การรุกรานรัสเซียโดยฝรั่งเศส

การรุกรานรัสเซียโดยฝรั่งเศส (อังกฤษ: French invasion of Russia) หรือในรัสเซียรู้จักกันในชื่อ สงครามของผู้รักชาติปี 1812 (รัสเซีย: Отечественная война 1812 года) หรือในฝรั่งเศสรู้จักกันในชื่อ การทัพรัสเซีย (ฝรั่งเศส: Campagne de Russie) เป็นความพยายามของจักรวรรดิฝรั่งเศสภายใต้จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ในการกดดันให้รัสเซียล้มเลิกทำการค้าขายกับอังกฤษ รวมถึงเพื่อชิงดินแดนโปแลนด์มาจากรัสเซีย ปฏิบัติการครั้งนี้สิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ยับเยินของฝรั่งเศส

การรุกรานรัสเซียโดยฝรั่งเศส
ส่วนหนึ่งของ สงครามนโปเลียน
French invasion of Russia collage.jpg
ตามเข็มฯจากบนซ้าย: 1) ยุทธการที่โบโรดีโน, 2) เพลิงไหม้ในมอสโก, 3) จอมพลมีแชล แน ในยุทธการเคานัส, 4) การถอนกำลัง
วันที่24 มิถุนายน – 14 ธันวาคม ค.ศ. 1812
(5 เดือน 2 สัปดาห์ 6 วัน)
สถานที่จักรวรรดิรัสเซีย
ผล ชัยชนะของรัสเซีย[1]
กองทัพใหญ่ของนโปเลียนล่มสลาย
เริ่มสงครามสหสัมพันธมิตรครั้งที่หก
คู่สงคราม

จักรวรรดิฝรั่งเศส

พันธมิตร:
จักรวรรดิออสเตรีย จักรวรรดิออสเตรีย
ราชอาณาจักรปรัสเซีย ราชอาณาจักรปรัสเซีย
เดนมาร์ก เดนมาร์ก–นอร์เวย์
จักรวรรดิรัสเซีย จักรวรรดิรัสเซีย
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ
นโปเลียนที่ 1
อาแล็กซ็องดร์ แบร์ตีเย
หลุยส์-นีกอลา ดาวู
มีแชล แน
แจคคัวส์ แม็กโดนัลด์
นีโคลัส อูดีนอต
เจโรม โบนาปาร์ต
ยูแซฟ ปอญาตอฟสกี
ฌออากีม มูว์รา
ราชอาณาจักรอิตาลี (นโปเลียน) เออแฌน เดอ โบอาร์แน
จักรวรรดิออสเตรีย เจ้าชายคาร์ล ฟิลิป
ราชอาณาจักรปรัสเซีย ลุดวิจ ฟอน ยอร์ก
ราชอาณาจักรปรัสเซีย ยูลิอุส ฟอน กราเวือร์ท
เดนมาร์ก โยฮันน์ เอวัลด์[2][3]
จักรวรรดิรัสเซีย อเล็กซานเดอร์ที่ 1
จักรวรรดิรัสเซีย มีฮาอิล คูตูซอฟ
จักรวรรดิรัสเซีย ไมเคิล บาร์เคลย์
จักรวรรดิรัสเซีย ปีย็อตร์ บากราชัน 
จักรวรรดิรัสเซีย ปีเตอร์ วิตเก็นสไตน์
จักรวรรดิรัสเซีย อะเลคซันดร์ ตอร์มาซอฟ
จักรวรรดิรัสเซีย ปาเวล ชีชากอฟ
กำลัง
กองทัพใหญ่:
~685,000 นาย[4]
กองทัพจักรวรรดิรัสเซีย:
มากที่สุด ~900,000 นาย[4]
ความสูญเสีย
เสียชีวิต: ~400,000 นาย[5][6]
เหลือรอด: 120,000 นาย (ในจำนวนนี้เป็นทหารฝรั่งเศส 35,000 นาย)
เสียชีวิต: 210,000 นาย[7]

