คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อังกฤษ: Faculty of Political Science, Chulalongkorn University) เป็นส่วนราชการไทยระดับคณะวิชา สังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (เดิม: สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ) ถือได้ว่าเป็นคณะวิชาที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ เป็นคณะรัฐศาสตร์แห่งแรกของประเทศไทย และเป็น 1 ใน 4 คณะแรกตั้งของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดทำการเรียนการสอนทั้งในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก อีกทั้งยังเป็นคณะที่ได้รับการเลือกเข้าศึกษาจากผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดจากการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีด้วยระบบ Admission ถึง 4 ปีซ้อน (พ.ศ. 2553 – 2556)[1]

คณะรัฐศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Faculty of Political Science,
Chulalongkorn University
ชื่อย่อร.
สถาปนา30 มีนาคม พ.ศ. 2442 (ก่อตั้งครั้งแรก)
18 สิงหาคม พ.ศ. 2491 (ก่อตั้งใหม่)
คณบดีรศ.ดร.ปกรณ์ ศิริประกอบ
ที่อยู่
วารสารวารสารสังคมศาสตร์
(Journal of Social Science)
เพลงสิงห์ประกาศศักดิ์
สี███ สีดำ
มาสคอต
สิงห์ดำ
เว็บไซต์www.polsci.chula.ac.th

ประวัติ แก้

 
ป้ายคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอาคารสำราญราษฎร์บริรักษ์

คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นับว่าเป็นสถาบันการศึกษาที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย และเป็นคณะที่มีการเรียนการสอนวิชารัฐศาสตร์เป็นแห่งแรก หากเริ่มนับตั้งแต่เวลาก่อตั้งสมัยเริ่มแรก เมื่อ พ.ศ. 2442 จนถึงปัจจุบัน สถาบันแห่งนี้มีอายุยาวนานถึง 123 ปี (พ.ศ. 2565)

คณะรัฐศาสตร์เริ่มก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2442 (ร.ศ. 118) โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เริ่มจัดตั้งสถาบันการศึกษาแห่งนี้ขึ้นโดยพระราชทานนามว่า "โรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือน" โดยรับจากนักเรียนที่สอบผ่าน "ประโยคนักเรียน" มาแล้ว เข้าศึกษา "ประโยควิชา" ต่อเมื่อเรียนจบ "ประโยควิชา" แล้วจึงจะได้รับประกาศนียบัตรของโรงเรียน แล้วต้องออกฝึกราชการตามกระทรวงต่างๆ เพื่อสอบ "ประโยคฝึกหัด" ในขั้นสุดท้าย จึงจะถือว่านักเรียนผู้นั้นสำเร็จวิชาจากสถานศึกษาข้าราชการพลเรือนโดยสมบูรณ์ โรงเรียนนี้ได้เจริญขึ้นเป็นลำดับต่อมาจึงทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นักเรียนในโรงเรียนนี้ถวายตัวเป็นมหาดเล็ก มีตำแหน่งเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทโดยใกล้ชิดและเข้าที่สมาคมในราชการให้มีความคุ้นเคยอีกด้วย

ในปี พ.ศ. 2445 (ร.ศ.121) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเปลี่ยนนามโรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือนเป็น "โรงเรียนมหาดเล็ก" โดยที่ทรงพระราชดำริเห็นว่า นักเรียนโรงเรียนนี้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กทั้งสิ้น และตามประเพณีอันมีมาแต่โบราณข้าราชการ โดยมากยอมถวายตัวศึกษาราชการในกรมมหาดเล็กก่อนที่จะไปรับราชการในกรมอื่น จึงควรให้มีนามโรงเรียนสมแก่นักเรียนที่ได้เป็นมหาดเล็ก โรงเรียนนี้ได้เริ่มเปลี่ยนนามใหม่ เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2445 โดยมีสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ พระยาวิสุทธ์สุริยาศักดิ์ (เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี) และจมื่นศรีสรรักษณ์ (พระยาศรีวรวงษ์) เป็นกรรมการที่ปรึกษา และมีหมื่นศรีสรรักษ์ (พระยาศรีวรวงษ์) เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน

