ครรชิต ทับสุวรรณ

ครรชิต ทับสุวรรณ
ครรชิต ทับสุวรรณ
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด	26 ตุลาคม พ.ศ. 2513 (53 ปี)
พรรคการเมือง	ประชาธิปัตย์
สถานะทางคดี	พ้นโทษ
บทลงโทษ	ประหารชีวิตเปลี่ยนเป็นจำคุกตลอดชีวิตลดโทษเหลือจำคุก 7 ปี
รายละเอียด
ผู้เสียหาย	อุดร ไกรวัตนุสสรณ์
วันที่	25 ธันวาคม พ.ศ. 2554
ประเทศ	ประเทศไทย
รัฐ	จังหวัดสมุทรสาคร
ตำแหน่ง	ปั๊มน้ำมันปตท.สาขากิโลเมตรที่ 2ถนนเศรษฐกิจ 1
วันที่ถูกจับ	27 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ครรชิต ทับสุวรรณ (เกิด 26 ตุลาคม พ.ศ. 2513) เป็นอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสมุทรสาคร เขต 1 ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกในปี พ.ศ. 2550 สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เขาต้องโทษในคดีฆ่านายอุดร ไกรวัตนุสรณ์ อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสาคร เมื่อปี พ.ศ. 2554

ประวัติ แก้

ครรชิต ทับสุวรรณ เกิดเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2513 เป็นบุตรของนายเอนก ทับสุวรรณ อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง และเป็นอดีต ส.ส. สมุทรสาครหลายสมัย กับนางทัศนีย์ ทับสุวรรณ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยรังสิต และปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยคลีฟแลนด์สเตต รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ปัจจุบันมีสถานะโสด^[1]

งานการเมือง แก้

นายครรชิตลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปี พ.ศ. 2550 ในนามพรรคประชาธิปัตย์ และได้รับการเลือกตั้งเป็นครั้งแรก โดยได้รับคะแนนมาเป็นอันดับที่ 2 ของเขต (มี ส.ส. ได้ 3 คน) ต่อมาปี พ.ศ. 2554 ได้รับเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 2 โดยเอาชนะนายอนุสรณ์ ไกรวัตนุสสรณ์ บุตรชายนายมณฑล ไกรวัตนุสสรณ์ อดีตรัฐมนตรี

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แก้

ครรชิต ทับสุวรรณ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว 2 สมัย คือ

คดีความ แก้

เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ 2554 นายอุดร ไกรวัตนุสสรณ์ อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสาคร ถูกยิงเสียชีวิตภายในบริเวณสถานีบริการน้ำมันในจังหวัดสมุทรสาคร ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2557 นายครรชิต ถูกศาลจังหวัดสมุทรสาคร พิพากษาประหารชีวิตจากการเป็นจำเลยในคดีดังกล่าว พร้อมให้ชดใช้สินไหมแก่นายมณฑล ผู้เป็นโจทก์ร่วม นางพอใจ ไกรวัตนุสสรณ์ มารดาของผู้เสียชีวิต นางสาวสุรัจนา ศิลาสุวรรณ ภรรยา และบุตรอีก 2 คนของผู้เสียชีวิต

นายครรชิต ได้ต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2558 ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต จนมาถึงชั้นฏีกาในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2559 ซึ่งศาลฎีกาพิพากษายืนโทษจำคุกตลอดชีวิต รวมถึงชดใช้สินไหมตามคำตัดสินของศาลชั้นต้น^[2]^[3] เขาได้รับการลดโทษรวม 5 ครั้งจนเหลือโทษจำคุก 7 ปี จนกระทั่งเขาพ้นโทษ เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2565^[4] ^[5]