เบื้องหลังแก้ไข

ภายหลังความพ่ายแพ้ในยุทธนาวีที่ตราฟัลการ์เมื่อปี 1805 จักรพรรดินโปเลียนก็ล้มเลิกแผนการบุกครองเกาะบริเตนใหญ่ และหันไปทำสงครามสหสัมพันธมิตรครั้งที่สี่ภายในยุโรปตอนกลาง ฝรั่งเศสได้รับชัยชนะในสงครามดังกล่าวในปี 1807 และได้ดินแดนราวครึ่งหนึ่งมาจากราชอาณาจักรปรัสเซีย หลังจากนั้น จักรวรรดิออสเตรียก็ก่อสงครามสงครามสหสัมพันธมิตรครั้งที่ห้าในปี 1809 เพื่อพยายามโค่นล้มนโปเลียน แต่ก็กลับพ่ายแพ้ต่อกองทัพนโปเลียน และเกิดเป็นสนธิสัญญาเชินบรุน

ด้วยผลของสนธิสัญญาเชินบรุนซึ่งยุติสงครามดังกล่าว ทำให้มณฑลกาลิเซียตะวันตก (ปัจจุบันคือภาคตะวันออกเฉียงใต้ของโปแลนด์) ซึ่งเดิมเป็นของราชวงศ์ออสเตรีย ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นวอร์ซออันเป็นมิตรของฝรั่งเศส รัสเซียมองว่าเหตุการนี้เป็นภัยคุกคามต่อผลประโยชน์ของรัสเซีย และมองว่าเป็นเค้าลางที่ฝรั่งเศสจะยกทัพบุกรัสเซีย[8]

นโปเลียนพยายามเจรจาสันติภาพกับอังกฤษ แต่ถูกอังกฤษปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย เช่นนั้นแล้วนโปเลียนจึงพยายามบังคับอังกฤษทางอ้อม โดยการบังคับให้พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 1 แห่งรัสเซีย ยุติการติดต่อค้าขายกับอังกฤษ เพื่อกดดันทางอ้อมให้อังกฤษสูญเสียรายได้จนต้องยอมเซ็นสัญญาสันติภาพกับฝรั่งเศส[9] และปฏิบัติการนี้ก็ยังมีเป้าหมายเพื่อแย่งชิงโปแลนด์มาจากรัสเซีย อย่างไรก็ตาม จักรพรรดินโปเลียนในช่วงนี้มีสภาพจิตใจและร่างกายต่างไปจากอดีต พระองค์เริ่มลงพุงและมีโรคภัยไข้เจ็บ[10]

เหตุการณ์แก้ไข

การบุกรัสเซียแก้ไข

ปฏิบัติการเริ่มต้นในวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1812 เมื่อกองทัพใหญ่ (Grande Armée) ของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ทำการข้ามแม่น้ำเนมัน กองทัพใหญ่มีกำลังพลมากถึง 680,000 นาย (เป็นทหารฝรั่งเศสราว 400,000) นโปเลียนกรีฑาทัพเข้าสู่ภาคตะวันตกของรัสเซียอย่างรวดเร็ว และพยายามปะทะกับกองทัพรัสเซีย การปะทะเล็กหลายครั้งรวมถึงศึกใหญ่ที่สโมเลนสค์ในสิงหาคมนั้น ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายชนะอยู่เสมอ แม้ว่าฝรั่งเศสสามารถรุกคืบได้เรื่อยๆ แต่นโปเลียนก็ไม่พอใจที่กองทัพรัสเซียมีท่าทีหลีกเลี่ยงการปะทะมาตลอด และเอาแต่ถอยลึกเข้าไปในแผ่นดิน ทิ้งเมืองสโมเลนสค์ไว้ในกองเพลิง ทำให้แผนการที่จะบดขยี้กองทัพรัสเซียที่สโมเลนสค์นั้นต้องเป็นหมันไป ฝรั่งเศสจำเป็นต้องไล่ตามกองทัพรัสเซียลึกเข้าไปในแผ่นดิน[11]

