนิพนธ์มหาจุฬาลงกรณ์
  • เพลงจามจุรีประดับโดมในดวงใจ เป็นการนำเพลงของทั้งสองมหาวิทยาลัยมาร่วมกันคือเพลงจามจุรีประดับใจ และเพลงโดมในดวงใจ
  • เพลงชั่วดินฟ้า เป็นเพลงของจุฬา และธรรมศาสตร์บอกถึงความรักความสามัคคีของทั้งสองสถาบันนี้
  • เพลงธรรมศาสตร์-จุฬา สามัคคี แต่งโดยจิตร ภูมิศักดิ์
  • เพลงธรรมศาสตร์-จุฬา ภาราดรณ์ ไม่ปรากฏผู้แต่ง

ผลการแข่งขัน แก้

ผลการแข่งขันจนนับจากปี พ.ศ. 2477 ถึงปัจจุบัน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชนะ 24 ครั้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชนะ 18 ครั้ง และเสมอกัน 33 ครั้ง ดังนี้[9]

จุฬาฯ ชนะ ธรรมศาสตร์ชนะ เสมอ
ครั้งที่ วันที่ ฝ่ายที่ชนะ จำนวนประตู
1 4 ธันวาคม พ.ศ. 2477 เสมอ 1–1
2 พ.ศ. 2478 เสมอ 3–3
3 พ.ศ. 2479 ธรรมศาสตร์ 4–1
4 พ.ศ. 2480 ธรรมศาสตร์ 2–1
5 พ.ศ. 2481 ธรรมศาสตร์ 2–1
6 พ.ศ. 2482 เสมอ 0–0
7 พ.ศ. 2483 เสมอ 2–2
8 พ.ศ. 2484 จุฬาฯ 2–0
9 พ.ศ. 2486 จุฬาฯ 3–1
10 30 ธันวาคม พ.ศ. 2492 ธรรมศาสตร์ 3–2
11 30 ธันวาคม พ.ศ. 2493 จุฬาฯ 5–3
12 27 ธันวาคม พ.ศ. 2495 เสมอ 0–0
13 19 ธันวาคม พ.ศ. 2496 ธรรมศาสตร์ 3–1
14 25 ธันวาคม พ.ศ. 2497 จุฬาฯ 1–0
15 24 ธันวาคม พ.ศ. 2498 เสมอ 2–2
16 25 ธันวาคม พ.ศ. 2499 เสมอ 0–0
17 21 ธันวาคม พ.ศ. 2500 ธรรมศาสตร์ 3–1
18 20 ธันวาคม พ.ศ. 2501 จุฬาฯ 3–2
19 26 ธันวาคม พ.ศ. 2502 ธรรมศาสตร์ 2–1
20 27 ธันวาคม พ.ศ. 2503 เสมอ 1–1
21 23 ธันวาคม พ.ศ. 2504 เสมอ 1–1
22 22 ธันวาคม พ.ศ. 2505 เสมอ 0–0
23 8 มกราคม พ.ศ. 2506 ธรรมศาสตร์ 3–1
24 26 ธันวาคม พ.ศ. 2507 ธรรมศาสตร์ 3–0
25 25 ธันวาคม พ.ศ. 2508 ธรรมศาสตร์ 2–1
26 24 ธันวาคม พ.ศ. 2509 ธรรมศาสตร์ 2–0
27 30 ธันวาคม พ.ศ. 2510 เสมอ 1–1
28 21 ธันวาคม พ.ศ. 2511 จุฬาฯ 2–0
29 27 ธันวาคม พ.ศ. 2512 ธรรมศาสตร์ 1–0
30 30 มกราคม พ.ศ. 2514 เสมอ 0–0
31 29 มกราคม พ.ศ. 2515 ธรรมศาสตร์ 4–0
32 23 ธันวาคม พ.ศ. 2515 ธรรมศาสตร์ 2–1
33 31 มกราคม พ.ศ. 2519 ธรรมศาสตร์ 2–0
34 21 มกราคม พ.ศ. 2521 ธรรมศาสตร์ 1–0
35 20 ธันวาคม พ.ศ. 2522 จุฬาฯ 2–0
36 20 มกราคม พ.ศ. 2523 เสมอ 0–0
37 31 มกราคม พ.ศ. 2524 เสมอ 1–1
ครั้งที่ วันที่ ฝ่ายที่ชนะ จำนวนประตู
38 27 มกราคม พ.ศ. 2525 เสมอ 2–2
39 29 มกราคม พ.ศ. 2526 เสมอ 1–1
40 21 มกราคม พ.ศ. 2527 ธรรมศาสตร์ 1–0
41 27 มกราคม พ.ศ. 2528 เสมอ 1–1
42 26 มกราคม พ.ศ. 2529 เสมอ 1–1
43 25 มกราคม พ.ศ. 2530 ธรรมศาสตร์ 1–0
44 30 มกราคม พ.ศ. 2531 จุฬาฯ 2–1
45 21 มกราคม พ.ศ. 2532 จุฬาฯ 2–0
46 20 มกราคม พ.ศ. 2533 1-1
47 19 มกราคม พ.ศ. 2534 เสมอ 0–0
48 18 มกราคม พ.ศ. 2535 เสมอ 1–1
49 23 มกราคม พ.ศ. 2536 ธรรมศาสตร์ 2–1
50 22 มกราคม พ.ศ. 2537 เสมอ 2–2
51 21 มกราคม พ.ศ. 2538 จุฬาฯ 2–1
52 20 มกราคม พ.ศ. 2539 ธรรมศาสตร์ 1–0
53 18 มกราคม พ.ศ. 2540 เสมอ 1–1
54 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541 เสมอ 0–0
55 23 มกราคม พ.ศ. 2542 จุฬาฯ 2–1
56 15 มกราคม พ.ศ. 2543 เสมอ 0–0
57 20 มกราคม พ.ศ. 2544 จุฬาฯ 2–0
58 19 มกราคม พ.ศ. 2545 เสมอ 2–2
59 25 มกราคม พ.ศ. 2546 เสมอ 0–0
60 24 มกราคม พ.ศ. 2547 เสมอ 0–0
61 22 มกราคม พ.ศ. 2548 ธรรมศาสตร์ 1–0
62 21 มกราคม พ.ศ. 2549 จุฬาฯ 2–0
63 20 มกราคม พ.ศ. 2550 เสมอ 1–1
64 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 เสมอ 0–0
65 31 มกราคม พ.ศ. 2552 ธรรมศาสตร์ 2–0
66 16 มกราคม พ.ศ. 2553 เสมอ 0–0
67 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 จุฬาฯ 3–1
68 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 จุฬาฯ 1–0
69 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 จุฬาฯ 1–0
70 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 ธรรมศาสตร์ 2–0
71 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ธรรมศาสตร์ 5–1
72 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เสมอ 1–1
73 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 จุฬาฯ 2–1
74 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 จุฬาฯ 2–1
75 ยังไม่มีกำหนดการแข่งขัน