ต่อมาในปี พ.ศ. 2453 (ร.ศ. 129) ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริเห็นว่าการที่จะฝึกนักเรียนในโรงเรียนมหาดเล็กให้ออกมารับราชการในกระทรวงมหาดไทยแต่กระทรวงเดียวนั้นไม่เพียงพอ ควรที่จะขยายการศึกษาให้กว้างขวางยิ่งขึ้น เพื่อส่งผู้ที่สำเร็จการศึกษาออกไปรับราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม และเพื่อเป็นอนุสาวรีย์เฉลิมพระปรมาภิไธยสมเด็จพระบรมชนกาธิราช พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินให้เป็นทุนสำหรับจัดการโรงเรียนต่อไป และทรงพระราชกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามโรงเรียนมหาดเล็กเป็นโรงเรียนข้าราชการพลเรือนพระราชทานนามว่า "โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2453 โดยโรงเรียนนี้กำหนดระยะเวลาเรียน 4 ปี โดยเรียนในชั้นสอน 3 ปี และฝึกงานอีก 1 ปี ต่อมาในวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2459 ได้มีพระบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาโรงเรียนข้าราชการของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นเป็น "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" ซึ่งเมื่อแรกตั้งได้แบ่งออกเป็น 4 คณะ คือ คณะแพทยศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ปัจจุบันคือ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล) คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ และคณะรัฏฐประศาสนศาสตร์ (ชื่อแรกตั้งของคณะรัฐศาสตร์) ส่วนในด้านการศึกษายังเป็นไปในรูปเดิม นอกจากตำแหน่งผู้บังคับบัญชาโรงเรียนซึ่งแต่เดิมเรียกชื่อว่า ผู้อำนวยการโรงเรียนนั้น ได้เปลี่ยนมาใช้นามว่า คณบดี

 
ลักษณะทางกายภาพของคณะรัฐศาสตร์ บริเวณสนามฟุตบอล

ครั้งในปี พ.ศ. 2472 หลังจากที่ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนแล้ว ความนิยมในการเข้าศึกษาในคณะรัฐประศาสนศาสตร์ได้ลดน้อยลง ในปีดังกล่าวนี้มีนักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่เพียง 35 คน เท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากผู้สำเร็จการศึกษาได้รับประกาศนียบัตรออกไปนั้น เมื่อเข้ารับราชการจะได้ตำแหน่งเพียงชั้นราชบุรุษเท่านั้น ซึ่งผู้ที่สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมปีที่ 5 ก็มีสิทธิสอบเข้ารับราชการในตำแหน่งนี้ได้แล้ว ส่วนนักเรียนที่ศึกษาจากคณะรัฐฏประศาสนศาสตร์ นอกจากจะสำเร็จชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มาแล้ว ยังต้องศึกษาในคณะนี้อีกถึง 3 ปี ดังนั้น กระทรวงธรรมการจึงได้นำความทูลเกล้าฯ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อขอพระบรมราชานุญาตให้เลิกคณะนี้เสียเมื่อนักเรียนที่เหลืออยู่สำเร็จการศึกษาหมดแล้ว ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ได้มีพระบรมราชานุญาต

เมื่อกระทรวงธรรมการได้สั่งปฏิบัติการตามกระแสพระบรมราชโองการแล้ว ต่อมามีสมุหเทศาภิบาลและข้าราชการฝ่ายปกครองเป็นอันมากมาร้องทุกข์ว่าควรจะมีการสอนวิชานี้ต่อไป ทั้งกระทรวงมหาดไทยก็เล็งเห็นว่าจะขาดประโยชน์อย่างยิ่งถ้าขาดนักปกครองที่ผลิตจากคณะรัฐฏประศาสนศาสตร์ จึงได้มีการประชุมพิจารณาระหว่างคณะกรรมการดำริรูปการมหาวิทยาลัย ผู้แทนกระทรวงมหาดไทยและผู้แทน ก.ร.พ. (กรรมการพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน) ซึ่งที่ประชุมมีความเห็นพ้องกันว่าควรจะมีการสอนวิชานี้ต่อไป แต่ต้องเปลี่ยนแปลงหลักสูตรการศึกษาเสียใหม่และเปลี่ยนแปลงวิธีการรับนิสิตด้วย นอกจากนั้นได้เสนอความคิดเห็นให้เปลี่ยนชื่อคณะรัฐฏประศาสนศาสตร์ เป็นแผนกวิชาข้าราชการพลเรือน ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชานุญาตตามข้อเสนอ และให้ขึ้นตรงต่อผู้บัญชาการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและหัวหน้าแผนกคือ ผู้อำนวยการ ซึ่งมีฐานะเท่ากับคณบดี