ในระหว่างที่กองทัพรัสเซียล่าถอยลึกเข้าไปในแผ่นดิน แม่ทัพรัสเซียก็สั่งให้พวกคอสแซคเผาทำลายหมู่บ้าน, เมือง และทุ่งข้าวโพดระหว่างทางผ่านให้สิ้น[9] เพื่อหวังไม่ให้กองทัพนโปเลียนมาใช้ประโยชน์ได้ กลยุทธ์ผลาญภพของฝ่ายรัสเซียสร้างความความยุ่งยากและความตกตะลึงแก่นายทหารฝรั่งเศส พวกเขาไม่อยากจะเชื่อว่ารัสเซียจะยอมทำร้ายราษฎรและแผ่นดินของตนเองเพื่อสกัดกั้นข้าศึก ซึ่งยากที่แม่ทัพฝรั่งเศสจะเอาอย่าง[12] ด้วยเหตุฉะนี้ ความเป็นอยู่กองทัพนโปเลียนจึงต้องพึ่งการส่งกำลังบำรุงเพียงอย่างเดียว ซึ่งเสบียงที่ถูกขนส่งก็ไม่พอเลี้ยงกองทัพขนาดมหึมา ความขาดแคลนเสบียงบังคับให้ทหารฝรั่งเศสออกจากค่ายในเวลากลางคืนเพื่อหาอาหาร ซึ่งบ่อยครั้งที่ทหารเหล่านี้ต้องถูกจับหรือถูกฆ่าตายโดยพวกคอสแซค

กองทัพรัสเซียใช้เวลาราวสามเดือนในการถอยร่นเข้าไปในแผ่นดิน การสูญเสียดินแดนจำนวนมากแก่นโปเลียนเริ่มทำให้ขุนนางรัสเซียกลัดกลุ้ม พวกขุนนางจึงรวมตัวกดดันซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 1 ให้ปลดจอมพลไมเคิล บาร์เคลย์ ผู้บัญชาการกองทัพจักรวรรดิรัสเซียเชื้อชาติสกอตลงจากตำแหน่ง ในที่สุดพระองค์ก็ยินยอมแต่งตั้งทหารเก่าแก่อย่างจอมพลมีฮาอิล คูตูซอฟ ขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการกองทัพแทนอย่างไม่ค่อยยินดีพระทัยนัก กระบวนการถ่ายโอนตำแหน่งนี้กินเวลากว่าสองสัปดาห์

7 กันยายน กองพลของนโปเลียนจำนวน 135,000 นายเผชิญหน้ากองทัพรัสเซียราว 111,000 นายในบัญชาของจอมพลคูตูซอฟ ซึ่งขุดสนามเพลาะอยู่เชิงเขาก่อนถึงหมู่บ้านขนาดเล็กชื่อโบโรดิโน ประมาณ 110 กิโลเมตรเมตรทางตะวันตกของมอสโก การปะทะในวันนั้นถือเป็นการปะทะที่นองเลือดที่สุดในวันเดียวของสงครามนโปเลียน ซึ่งมีทหารเสียชีวิตกว่ากว่า 70,000 นาย แม้ว่าฝ่ายนโปเลียนได้รับชัยชนะในทางเทคนิค แต่ก็ต้องเสียนายทหารสัญญาบัตรไปถึง 49 นายและกำลังพลอีกหลายหมื่น กองทัพรัสเซียที่เหลือรอดสามารถหนีไปได้ในวันต่อมา[13]

การยึดมอสโกแก้ไข

 
นโปเลียนในมอสโกที่มอดไหม้

หนึ่งสัปดาห์ต่อมาในวันที่ 14 กันยายน นโปเลียนกรีฑาทัพถึงกรุงมอสโก ซึ่งสร้างความงุนงงแก่กำลังพลอย่างมากที่ทั้งเมืองเป็นเมืองร้างที่แทบไร้ผู้คน เนื่องจากรัสเซียได้อพยพประชากรออกเกือบหมดแล้ว นอกจากนี้ ข้าหลวงกรุงมอสโกยังแอบซ่องสุมคนส่วนหนึ่งไว้ในมอสโก อาศัยจังหวะที่ฝ่ายฝรั่งเศสเผลอทำการวางเพลิงทั่วมอสโก กองทัพนโปเลียนใช้เวลากว่าหกวันในการดับไฟอย่างทุลักทุเล นโปเลียนยังคงตัดสินใจปักหลักในมอสโกเพื่อรอให้รัสเซียประกาศยอมแพ้ตามธรรมเนียมการเสียเมืองหลวง แต่การเสียกรุงมอสโกซึ่งเป็นเมืองหลวงแห่งที่สองก็ไม่ทำให้พระเจ้าซาร์ยอมจำนน อย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายต่างตระหนักดีถึงความโหดร้ายของฤดูหนาวในรัสเซีย เช่นนั้นแล้ว นโปเลียนจึงจำต้องพิชิตรัสเซียก่อนเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเต็มรูปแบบ นโปเลียนปักหลักอยู่ในมอสโกหนึ่งเดือนเศษก็ดำริว่ารอไม่ได้อีกต่อไปแล้ว จึงยกทัพออกจากมอสโกไปยังเมืองคาลูกาทางตะวันตกเฉียงใต้ อันเป็นที่ตั้งทัพของจอมพลคูตูซอฟ