เชิงอรรถ แก้

  1. ชื่อมหาวิทยาลัยใดนำหน้าเป็นเจ้าภาพ

อ้างอิง แก้

  1. 1.0 1.1 สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์. “งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์: สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ .” เว็บไซต์ สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์. http://www.cuaa.chula.ac.th/activities/cu-tu-football (2559 ธันวาคม 7 ที่เข้าถึง).
  2. สวัสดิ์ จงกล. “แรกมีในเมืองไทยเกี่ยวกับฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ ธรรมศาสตร์: หอประวัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.” เว็บไซต์ หอประวัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 18 มีนาคม 2553. http://www.memocent.chula.ac.th/article/ฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์/ (8 ธันวาคม 2559 ที่เข้าถึง).
  3. www.thairath.co.th. (2018). จุฬาฯ-มธ. พร้อมลุยบอลประเพณี ไทยรัฐทีวี ถ่ายสด 3 ก.พ.. [online] Available at: https://www.thairath.co.th/content/1174057 [Accessed 2 Feb. 2018].
  4. พาเหรดล้อการเมือง 'สะท้อนสังคม หรือ ท้าทายอำนาจ' ?. 5 กุมภาพันธ์ 2016. https://www.voicetv.co.th/read/322320
  5. พร้อมมากบอลประเพณี! จุฬาฯ เต้นโชว์ ชูคอนเซ็ปต์ตื่นเต้นได้เลือกตั้ง – มธ. งัดเซอร์ไพรส์กลางสนาม. 7 กุมภาพันธ์ 2562. https://www.amarintv.com/news-update/news-16819/335873/
  6. หอประวัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. “การอัญเชิญพระเกี้ยวในงานฟุตบอลประเพณี: หอประวัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.” เว็บไซต์ หอประวัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 7 พฤศจิกายน 2552. http://www.memocent.chula.ac.th/article/อัญเชิญพระเกี้ยว/ (8 ธันวาคม 2559 ที่เข้าถึง).
  7. การอัญเชิญพระเกี้ยวในงานฟุตบอลประเพณี จาก หอประวัติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  8. "ยกเลิกพิธีแบกเสลี่ยง "อัญเชิญพระเกี้ยว" งานบอลจุฬา-ธรรมศาสตร์". คมชัดลึกออนไลน์. 2021-10-23.
  9. ชมพู-เหลืองแสด, ฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์-จุฬาฯ ศึกแห่งตำนาน ศักดิ์ศรี และมิตรภาพ, สยามกีฬา, ปีที่ 28, ฉบับที่ 10184, 20 มกราคม 2556, หน้า 19

ดูเพิ่ม แก้