ครั้นต่อมาเมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2476 ได้มีพระบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ตั้งคณะนิติศาสตร์ขึ้นในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยโอนโรงเรียนกฎหมายเข้าสมทบในคณะนิติศาสตร์ด้วย (ต่อมากลายเป็น คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)

ในวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2476 ได้มีประกาศใช้พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง พ.ศ. 2476 ซึ่งมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติฉบับนี้บัญญัติว่า "ให้โอนคณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ในจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ตลอดจนทรัพย์สินและงบประมาณของคณะเหล่านี้มาขึ้นต่อมหาวิทยาลัยนี้ ก่อนวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2477" เป็นอันว่าคณะรัฐฏประศาสนศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้สิ้นสภาพลงตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ต่อมาในปี พ.ศ. 2491 รัฐบาลได้เล็งเห็นความสำคัญของการบริหารประเทศในอันที่จะได้ปฏิบัติราชการที่เพียบพร้อมไปด้วยบุคคลที่มีความรู้ความชำนาญในการปกครองและการบริหารให้มีจำนวนเพียงพอ จึงได้จัดตั้งคณะรัฐศาสตร์ขึ้นในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอีกครั้งหนึ่ง โดยการตราพระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2491 หลังจากที่ได้ยุบเลิกไปเป็นเวลาถึง 15 ปีเศษ และก็ได้เจริญก้าวหน้ามาจนถึงทุกวันนี้

คณะรัฐศาสตร์พัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน บุกเบิกความเป็นสมัยใหม่ทางวิชาการ ไม่เฉพาะในสาขารัฐศาสตร์ แต่ยังพัฒนาไปถึงในสาขาสังคมศาสตร์อื่นๆ ด้วย ในขณะนั้นมีวิชาด้านที่เปิดสอนอยู่หลายสาขา คือ การ ปกครอง การทูต รัฐประศาสนศาสตร์ การคลัง นิติศาสตร์ สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา และประชากรศาสตร์ จนกระทั่งบางสาขาพัฒนามากขึ้นจึงจำเป็นต้องแยกตัวออกไปตั้งเป็นคณะใหม่ โดยแผนกวิชาการคลังรวมกับแผนกวิชาเศรษฐศาสตร์ของคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีตั้งเป็นคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ. 2513 และแผนกวิชานิติศาสตร์ ได้ยกฐานะขึ้นเป็นคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2515 และแผนกสื่อสารมวลชนและการประชาสัมพันธ์ ได้ยกฐานะเป็นแผนกอิสระสื่อสารมวลชนและการประชาสัมพันธ์ และปัจจุบันคือคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นอกจากนั้น สถาบันประชากรศาสตร์ สถาบันวิจัยสังคมสถาบันความมั่นคงและนานาชาติ สถาบันพัฒนานโยบายและ การจัดการ และสถาบันเอเชียศึกษา ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นจากคณะรัฐศาสตร์อีกด้วย

สถานที่ตั้งและพื้นที่ แก้

 
สนามฟุตบอล คณะรัฐศาสตร์

คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีอาณาเขตอยู่ภายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยฝั่งตะวันออกของถนนพญาไท ด้านข้างถนนอังรีดูนังต์ ติดกับสถานเสาวภา สภากาชาดไทย สามารถสังเกตกลุ่มอาคารของคณะได้จากศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย คณะรัฐศาสตร์ติดกับคณะอื่น ๆ ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2 คณะ คือ คณะเศรษฐศาสตร์และคณะวิศวกรรมศาสตร์ อีกทั้งยังตั้งอยู่ตรงข้ามกับคณะแพทยศาสตร์ โดยมีถนนอังรีดูนังต์ตัดขั้น