นโปเลียนถอนทัพแก้ไข

 
นโปเลียนถอนทัพออกจากรัสเซีย

การเคลื่อนพลของนโปเลียนไปยังคาลูกาถูกจับตาโดยหน่วยสอดแนมของรัสเซีย นโปเลียนปะทะกับกองทัพรัสเซียอีกครั้งที่มาโลยาโรสลาเวตในวันที่ 24 ตุลาคม แม้ว่าจะได้รับชัยชนะ แต่นโปเลียนก็เลิกล้มที่จะไปยังคาลูกาเนื่องจากเริ่มเข้าฤดูหนาวและตัดสินใจถอนสรรพกำลังออกจากรัสเซีย ซึ่งระหว่างที่ถอนกำลัง กองทัพนโปเลียนก็ต้องเผชิญกับความหฤโหดของหน้าหนาวในรัสเซีย ทั้งการขาดที่พักและเสบียงทั้งของทหารและม้า (ผลจากกลยุทธ์ผลาญภพของรัสเซีย), ความขาดแคลนเสื้อกันหนาว, ภาวะตัวเย็นเกิน, ภาวะเหน็ดเหนื่อย ทำให้กองทัพนโปเลียนด้อยศักยภาพลง นี่จึงเป็นโอกาสทองของรัสเซีย รัสเซียได้ทีจึงยกทัพคอยตามตีอยู่เนือง ๆ ในวันที่กองทัพนโปเลียนข้ามแม่น้ำเบเรซีนาในเดือนพฤศจิกายน มีทหารที่พร้อมรบเหลือเพียง 27,000 นาย กองทัพใหญ่ได้สูญเสียกำลังพลในปฏิบัติการนี้ถึง 380,000 นายและตกเป็นเชลยอีกกว่า 100,000 นาย[14] ปฏิบัติการครั้งนี้สิ้นสุดลงเมื่อข้าศึกนายสุดท้ายออกจากแผ่นดินรัสเซียในวันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 1812

อ้างอิงแก้ไข

  1. von Clausewitz, Carl (1996). The Russian campaign of 1812. Transaction Publishers. Introduction by Gérard Chaliand, VII. ISBN 1-4128-0599-6
  2. Christian Wilhelm von Faber du Faur, Campagne de Russie 1812: d'après le journal illustré d'un témoin oculaire, éditions Flammarion, 1812, 319 pages, p.313.
  3. Eugène Labaume, Relation circonstanciée de la Campagne de Russie en 1812, éditions Panckoucke-Magimel, 1815, p.453-454.
  4. 4.0 4.1 Riehn 1991, p. 50.
  5. Zamoyski 2005, p. 536 — note this includes deaths of prisoners during captivity.
  6. The Wordsworth Pocket Encyclopedia, p. 17, Hertfordshire 1993.
  7. Bogdanovich, "History of Patriotic War 1812", Spt., 1859–1860, Appendix, pp. 492–503.
  8. Riehn 1990, p. 25.
  9. 9.0 9.1 Caulaincourt 2005, p. 9.
  10. McLynn 2011, pp. 490–520.
  11. Caulaincourt 2005, p. 77, "Before a month is out we shall be in Moscow. In six weeks we shall have peace.".
  12. Caulaincourt 2005, p. 85, "Everyone was taken aback, the Emperor as well as his men – though he affected to turn the novel method of warfare into a matter of ridicule.".
  13. Riehn 1991, p. 236.
  14. The Wordsworth Pocket Encyclopedia, page 17, Hertfordshire 1993