คณะรัฐศาสตร์ มีพื้นที่สีเขียว ลานสำหรับพักผ่อนและทำกิจกรรมหลายแห่ง อาทิ ลานไทร และลานโจก้า (ภายหลังคือ ลานเสรีภาพ) ซึ่งทั้งสองลานนี้อยู่ด้านหน้าและด้านหลังอาคารสำราญราษฎร์บริรักษ์ ภายในบริเวณคณะยังมีสนามฟุตบอลและสนามบาสเก็ตบอลด้วย

นอกจากนี้ คณะรัฐศาสตร์ ยังมี "ตึกกิจกรรมนิสิต" เป็นอาคารและพื้นที่สาธารณะอิสระให้นิสิตบริหาร จัดการ และสามารถใช้ทำกิจกรรมต่างๆ ได้ โดยเดิมทีตึกกิจกรรมนิสิตมีสภาพทรุดโทรมมานานกว่าหลายปี และได้ปรับปรุงใหม่ครั้งใหญ่ช่วงที่ เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล เป็นนายกสโมสรนิสิตรัฐศาสตร์เมื่อปี พ.ศ. 2563 ช่วงปีที่เนติวิทย์เป็นนายกสโมสร เขาได้ตั้งชื่อห้องเดิมที่มีอยู่ใหม่เป็น "ห้องวิชิตชัย อมรกุล" และ "ห้อง ดร.บุญสนอง บุณโยทยาน" เพื่อเป็นเกียรติและรำลึกถึงวีรชนนิสิตเก่าคณะที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ หลังจากนั้น ได้มีการปรับปรุงหลังคาและพื้นใหม่ นำโดยสิงห์ดำรุ่นที่ 24 เมื่อปลายปี พ.ศ. 2564 ถึงต้นปี พ.ศ. 2565 และได้เปิดตึกกิจกรรมนิสิตอย่างเป็นทางการอีกครั้งในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

ประกอบกับ สำนักบริหารระบบกายภาพ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปลายปี พ.ศ. 2564 ได้ปรับปรุงทัศนียภาพใหม่ จึงได้ผนวกลานไทรและลานโจก้าเดิมเข้าด้วยกัน รื้ออาคารโรงอาหารเก่า และลานจอดรถออก และสร้างบ่อน้ำเพิ่มแทน สโมสรนิสิตรัฐศาสตร์ ปีการศึกษา 2564 จึงได้เปลี่ยนชื่อลานใหม่เป็น "ลานเสรีภาพ" เพื่อให้สอดคล้องกับบริบททางการเมืองปัจจุบันและความเป็นรัฐศาสตร์มากขึ้น

อาคาร/สถานที่ สถานะปัจจุบัน หมายเหตุ
อาคารสำราญราษฎร์บริรักษ์ – ตึก 1
  • ห้องเรียน
  • ห้องพักอาจารย์ภาควิชาการปกครอง
  • ห้องพักอาจารย์และสำนักงานภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์
  • ชื่อของอาคารถูกตั้งตามชื่ออดีตอาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง – อาจารย์ รองอำมาตย์โท ขุนสำราญราษฎร์บริรักษ์ (จุ้ย ตัณฑโสภา)
อาคารวรภักดิ์พิบูลย์ – ตึก 2
  • ห้องเรียน
  • ห้องพักอาจารย์ภาควิชาการปกครอง
  • สำนักงานหลักสูตรการพัฒนาระหว่างประเทศ
  • ศูนย์ศึกษาการพัฒนาสังคม
  • ชื่อของอาคารถูกตั้งตามชื่ออดีตอาจารย์ของคณะ – ศาตราจารย์พระวรภักดิ์พิบูลย์

(หม่อมหลวงนภา ชุมสาย)

อาคารเกษม อุทยานิน (รัฐศาสตร์ 60 ปี) – ตึก 3
  • ห้องเรียน
  • ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์
  • ห้องพักอาจารย์และสำนักงานทุกภาควิชา
  • หอประชุมเกษม สุวรรณกุล
  • ห้องสมุดรูฟุส ดี สมิธ และ ชำนาญ ยุวบูรณ์
  • สำนักงานคณบดี
  • ร้าน Café Amazon
  • ร้าน U-Store
  • สร้างขึ้นในวาระครบรอบ 60 ปี ของคณะรัฐศาสตร์นับแต่การก่อตั้งใหม่
  • สร้างขึ้นใหม่เพื่อทดแทนอาคารเกษม อุทยานิน (ตึก 3) หลังเดิม
  • ชื่อของอาคารถูกตั้งตามชื่ออดีตคณบดี และอาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง – ศาตราจารย์เกษม อุทยานิน
  • ชื่อของหอประชุมถูกตั้งตามชื่ออดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัย และอาจารย์ประจำภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์ – ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.เกษม สุวรรณกุล
  • ชื่อของห้องสมุดถูกตั้งชื่อตามชื่อของศาสตราจารย์รูฟุส แดเนียล สมิธ จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ค มาสอนวิชาการปกครองเปรียบเทียบที่คณะติดต่อขอรับบริจาคหนังสือและวารสารทางด้านสังคมศาสตร์จากองค์การมูลนิธิและมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกา
ตึกกิจกรรมนิสิต
  • สำนักงานสโมสรนิสิตรัฐศาสตร์
  • ห้องประชุม
  • ห้องกิจกรรมนิสิต
  • ได้รับการปรับปรุงใหม่ราวปี พ.ศ. 2564
อาคารโรงอาหาร
  • ปัจจุบันถูกรื้นถอนไปแล้ว
  • ปรับเป็นสนามหญ้าและศาลา
  • ในอดีตเคยเป็นโรงอาหารของคณะ
  • ถัดมาบริเวณโถงถูกใช้เป็นลานกิจกรรมในร่มและช่องจำหน่ายอาหารถูกใช้เป็นห้องเก็บของชมรมต่าง ๆ
  • ถูกรื้อถอนออกในปี พ.ศ. 2564 พร้อมกับการปรับปรุงทัศนียภาพโดยรอบคณะ ปัจจุบันเหล็กดัดรูปพระเกี้ยวบนหน้าต่างเดิมของอาคารยังคงถูกอนุรักษ์ไว้เป็นส่วนประกอบของศาลา
อาคารจอดรถ
  • ลานจอดรถ
  • โรงอาหาร
  • ร้าน Inthanin Coffee
  • อาคารจอดรถได้ถูกสร้างขึ้นทับตึก 3 เดิม ซึ่งเคยเป็นหอประชุม สำนักงานภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และห้องพักอาจารย์
ลานเสรีภาพ
  • ลานจัดกิจกรรม
  • ได้รับการปรับปรุงใหม่จากเดิมเป็นพื้นอิฐบล็อกเป็นพื้นคอนกรีตราวปี พ.ศ. 2565
  • เดิมชื่อ ลานโจก้า
สนามฟุตบอล
  • หน้าจั่วของศาลาปรากฏข้อความว่าสิงห์ดำรุ่น 13 พร้อมกับรูปสิงห์ดำ
  • ปรากฏภาพของศาลานี้ในหนังสือรุ่น สิงห์ดำรุ่น 19 ลงไว้ว่าถ่ายในปี พ.ศ. 2514
  • มีศาลาสิงห์ (ศาลาบอล)
สนามบาสเกตบอล
ศาลพระพุทธรูปเชียงแสน สิงห์หนึ่ง สิงห์ดำ
อาคารวิศิษฐ์ ประจวบเหมาะ
  • ห้องสมุดรูฟุส ดี สมิธ (ยกเลิกการใช้งานราวปี พ.ศ. 2562)
  • วิทยาลัยประชากรศาสตร์ (เคยเป็นส่วนหนึ่งของคณะ)[2]
อาคารประชาธิปก – รำไพพรรณี
  • สถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ
  • สถาบันเอเชียศึกษา (เคยเป็นส่วนหนึ่งของคณะ)[3]

สัญลักษณ์ แก้

  • สัญลักษณ์

สัญลักษณ์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แก่ "สิงห์ดำ" โดย "สิงห์" หมายถึง ผู้ปกครองดั่งราชสีห์ผู้เป็นจ้าวแห่งป่า และ "สีดำ" หมายถึง สีแห่งศอของพระศิวะที่ดื่มยาพิษเพื่อปกป้องมวลมนุษย์ ดังนั้น สิงห์ดำ จึงมีหมายความว่า "การเป็นนักปกครองจะต้องเสียสละเพื่อมวลชน" (Black is Devotion)[4]

  • กลอนสิงห์ดำ

คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีกลอนประจำคณะที่สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น เพื่อเป็นสัญลักษณ์และเป็นคติเตือนใจ โดยนิสิตจะรู้จักกันในชื่อ "กลอนสิงห์"

"เจ้าเป็นสิงห์เจ้าจงหยิ่งในสิงห์ศักดิ์ เจ้าเป็นนักรัฐศาสตร์องอาจหาญ
กอปรกรรมดีให้จีรังยั่งยืนนาน มุ่งสมานใจรักสามัคคี
จงรู้จักใช้วิชาหาประโยชน์ รู้จำแนกคุณโทษให้ถ้วนถี่
จงวางตนให้คนเห็นเป็นผู้ดี ถ้าเจ้ามีใจจริงเป็นสิงห์ดำ"

  • สีประจำคณะ

  สีดำ หมายถึง สีแห่งศอของพระศิวะที่ดื่มยาพิษเพื่อปกป้องมวลมนุษย์

วารสารสังคมศาสตร์ แก้

คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดทำวารสารสังคมศาสตร์ขึ้น เพื่อเป็นการสนับสนุนการผลิตผลงานทางวิชาการ/งานวิจัย และเพื่อเผยแพร่ รวมทั้งเป็นสื่อความเคลื่อนไหว ความเปลี่ยนแปลง และความก้าวหน้าทางด้านสังคมศาสตร์ โดยเริ่มจัดพิมพ์วารสารฉบับแรกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน เป็นเวลากว่า 60 ปี นอกจากนี้ห้องสมุดคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังมีการจัดทำวารสารสังคมศาสตร์ฉบับย้อนหลังตั้งแต่ฉบับแรกเป็นแอพลิแคชั่นสำหรับดาวน์โหลดเพื่อเป็นฐานข้อมูลด้านสังคมศาสตร์สำหรับนิสิต คณาจารย์ และประชาชนทั่วไป

ห้องสมุด แก้

 
ห้องสมุดรูฟุส ดี. สมิธ และ ชำนาญ ยุวบูรณ์
 
ชั้นวางหนังสือภายในห้องสมุดรูฟุส ดี. สมิธ และ ชำนาญ ยุวบูรณ์

คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีห้องสมุดประจำคณะที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากถึงสองแห่งด้วยกัน คือ ห้องสมุดรูฟุส ดี. สมิธ และ ชำนาญ ยุวบูรณ์ และอีกแห่งชื่อว่า ห้องสมุดรูฟุส ดี.สมิธ. ถือได้ว่าทั้งสองแห่งเป็นหนึ่งในห้องสมุดด้านสังคมศาสตร์ที่ดีที่สุดในประเทศไทย

ห้องสมุดรูฟุส ดี.สมิธ. เดิมชื่อห้องสมุดคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อตั้งเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2491 ตั้งอยู่ที่อาคารสำราญราษฎร์บริรักษ์ (ตึก 1) ในระยะเริ่มก่อตั้งในปี พ.ศ. 2494 ศาสตราจารย์รูฟุส แดเนียล สมิธ จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับทุนฟูลไบรท์ให้มาสอนวิชาการปกครองเปรียบเทียบที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ได้ช่วยเหลือกิจการห้องสมุดโดยติดต่อขอบริจาคหนังสือ และวารสารทางด้านสังคมศาสตร์จากองค์การมูลนิธิและมหาวิทยาลัยต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา นับเป็นการวางรากฐานกิจการห้องสมุดคณะรัฐศาสตร์ ทำให้เป็นห้องสมุดแห่งแรกในประเทศไทยที่เป็นแหล่งค้นคว้าสำคัญทางด้านสังคมศาสตร์ ต่อมาห้องสมุดได้ย้ายไปตั้งที่อาคารเกษมอุทยานิน (ตึก 3) และในปีพ.ศ. 2518 ได้ย้ายมาตั้งที่อาคารวิศิษฐ์ ประจวบเหมาะ ชั้น 1 จนถึงปัจจุบัน

35 ปี หลังจากมรณกรรมของศาสตราจารย์รูฟุส แดเนียล สมิธ ที่ประชุมกรรมการคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ตั้งชื่อ ห้องสมุดของคณะว่า "ห้องสมุดรูฟุส ดี.สมิธ." เพื่อเป็นเกียรติและเป็นที่ระลึกถึงพระคุณที่ท่านมีต่อคณะรัฐศาสตร์ โดยมีพิธีเปิดที่ห้องสมุดของคณะ ในวันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2531[5]

ตั้งแต่ก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน ห้องสมุดของคณะรัฐศาสตร์ทั้งสองแห่งได้รับรางวัลรับรองจากหลายสถาบัน[6]

  • รางวัลชนะเลิศ ประเภทประสิทธิภาพของการบริการ รางวัลคุณภาพแห่งจุฬาฯ พ.ศ. 2550
  • รางวัลดีเด่นระดับชาติ ประเภทนวัตกรรมการให้บริการ จากคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ พ.ศ. 2551
  • รางวัลดีเด่นระดับชาติ ประเภทรายกระบวนงาน จากคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ พ.ศ. 2553
  • รางวัลบริการภาครัฐแห่งชาติ ประเภทการพัฒนาการบริการที่เป็นเลิศ จากคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ พ.ศ. 2556

หน่วยงานและหลักสูตร แก้

หลักสูตรที่เปิดสอนในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หน่วยงาน ระดับปริญญาบัณฑิต[7] ระดับปริญญามหาบัณฑิต[8] ระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิต[9]

ภาควิชาการปกครอง

หลักสูตรรัฐศาสตรบัณฑิต (ร.บ.)

หลักสูตรรัฐศาสตรมหาบัณฑิต (ร.ม.)

  • สาขาวิชาการปกครอง (ภาคในเวลาราชการ)
  • สาขาวิชาการเมืองและการจัดการปกครอง (ภาคนอกเวลาราชการ)

หลักสูตรรัฐศาสตรดุษฎีบัณฑิต (ร.ด.)

ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

หลักสูตรรัฐศาสตรบัณฑิต (ร.บ.)

หลักสูตรรัฐศาสตรมหาบัณฑิต (ร.ม.)

  • สาขาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (ภาคในเวลาราชการ)
  • สาขาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (ภาคนอกเวลาราชการ)

หลักสูตรรัฐศาสตรดุษฎีบัณฑิต (ร.ด.)

  • สาขาวิชารัฐศาสตร์

ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา

หลักสูตรรัฐศาสตรบัณฑิต (ร.บ.)

หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (ศศ.ม.)

  • สาขาวิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
  • สาขาวิชาอาชญาวิทยาและงานยุติธรรม

หลักสูตรรัฐศาสตรดุษฎีบัณฑิต (ร.ด.)

  • สาขาวิชารัฐศาสตร์

หลักสูตรศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิต (ศศ.ด.)

  • สาขาวิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
  • สาขาวิชาอาชญาวิทยาและงานยุติธรรม

ภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์

หลักสูตรรัฐศาสตรบัณฑิต (ร.บ.)

หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต (รป.ม.)

  • สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ (ภาคในเวลาราชการ)
  • สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ (ภาคนอกเวลาราชการ)

หลักสูตรรัฐศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต (ร.ด.)

  • สาขาวิชารัฐศาสตร์

หลักสูตรอื่นๆ

หลักสูตรนานาชาติ

  • สาขาวิชาการเมืองและโลกสัมพันธ์ศึกษา (หลักสูตรนานาชาติ)

หลักสูตรรัฐศาสตรมหาบัณฑิต (ร.ม.)

  • สาขาวิชาธรรมาภิบาล (หลักสูตรนานาชาติ)

หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (ศศ.ม.)

  • สาขาวิชาการพัฒนาระหว่างประเทศ (หลักสูตรนานาชาติ)

คณบดี แก้

คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีตำแหน่งคณบดีเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2491

ทำเนียบคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รายนามคณบดี วาระการดำรงตำแหน่ง
ศาสตราจารย์หม่อมเจ้ารัชฎาภิเศก โสณกุล พ.ศ. 2491 - 2493
ศาสตราจารย์ ดร.มาลัย หุวะนันท์ พ.ศ. 2493
ศาสตราจารย์เกษม อุทยานิน พ.ศ. 2493 - 2513
ศาสตราจารย์ ดร.เกษม สุวรรณกุล พ.ศ. 2513 - 2517
ศาสตราจารย์ ดร.กระมล ทองธรรมชาติ พ.ศ. 2517 - 2525
ศาสตราจารย์จรูญ สุภาพ พ.ศ. 2525 - 2529
ศาสตราจารย์ ดร.กระมล ทองธรรมชาติ พ.ศ. 2529 - 2533
ศาสตราจารย์ ดร.สุจิต บุญบงการ พ.ศ. 2533 - 2541
ศาสตราจารย์ ดร.ไชยวัฒน์ ค้ำชู พ.ศ. 2541 - 2545
ศาสตราจารย์ ดร.อมรา พงศาพิชญ์ พ.ศ. 2545 - 2549
ศาสตราจารย์ ดร.จรัส สุวรรณมาลา พ.ศ. 2549 - 2553
ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ยาวะประภาษ พ.ศ. 2553 - 2557
ศาสตราจารย์ ดร.เอก ตั้งทรัพย์วัฒนา พ.ศ. 2557 - 2565
รองศาสตราจารย์ ดร.ปกรณ์ ศิริประกอบ พ.ศ. 2565 - ปัจจุบัน

หมายเหตุ คำนำหน้านามของผู้ดำรงตำแหน่งคณบดี เป็นคำนำหน้านามตามตำแหน่งทางวิชาการในขณะนั้น

บุคลากรที่มีชื่อเสียง แก้

ดูเพิ่ม รายนามบุคคลจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

คณาจารย์ที่มีชื่อเสียง แก้

อ้างอิง แก้

  1. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-04-02. สืบค้นเมื่อ 2013-05-09.
  2. "วิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย", วิกิพีเดีย, 2020-10-08, สืบค้นเมื่อ 2022-05-15
  3. http://www.ias.chula.ac.th/ias/th/Background.php
  4. หนังสือเปิดรั้วจามจุรี: สาราณียกร องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  5. http://www.polsci.chula.ac.th/library/index.php/aboutus/1/%7C เกี่ยวกับห้องสมุดคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เข้าถึงเมื่อ วันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2558
  6. http://www.polsci.chula.ac.th/library/index.php/honor/%7C ความภาคภูมิใจของห้องสมุดคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
  7. ระดับปริญญาบัณฑิต
  8. ระดับปริญญามหาบัณฑิต
  9. ระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิต
  10. http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2559/E/052/19.PDF
  11. ภาพ, อรพรรณ จันทรวงศ์ไพศาล-เรื่อง ชลาธิป รุ่งบัว- (2018-08-12). "อาจารย์ดีเด่นแห่งชาติ 'สุรชาติ บำรุงสุข' เปิดมุมมอง "ทหาร" กับ "การเมือง"". มติชนออนไลน์.
  12. www.polsci.chula.ac.th http://www.polsci.chula.ac.th/?lecturer=%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C. {{cite web}}: |title= ไม่มีหรือว่างเปล่า (help)

ดูเพิ่ม แก้

13°44′05″N 100°32′00″E / 13.734678°N 100.533339°E / 13.734678; 100.533339

แหล่งข้อมูลอื่น แก้

  • www.polsci.chula.ac.th คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • www.chula.ac.th จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย