การรณรงค์งดสูบบุหรี่ในนาซีเยอรมนี
การรณรงค์ต่อต้านบุหรี่ในนาซีเยอรมนี นับว่าเป็นการรณรงค์งดสูบบุหรี่ที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1930 จนถึงช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1940[1] นาซีเยอรมนีเป็นชาติแรก ๆ ที่มีการรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่ในประวัติศาสตร์สมัยใหม่[2][3] การรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่ได้เจริญขึ้นอย่างมากในช่วงต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 20[4][5] แต่ว่าประสบความสำเร็จน้อยมาก ยกเว้นในนาซีเยอรมนีซึ่งได้มีการรณรงค์อย่างแข็งขันที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคนาซี[4] ผู้นำชาติสังคมนิยมได้คัดค้านการสูบบุหรี่[6] และวิพากษ์วิจารณ์ผลกระทบจากการสูบบุหรี่อย่างเปิดเผย[1] การวิจัยถึงบุหรี่และผลของการสูบบุหรี่ได้รับการสนับสนุนในยุคสมัยของพรรคนาซี[7] และกลายเป็นงานวิจัยที่มีความสำคัญมากในสมัยนั้น[8] ส่วนตัวของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์เองแล้ว เขาเป็นคนเกลียดบุหรี่[9] และมีนโยบายในการรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่ และนโยบายดังกล่าวต่างก็ได้รับการสนับสนุนจากลัทธิต่อต้านยิวและคตินิยมเชื้อชาติ[10]
การรณรงค์งดสูบบุหรี่ในนาซีเยอรมนียังรวมไปถึง การห้ามสูบบุหรี่ในรถราง รถโดยสารประจำทางและรถไฟประจำเมือง[1] การสนับสนุนวิชาสุขศึกษา[11] การกำหนดการปันส่วนบุหรี่ในกองทัพบก การจัดการบรรยายเรื่องยาให้แก่ทหาร และการเพิ่มภาษีบุหรี่[1] พวกชาติสังคมนิยมยังกำหนดให้มีการจำกัดการโฆษณาบุหรี่และการสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ รวมไปถึงการวางระเบียบร้านอาหารและบ้านกาแฟ[1] การรณรงค์งดสูบบุหรี่ไม่ได้ประสบความสำเร็จมากนักในช่วงต้นของยุคนาซี และปริมาณการบริโภคบุหรี่ก็เพิ่มมากขึ้นในช่วง ค.ศ. 1933 ถึง ค.ศ. 1939[12] แต่การสูบบุหรี่โดยทหารลดลงในช่วงปี ค.ศ. 1939 ถึงปี ค.ศ. 1945[13] จนกระทั่งถึงตอนปลายของคริสต์ศตวรรษที่ 20 การรณรงค์งดสูบบุหรี่ในเยอรมนีหลังสงครามก็ไม่ประสบความสำเร็จมากเท่ากับการรณรงค์ของนาซี
อารัมภกถา
แก้ความรู้สึกในการต่อต้านบุหรี่เริ่มเกิดขึ้นในประเทศเยอรมนีในช่วงตอนต้นของคริสต์ทศวรรษ 1900 กลุ่มผู้วิจารณ์การสูบบุหรี่ได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มต่อต้านบุหรี่แห่งแรกของประเทศ ชื่อว่า "สมาคมผู้ต่อต้านการสูบบุหรี่เพื่อปกป้องผู้ไม่สูบบุหรี่แห่งเยอรมนี" (เยอรมัน: Deutscher Tabakgegnerverein zum Schutze der Nichtraucher) ซึ่งได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1904 แต่ได้มีการดำเนินการเพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น องค์การต่อต้านบุหรี่ถัดมา คือ สหพันธ์ผู้ต่อต้านบุหรี่ชาวเยอรมัน (เยอรมัน: Bund Deutscher Tabakgegner) ซึ่งได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1910 ในเมืองเทราเตนาว แคว้นโบฮีเมีย องค์การต่อต้านบุหรี่อีกแห่งหนึ่ง ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1912 ในเมืองฮันโนเฟอร์และเดรสเดิน ในปี ค.ศ. 1920 ได้มีการก่อตั้ง "สหพันธ์ผู้ต่อต้านบุหรี่ชาวเยอรมันในเชโกสโลวาเกีย" (เยอรมัน: Bund Deutscher Tabakgegner in der Tschechoslowakei) ขึ้นในกรุงปราก หลังจากประเทศเชโกสโลวาเกียได้แยกตัวออกจากประเทศออสเตรียภายหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ได้มีการก่อตั้ง "สหพันธ์ผู้ต่อต้านบุหรี่ชาวเยอรมันในสาธารณรัฐเยอรมันออสเตรีย" (เยอรมัน: Bund Deutscher Tabakgegner in Deutschösterreich) ในเมืองกราซ ในปี ค.ศ. 1920[14]
กลุ่มงดสูบบุหรี่ดังกล่าวได้ตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ที่สนับสนุนการงดสูบบุหรี่ หนังสือพิมพ์ที่เป็นภาษาเยอรมันฉบับแรก คือ "ผู้ต่อต้านบุหรี่" (เยอรมัน: Der Tabakgegner) ซึ่งได้ตีพิมพ์โดยองค์การในแคว้นโบฮีเมียระหว่างปี ค.ศ. 1912 ถึงปี ค.ศ. 1932 ส่วนหนังสือพิมพ์ "ผู้ต่อต้านบุหรี่ชาวเยอรมัน" (เยอรมัน: Deutsche Tabakgegner) ได้ตีพิมพ์ในเมืองเดรสเดน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1919 ถึงปี ค.ศ. 1935 และเป็นหนังสือพิมพ์ที่มีเนื้อหาสนับสนุนการงดสูบบุหรี่เป็นอันดับที่สอง[15] องค์การต่อต้านการสูบบุหรี่เหล่านี้ยังรณรงค์ให้มีการงดการบริโภคแอลกอฮอล์อีกด้วย[16]
สาเหตุ
แก้ทัศนคติของฮิตเลอร์ต่อการสูบบุหรี่
แก้อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เป็นคนสูบบุหรี่จัดในช่วงต้นของชีวิต เขาสูบบุหรี่ถึงวันละ 25-40 มวน แต่ในภายหลังก็เลิกเสีย โดยสรุปว่ามันเป็นการสิ้นเปลืองเงินโดยเปล่าประโยชน์[9] หลายปีต่อมา ฮิตเลอร์มองว่าการสูบบุหรี่เป็น "ความเสื่อม"[13] และ "ความแค้นของพวกพื้นเมืองอเมริกันต่อชนผิวขาว และการแก้แค้นสำหรับสุรากลั่น"[9] เขาเสียใจที่ว่า "คนที่เยี่ยมยอดจำนวนมากต้องเสียท่าต่อพิษภัยของบุหรี่"[17] เขาไม่มีความสุขเลยที่อีวา บราวน์ และมาร์ติน บอร์แมนน์ เป็นคนติดบุหรี่ และเป็นกังวลต่อเฮอร์มานน์ เกอริง ซึ่งยังคงสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ เขาโกรธมากที่มีการมอบหมายให้สร้างอนุสาวรีย์ของเกอริงขณะที่เขากำลังสูบบุหรี่อยู่[9] ฮิตเลอร์มักจะถูกมองว่าเป็นผู้นำประเทศคนแรกที่สนับสนุนให้งดสูบบุหรี่[18]
ฮิตเลอร์นั้นไม่พอใจที่เสรีภาพของทหารในการสูบบุหรี่ และในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เขาได้กล่าวในวันที่ 2 มีนาคม ค.ศ. 1942 ว่า: "มันเป็นความผิดพลาด และความผิดที่มาจากผู้นำของกองทัพในเวลานั้น ในช่วงต้นของสงคราม" และ "เป็นการไม่ถูกต้องที่จะกล่าวว่าทหารไม่อาจจะอยู่ได้หากปราศจากบุหรี่" เขาได้ให้สัญญาว่า เขาจะยุติการสูบบุหรี่ในกองทัพหลังจากสงครามสงบแล้ว โดยส่วนตัวแล้ว ฮิตเลอร์สนับสนุนให้เพื่อนสนิทไม่ให้สูบบุหรี่และให้รางวัลหากสามารถเลิกสูบบุหรี่ได้อย่างเด็ดขาด อย่างไรก็ตาม ความไม่ชอบบุหรี่โดยส่วนตัวของฮิตเลอร์นั้นเป็นเพียงหนึ่งในเหตุผลที่ซ่อนอยู่หลังการรณรงค์งดสูบบุหรี่[9]
นโยบายการสืบพันธุ์
แก้นโยบายการสืบพันธุ์นั้นเป็นปัจจัยสำคัญเบื้องหลังการรณรงค์งดสูบบุหรี่[10] สตรีที่สูบบุหรี่นั้นถูกมองว่ามีโอกาสที่จะสูงอายุก่อนวัยและสูญเสียความดึงดูดทางกาย ซึ่งพรรคนาซีเห็นว่าไม่เหมาะสมที่จะเป็นภรรยาหรือแม่ในครอบครัวชาวเยอรมัน เวอร์เนอร์ ฮัตติงแห่งสำนักงานนโยบายทางเชื้อชาติ (เยอรมัน: Rassenpolitisches Amt) ได้กล่าวว่าการสูบบุหรี่ทำให้น้ำนมมารดาปนเปื้อนสารนิโคติน[19] ซึ่งเป็นคำกล่าวอ้างที่พิสูจน์ได้จริงในการวิจัยสมัยใหม่[20][21][22][23] มาร์ติน สเต็มมเลอร์ แพทย์ผู้มีชื่อเสียงในนาซีเยอรมนี ออกความเห็นว่าการสูบบุหรี่โดยสตรีมีครรภ์ทำให้เพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการแท้งบุตร ความคิดเห็นดังกล่าวยังได้รับการสนับสนุนจากสตรีผู้สนับสนุนแนวคิดความบริสุทธิ์ของเชื้อชาติ อักเนส บลูฮ์ม ซึ่งเธอได้ออกความคิดเห็นในหนังสือของเธอซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1936 ในทิศทางเดียวกัน คณะผู้นำนาซีเยอรมนีเป็นกังวลกับเรื่องนี้เพราะว่าพวกเขาต้องการให้สตรีชาวเยอรมันสามารถสืบพันธุ์ได้ มีบทความหนึ่งในวารสารนรีเวชวิทยา ในปี ค.ศ. 1943 บอกว่า สตรีที่สูบบุหรี่ตั้งแต่สามมวนขึ้นไปต่อวัน ส่วนมากแล้วจะยังคงไม่มีบุตรต่อไปเมื่อเทียบกับสตรีที่ไม่ได้สูบบุหรี่[24]
การวิจัย
แก้การวิจัยและการศึกษาถึงผลของบุหรี่ต่อสุขภาพของประชากรนั้นมีความเจริญก้าวหน้าในนาซีเยอรมนีมากกว่าชาติอื่นใดในโลก ในสมัยที่พรรคนาซีเรืองอำนาจ[1] การเชื่อมโยงระหว่างบุหรี่กับโรคมะเร็งปอด สามารถพิสูจน์ได้ครั้งแรกในนาซีเยอรมนี[17][25][26] ตรงกันข้ามกับนักวิทยาศาสตร์อเมริกันและอังกฤษที่ค้นพบเมื่อคริสต์ทศวรรษ 1950[17] แนวคิดการสูบบุหรี่มือสอง (เยอรมัน: Passivrauchen) ก็ได้มีการริเริ่มในนาซีเยอรมนีเช่นกัน[3] โครงการวิจัยหลายแห่งที่ได้รับการสนับสนุนทางด้านเงินทุนจากรัฐบาลนาซีได้ค้นพบผลร้ายแรงที่มีต่อสุขภาพ[27] นาซีเยอรมนียังสนับสนุนให้มีการศึกษาทางด้านระบาดวิทยาถึงผลของการสูบบุหรี่[28] ฮิตเลอร์ยังได้ให้เงินสนับสนุนส่วนตัวให้แก่ สถาบันวิจัยภัยบุหรี่ (เยอรมัน: Wissenschaftliches Institut zur Erforschung der Tabakgefahren) ในมหาวิทยาลัยจีนา นำโดยคาร์ล อัสเทลอีกด้วย[13][29] ซึ่งสถาบันดังกล่าวก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1941 และได้กลายเป็นสถาบันวิจัยต่อต้านบุหรี่ที่สำคัญที่สุดของนาซีเยอรมนี[29]
ฟรานซ์ ฮา. มึลเลอร์ และ เอ. ไชเรอร์ได้ใช้ทฤษฎีการควบคุมตัวแปรทางระบาดวิทยาเพื่อศึกษาถึงโรคมะเร็งปอดในหมู่ผู้สูบบุหรี่เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1939 และปี ค.ศ. 1943 ตามลำดับ[13] ในปี 1939 มึลเลอร์ได้ตีพิมพ์รายงานผลการศึกษาในวารสารด้านโรคมะเร็งในเยอรมนี ซึ่งกล่าวอ้างว่าการสูบบุหรี่จะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งปอด[2] มึลเลอร์ได้รับสมญานามว่า "บิดาแห่งวิชาระบาดวิทยาทดลองที่ถูกลืม"[30] ได้เข้าเป็นสมาชิกของคณะยานยนต์ชาติสังคมนิยมและพรรคนาซี การแสดงความคิดเห็นของมึลเลอร์ในปี 1939 นั้นเป็นการศึกษาด้านระบาดวิทยาภายใต้การควบคุมเป็นครั้งแรกของโลกในด้านความเชื่อมโยงระหว่างบุหรี่กับโรคมะเร็งปอด จากการศึกษาโรคมะเร็งปอดพบว่ายังมีอีกหลายสาเหตุที่นำไปสู่โรคมะเร็งปอด อย่างเช่น ฝุ่นละออง ไอเสียจากรถยนต์ วัณโรค รังสีเอกซ์ และของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม รายงานของมึลเลอร์ได้ชี้ว่า "การสูบบุหรี่ได้รับการผลักดันมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเห็นได้ทั่วไป"[31]
บรรดาแพทย์ในนาซีเยอรมนียังเห็นด้วยว่า ผลจากการสูบบุหรี่ทำให้เกิดโรคหัวใจ ซึ่งถูกพิจารณาว่าเป็นผลที่ร้ายแรงที่สุดของการสูบบุหรี่ บางครั้ง ได้มีการพิจารณาว่านิโคตินเป็นสาเหตุที่ทำให้ประชากรป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมากขึ้นในประเทศ ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สอง นักวิจัยได้พิจารณาว่านิโคตินเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจโคโรนารี ซึ่งทหารเยอรมันในแนวรบด้านตะวันออกเป็นโรคนี้กันมาก ผู้ชำนาญด้านอายุรเวชประจำกองทัพบกเยอรมันได้ทำการตรวจสอบทหารหนุ่มจำนวนสามสิบสองนายที่เสียชีวิตจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โดยเอกสารศึกษาในปี ค.ศ. 1944 ได้ระบุว่าพวกเขาเป็นคนที่สูบบุหรี่จัด เขาได้อ้างอิงจากความคิดเห็นของผู้ชำนาญอายุรเวชฟรานซ์ บุชเนอร์ที่ว่าบุหรี่นั้นเป็น "พิษของโคโรนารีขั้นแรก"[19]
กฎหมายและมาตรการ
แก้พรรคนาซีได้นำยุทธวิธีหลายแบบในที่สาธารณะมาใช้เพื่อทำให้ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศงดสูบบุหรี่ นิตยสารด้านสุขภาพที่เป็นที่รู้จักกันดี ได้แก่ ผู้มีสุขภาพดี (เยอรมัน: Gesundes Volk)[27] สุขภาพประชาชน (เยอรมัน: Volksgesundheit) และ ชีวิตสุขภาพดี (เยอรมัน: Gesundes Leben)[32] ซึ่งได้ตีพิมพ์คำเตือนเกี่ยวกับผลของการสูบบุหรี่[27][32] และยังมีโปสเตอร์แสดงผลกระทบที่เกิดจากการสูบบุหรี่อีกด้วย รวมไปถึงการส่งข้อความการต่อต้านบุหรี่ไปยังสถานที่ทำงานของผู้ใหญ่ทุกแห่ง[27] ด้วยการช่วยเหลือของยุวชนฮิตเลอร์และสันนิบาตเด็กสาวเยอรมัน[10][27][32] การรณรงค์งดสูบบุหรี่ดำเนินการโดยรัฐบาลนาซี รวมไปถึงการส่งเสริมวิชาสุขศึกษาด้วย[11][25][33] ในเดือนมิถุนายน 1939 ได้มีการจัดตั้งสำนักงานต่อต้านภัยบุหรี่และแอลกอฮอล์ และสำนักงานเพื่อการกำจัดยาเสพติด (เยอรมัน: Reichsstelle für Rauschgiftbekämpfung) ซึ่งได้มีส่วนช่วยในการรณรงค์ต่อต้านบุหรี่ด้วย ได้มีการตีพิมพ์บทความที่สนับสนุนให้คนเลิกสูบบุหรี่ในนิตยสารหลายฉบับ อย่างเช่น เครื่องบำรุงหัวใจรังสรรค์ (เยอรมัน: Die Genussgifte) การคุ้มกัน (เยอรมัน: Auf der Wacht) และ อากาศบริสุทธิ์ (เยอรมัน: Reine Luft)[34] นอกเหนือจากนิตยสารเหล่านี้ นิตยสาร ไรเนอ ลุฟต์ ได้เป็นนิตยสารหลักที่เคลื่อนไหวรณรงค์ต่อต้านบุหรี่[1][35] สถาบันวิจัยผลกระทบจากบุหรี่ของคาร์ล อัสเทลที่มหาวิทยาลัยจีนาได้สั่งซื้อและแจกจ่ายสำเนากว่าหลายร้อยเล่มจาก ไรเนอ ลุฟต์[35]
หลังจากได้ทีการค้นพบผลกระทบที่เกิดจากการสูบบุหรี่ต่อสุขภาพ ทำให้รัฐบาลนาซีได้ออกกฎหมายต่อต้านการสูบบุหรี่ขึ้นมาหลายฉบับ[36] ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1930 กฎหมายต่อต้านการสูบบุหรี่ได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากรัฐบาล ในปี ค.ศ. 1938 รัฐบาลได้กำหนดให้ลุควาฟเฟและไรชซโพสห้ามสูบบุหรี่ นอกจากจะมีการสั่งห้ามสูบบุหรี่ในสถานรักษาพยาบาลแล้ว ยังรวมไปถึงสถานที่สาธารณะจำนวนมากและในบ้านด้วย[1] การสั่งห้ามหมอตำแยไม่ให้สูบบุหรี่ระหว่างการทำคลอด ในปี ค.ศ. 1939 พรรคนาซีกำหนดให้การสูบบุหรี่ในสำนักงานของพรรคเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และเฮนริช ฮิมม์เลอร์ หัวหน้าหน่วยชุทซซทัฟเฟิล (หรือ หน่วยเอสเอส) ได้สั่งห้ามไม่ให้ตำรวจและเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสสูบบุหรี่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่[37] และได้มีการสั่งห้ามในโรงเรียนอีกด้วย[27]
ในปี ค.ศ. 1941 กฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในรถรางได้ประกาศใช้ในเมืองใหญ่ ๆ ทั่วประเทศกว่า 60 เมือง[37] นอกจากนี้ ยังมีการสั่งห้ามการสูบบุหรี่ในหลุมหลบภัยทางอากาศอีกด้วย อย่างไรก็ตาม หลุมหลบภัยบางแห่งมีห้องแยกต่างหากสำหรับสูบบุหรี่โดยเฉพาะ[1] นอกจากนี้ ยังมีความห่วงใยเป็นพิเศษในการห้ามสตรีสูบบุหรี่ ประธานสมาคมทางยาในเยอรมนีได้กล่าวว่า "สตรีชาวเยอรมันจะไม่สูบบุหรี่"[38] สตรีมีครรภ์ สตรีที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปีและสตรีที่มีอายุมากกว่า 55 ปีไม่ได้รับอนุญาตให้ได้รับการปันส่วนบุหรี่ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง และมีการสั่งห้ามไม่ให้มีการขายบุหรี่ให้แก่สตรีในการต้อนรับแขกและอุตสาหกรรมอาหารขายปลีก[37] และยังได้มีการสร้างภาพยนตร์ต่อต้านบุหรี่โดยมีเป้าหมายไปยังกลุ่มสตรีในที่สาธารณะ ในส่วนของบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ได้มีการอภิปรายถึงประเด็นการสูบบุหรี่และพิษภัยของบุหรี่ นอกจากนั้นยังมีมาตรการที่เข้มงวดเพื่อออกมาควบคุมในการพิจารณาดังกล่าวและสำนักงานองค์การโรงงานอุตสาหกรรมชาติสังคมนิยมได้ประกาศออกมาว่าจะขับไล่สมาชิกสตรีออกจากการเป็นสมาชิกหากพบว่าสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ[39] ก้าวต่อไปในการรณรงค์งดสูบบุหรี่มาถึงในเดือนกรกฎาคม 1943 เมื่อกำหนดให้การที่ผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปีสูบบุหรี่ในที่สาธารณะเป็นสิ่งผิดกฎหมาย[10][32][37] ในปีต่อมา การสูบบุหรี่ในรถโดยสารประจำทางและรถไฟประจำเมืองเป็นสิ่งผิดกฎหมาย[13] เนื่องจากฮิตเลอร์เกรงว่าสตรีที่ขึ้นรถโดยสารประจำทางและรถไฟประจำเมืองจะได้รับผลกระทบจากการสูบบุหรี่มือสอง[1]
รัฐบาลนาซียังกำหนดห้ามให้มีการโฆษณาสินค้าบุหรี่[40] ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 1941 และได้รับการลงนามโดย เฮนริช ฮุนเคอ ประธานสภาโฆษณา โฆษณามักจะพรรณนาถึงบุหรี่ว่าเป็นสิ่งไร้พิษภัยหรือไม่ก็สิ่งที่แสดงถึงความเป็นชาย นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดให้การพูดจาเยาะเย้ยนักเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านบุหรี่เป็นสิ่งผิดกฎหมายด้วย[41] นอกจากนี้ การโฆษณาบุหรี่ทางโปสเตอร์โฆษณาตามรางรถไฟ ในพื้นที่เขตชนบท สนามกีฬาและสนามแข่งรถ รวมไปถึงการสั่งห้ามการโฆษณาผ่านทางลำโพงกระจายเสียงและจดหมายด้วย[42]
การกำหนดการห้ามสูบบุหรี่ยังได้มีนำเข้ามาในกองทัพบกเยอรมันด้วย การปันส่วนบุหรี่ในกองทัพถูกจำกัดเหลือหกมวนต่อนายต่อวัน บุหรี่เพิ่มเติมสามารถจำหน่ายให้แก่ทหารได้ เมื่อยังไม่มีกำหนดการบุกหรือการถอนทัพในสนามรบ อย่างไรก็ตาม การจำหน่ายบุหรี่เพิ่มเติมก็ถูกจำกัดไว้ที่ไม่เกินห้าสิบมวนต่อเดือน[1] ทหารวัยรุ่นซึ่งอยู่ในกองพลเอสเอสแพนเซอร์ที่ 12 ฮิตเลอร์จูเกนด์ ได้รับแจกเสบียงขนมหวานแทนที่จะเป็นบุหรี่[43] สตรีในกองทัพบกเยอรมันได้รับการสั่งห้ามมิให้สูบบุหรี่อย่างเด็ดขาด และได้มีการจัดการบรรยายทางยาขึ้นเพื่อชักชวนให้ทหารเลิกสูบบุหรี่ เทศบัญญัติแห่งวันที่ 3 พฤศจิกายน 1941 ได้ปรับอัตราภาษีบุหรี่ขึ้นอย่างน้อย 80-95% ของราคาขายปลีก ซึ่งนับว่าเป็นการขึ้นภาษีบุหรี่ที่สูงสุดมาจนกระทั่งถึงยุคสมัยเยอรมนีในอีก 25 ปีให้หลังจากยุคนาซี[1]
ผลที่ตามมา
แก้นักประวัติศาสตร์กล่าวว่า การรณรงค์ในช่วงแรก ๆ นั้นไม่ประสบความสำเร็จเลย และตั้งแต่ปี ค.ศ. 1933 ถึงปี ค.ศ. 1937 จำนวนการบริโภคบุหรี่ในเยอรมนีมีการเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก[12] อัตราการเพิ่มขึ้นดังกล่าวสูงกว่าในฝรั่งเศส ที่ซึ่งมีการรณรงค์ต่อต้านบุหรี่ที่มีขนาดเล็กกว่าเสียอีก ระหว่างปี 1932 ถึงปี 1939 จำนวนการบริโภคบุหรี่ต่อหัวในเยอรมนีเพิ่มขึ้นจาก 570 มวน มาเป็น 900 มวนต่อปี ขณะที่ในฝรั่งเศสเพิ่มขึ้นจาก 570 มวน มาเป็น 630 มวนต่อปี[1][44]
บริษัทผู้ผลิตบุหรี่ในเยอรมนีได้พยายามที่จะขัดขวางความพยายามในการรณรงค์ต่อต้านบุหรี่ พวกเขาได้ตีพิมพ์วารสารขึ้นมาใหม่และพรรณนาถึงการรณรงค์ต่อต้านบุหรี่ว่าเป็น "คนบ้า" และ "ไม่มีหลักการทางวิทยาศาสตร์"[1] อุตสาหกรรมบุหรี่ยังพยายามที่จะตอบโต้การรณรงค์ของรัฐบาลในการห้ามไม่ให้ผู้หญิงสูบบุหรี่ และจ้างนางแบบให้สูบบุหรี่ในการโฆษณาของพวกเขา[38] แม้ว่าจะมีการวางระเบียบจากรัฐบาล แต่ว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ในเยอรมนีนั้นสูบบุหรี่ รวมไปถึงภรรยาของสมาชิกพรรคนาซีระดับสูง ยกตัวอย่างเช่น เม็กกา เกบเบิลส์ ซึ่งสูบบุหรี่แม้กระทั่งขณะตอนที่เธอกำลังได้รับการสัมภาษณ์จากนักหนังสือพิมพ์ ภาพสมัยนิยมแสดงภาพผู้หญิงกำลังสูบบุหรี่นั้นมักจะได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสารที่มีชื่อเสียง อย่างเช่น "แฟชั่นเบเยอรส์สำหรับทุกคน" (เยอรมัน: Beyers Mode für Alle) และภาพปกของเพลงชื่อดัง ลีลี มาร์เลน ได้มีภาพของนักร้อง ลาเลอ แอนเดอร์เซน ขณะกำลังสูบบุหรี่อยู่ด้วย[39]
ปี | ||||
1930 | 1935 | 1940 | 1944 | |
นาซีเยอรมนี | 490 | 510 | 1,022 | 743 |
สหรัฐอเมริกา | 1,485 | 1,564 | 1,976 | 3,039 |
รัฐบาลนาซีได้ส่งเสริมให้มีนโยบายควบคุมบุหรี่มากขึ้นในตอนปลายของคริสต์ทศวรรษ 1930 และในช่วงตอนต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง ปริมาณการบริโภคบุหรี่ก็ลดลงอย่างมาก และเนื่องจากมีการกำหนดมาตรการต่อต้านบุหรี่ในกองทัพ[1] ทำให้ปริมาณการบริโภคบุหรี่ของทหารลดลงตั้งแต่ปี 1939 จนถึงปี 1945[13] ตามผลของการสำรวจที่จัดทำขึ้นในปี 1944 พบว่าจำนวนผู้สูบบุหรี่ในกองทัพบกเพิ่มจำนวนมากขึ้น แต่ปริมาณการบริโภคบุหรี่โดยเฉลี่ยต่อหัวนั้นลดลงถึง 23.4% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้าสงครามโลกครั้งที่สอง และจำนวนผู้ที่สูบบุหรี่มากกว่า 30 มวนต่อวัน ลดลงจาก 4.4% เหลือเพียง 0.3%[1]
นโยบายการต่อต้านบุหรี่ของรัฐบาลนาซีกำหนดให้บางอย่างก็มีความขัดแย้งกันเอง ยกตัวอย่างเช่น นโยบาย "สุขภาพประชากร" (เยอรมัน: Volksgesundheit) และนโยบาย "หน้าที่รักษาสุขภาพ" (เยอรมัน: Gesundheitspflicht) ได้มีผลในรูปแบบคู่ขนาน ซึ่งจะมีการแจกจ่ายบุหรี่ให้แก่บุคคลผู้พบเห็น "กลุ่มที่เป็นแบบอย่าง" สูบบุหรี่ (อย่างเช่น ทหารในแนวหน้า หรือสมาชิกของยุวชนฮิตเลอร์) ส่วนอีกฝ่ายหนึ่ง "คนที่ไม่สมควร" หรือคนชั้นต่ำ อย่างเช่น ชาวยิวหรือนักโทษสงครามไม่ได้รับอนุญาตให้สูบบุหรี่เช่นกัน[45]
การร่วมมือกับลัทธิต่อต้านชาวยิวและลัทธิเผ่าพันธุ์นิยม
แก้นอกเหนือจากความกังวลจากเหตุผลทางด้านสาธารณสุขแล้ว การรณรงค์ต่อต้านบุหรี่ยังได้รับอิทธิพลจากแนวคิดด้านเชื้อชาติของรัฐบาลนาซี[27] โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเคลื่อนไหวที่ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดเผ่าพันธุ์นิยมและความบริสุทธิ์ทางสายเลือด[46] ผู้นำระดับสูงของพรรคนาซีเชื่อว่าเชื้อชาติอันยิ่งใหญ่ไม่ควรจะสูบบุหรี่[27] และการบริโภคบุหรี่เท่ากับทำให้เกิดความเสื่อมโทรมทางเชื้อชาติ[47] พรรคนาซีมองว่าบุหรี่เป็น "พิษภัยต่อการกำเนิด"[46] นักเคลื่อนไหวผู้มีแนวคิดความบริสุทธิ์ทางสายเลือดก็ต่อต้านการสูบบุหรี่เช่นกัน ด้วยกลัวว่ามันจะ "กลืนกินรากเหง้าของความเป็นเยอรมนี"[48] นักเคลื่อนไหวต่อต้านบุหรี่ของพรรคนาซีเองก็พยายามพรรณนาว่าบุหรี่เป็น "ชั้นรอง" ยิ่งกว่าพวกแอฟริกันที่ล้าหลังเสียอีก
พรรคนาซีกล่าวหาว่าชาวยิวมีส่วนรับผิดชอบต่อการนำมาซึ่งบุหรี่และพิษภัยของบุหรี่ คริสตจักรเซเวนต์เดย์แอดเวนทิสต์ในเยอรมนีได้ประกาศว่าการสูบบุหรี่อาจเป็นความเลวทรามที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพซึ่งมาจากพวกยิว[48] โจฮันน์ ฟอน เลรส์ บรรณาธิการของ โลกนอร์ดิก (เยอรมัน: Nordische Welt) ได้กล่าวถึง "ลัทธิทุนนิยมชาวยิว" ว่าเป็นต้นเหตุของการระบาดของบุหรี่ในทวีปยุโรป ระหว่างการเปิดงาน Wissenschaftliches Institut zur Erforschung der Tabakgefahren ในปี 1941 เขากล่าวว่าบุหรี่สามารถแพร่มายังเยอรมนีได้เพราะว่าพวกยิวเป็นคนนำมา และพวกเขาได้ควบคุมอุตสาหกรรมบุหรี่ในกรุงอัมสเตอร์ดัม และเป็นจุดนำเข้า Nicotiana ของยุโรปที่สำคัญ[49]
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
แก้หลังจากการล่มสลายของนาซีเยอรมนีในตอนปลายของสงครามโลกครั้งที่สอง บริษัทผู้ผลิตบุหรี่ชาวอเมริกันได้รีบเข้าแย่งชิงตลาดเยอรมนีทันที การลอบนำเข้าบุหรี่อย่างผิดกฎหมายกลายเป็นเรื่องปกติ[50] และการรณรงค์งดสูบบุหรี่ของผู้นำนาซีในอดีตก็ถูกลืมเลือน[7] ในปี ค.ศ. 1949 บุหรี่ปริมาณกว่า 400 ล้านมวนที่ผลิตในสหรัฐอเมริกาได้เข้าสู่เยอรมนีอย่างผิดกฎหมายทุกเดือน ในปี ค.ศ. 1954 บุหรี่เกือบสองล้านมวนที่ผลิตในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ได้ทะลักเข้าสู่ตลาดเยอรมนีและอิตาลี ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของแผนมาร์แชลล์ สหรัฐอเมริกาจึงส่งมอบบุหรี่ฟรีให้แก่เยอรมนี บุหรี่ที่ส่งไปเยอรมนีในปี 1948 มีปริมาณ 24,000 ตัน และเพิ่มเป็น 69,000 ตันในปี 1949 รัฐบาลกลางแห่งสหรัฐอเมริกาได้ออกค่าใช้จ่ายกว่า 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในแผนการดังกล่าว ทำให้บริษัทผู้ผลิตบุหรี่ในสหรัฐอเมริกาได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาล[50] ปริมาณการบริโภคบุหรี่ต่อหัวต่อปีในเยอรมนีได้เพิ่มขึ้นจาก 460 มวนในปี 1950 เป็น 1,950 มวนในปี 1963 ในตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 การรณรงค์ต่อต้านบุหรี่ในเยอรมนีก็ไม่สามารถบรรลุถึงการรณรงค์อย่างจริงจังในยุคนาซีในปี 1939-1941 และการวิจัยเกี่ยวกับพิษภัยของบุหรี่ในเยอรมนี ซึ่งบรรยายโดย โรเบิร์ต เอ็น. พรอกเตอร์ว่า "กลายเป็นใบ้"[12]
อ้างอิง
แก้- ↑ 1.00 1.01 1.02 1.03 1.04 1.05 1.06 1.07 1.08 1.09 1.10 1.11 1.12 1.13 1.14 1.15 Robert N. Proctor, Pennsylvania State University (December 1996), "The anti-tobacco campaign of the Nazis: a little known aspect of public health in Germany, 1933-45", British Medical Journal, 313 (7070): 1450–3, PMC 2352989, PMID 8973234, สืบค้นเมื่อ 2008-06-01
- ↑ 2.0 2.1 Young, T. Kue (2005), Population Health: Concepts and Methods, Oxford University Press, p. 205, ISBN 0-19-515854-7
- ↑ 3.0 3.1 Szollosi-Janze, Margit (2001), Science in the Third Reich, Berg Publishers, p. 15, ISBN 1-85973-421-9
- ↑ 4.0 4.1 Richard Doll (June 1998), "Uncovering the effects of smoking: historical perspective", Statistical Methods in Medical Research, 7 (2): 87–117, PMID 9654637, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-10-12, สืบค้นเมื่อ 2008-06-01 "นักวิทยาศาสตร์มีความคิดที่จะห้ามปรามการสูบบุหรี่ในช่วงต้นของศตวรรษในหลายประเทศ แต่พวกเขาประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อย ยกเว้นในเยอรมนีที่ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลหลังจากพรรคนาซีขึ้นสู่อำนาจ"
- ↑ Borio, Gene (1993–2003), Tobacco Timeline: The Twentieth Century 1900-1949--The Rise of the Cigarette, Tobacco.org, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-10-17, สืบค้นเมื่อ 2008-11-15
{{citation}}
: CS1 maint: date format (ลิงก์) - ↑ Bynum, William F.; Hardy, Anne; Jacyna, Stephen; Lawrence, Christopher; Tansey, E. M. (2006), The Western Medical Tradition, Cambridge University Press, p. 375, ISBN 0-521-47524-4
- ↑ 7.0 7.1 Proctor, Robert N. (1996), Nazi Medicine and Public Health Policy, Dimensions, Anti-Defamation League, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-12-05, สืบค้นเมื่อ 2008-06-01
- ↑ Clark, George Norman; Briggs, Asa; Cooke, A. M. (2005), A History of the Royal College of Physicians of London, Oxford University Press, pp. 1373–1374, ISBN 0-19-925334-X
- ↑ 9.0 9.1 9.2 9.3 9.4 Proctor, Robert (1999), The Nazi War on Cancer, Princeton University Press, p. 219, ISBN 0-691-07051-2
- ↑ 10.0 10.1 10.2 10.3 George Davey Smith (December 2004), "Lifestyle, health, and health promotion in Nazi Germany", British Medical Journal, 329 (7480): 1424–5, doi:10.1136/bmj.329.7480.1424, PMC 535959, PMID 15604167, สืบค้นเมื่อ 2008-07-01
- ↑ 11.0 11.1 Gilman, Sander L.; Zhou, Xun (2004), Smoke: A Global History of Smoking, Reaktion Books, p. 328, ISBN 1-86189-200-4
- ↑ 12.0 12.1 12.2 12.3 Proctor, Robert (1999), The Nazi War on Cancer, Princeton University Press, p. 228, ISBN 0-691-07051-2
- ↑ 13.0 13.1 13.2 13.3 13.4 13.5 Clark, George Norman; Briggs, Asa; Cooke, A. M. (2005), A History of the Royal College of Physicians of London, Oxford University Press, p. 1374, ISBN 0-19-925334-X
- ↑ Proctor, Robert (1997), "The Nazi War on Tobacco: Ideology, Evidence, and Possible Cancer Consequences" (PDF), Bulletin of the History of Medicine, 71 (3): 435–88, PMID 9302840, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2009-02-25, สืบค้นเมื่อ 2008-07-22 "องค์การต่อต้านบุหรี่ในเยอรมนีแห่งแรกถูกก่อตั้งในปี 1904 (ชื่อว่า Deutscher Tabakgegnerverein zum Schutze für Nichtraucher แต่มีอายุเพียงสั้น ๆ) หลังจากนั้นก็ได้มีการก่อตั้ง Bund Deutscher Tabakgegner ในเมืองเทราเตนาว ในแคว้นโบฮีเมีย (1910) และได้มีการจัดตั้งองค์การที่คล้ายกันในฮันโนเฟอร์และเดรสเดน (ทั้งสองถูกก่องตั้งขึ้นเมื่อปี 1912) เมื่อเชโกสโลวาเกียแยกตัวจากออสเตรียหลังจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง Bund Deutscher Tabakgegner in der Tschechoslowakei ถูกก่อตั้งขึ้นในกรุงปราก (1920) ในปีเดียวกันในเมืองกราซ Bund Deutscher Tabakgegner in Deutschösterreich ก็ถูกก่อตั้งขึ้น"
- ↑ Proctor, Robert (1999), The Nazi War on Cancer, Princeton University Press, p. 177, ISBN 0-691-07051-2
- ↑ Proctor, Robert (1999), The Nazi War on Cancer, Princeton University Press, p. 178, ISBN 0-691-07051-2
- ↑ 17.0 17.1 17.2 Proctor, Robert (1999), The Nazi War on Cancer, Princeton University Press, p. 173, ISBN 0-691-07051-2
- ↑ Tillman, Barrett (2004), Brassey's D-Day Encyclopedia: The Normandy Invasion A-Z, Potomac Books Inc., p. 119, ISBN 1-57488-760-2
- ↑ 19.0 19.1 Proctor, Robert (1999), The Nazi War on Cancer, Princeton University Press, p. 187, ISBN 0-691-07051-2
- ↑ Anders Dahlström, Christina Ebersjö, Bo Lundell (August 2008), "Nicotine in breast milk influences heart rate variability in the infant", Acta Pædiatrica, 97 (8): 1075–1079, doi:10.1111/j.1651-2227.2008.00785.x, PMID 18498428, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-06-30, สืบค้นเมื่อ 2008-11-15
{{citation}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ M Pellegrini, E Marchei, S Rossi, F Vagnarelli, A Durgbanshi, O García-Algar, O Vall, S Pichini (2007), "Liquid chromatography/electrospray ionization tandem mass spectrometry assay for determination of nicotine and metabolites, caffeine and arecoline in breast milk", Rapid Communications in Mass Spectrometry, 21 (16): 2693–2703, PMID 17640086
{{citation}}
:|access-date=
ต้องการ|url=
(help)CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ Julie A. Mennella, Lauren M. Yourshaw, and Lindsay K. Morgan (September 2007), "Breastfeeding and Smoking: Short-term Effects on Infant Feeding and Sleep", PEDIATRICS, 120 (3): 497–502, doi:10.1542/peds.2007-0488, PMID 17766521, สืบค้นเมื่อ 2008-11-15
{{citation}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ Kenneth F. Ilett, Thomas W. Hale, Madhu Page-Sharp, Judith H. Kristensen, Rolland Kohan, L.Peter Hackett (December 2003), "Use of nicotine patches in breast-feeding mothers: transfer of nicotine and cotinine into human milk", Clinical Pharmacology & Therapeutics, 74 (6): 516–524, doi:10.1016/j.clpt.2003.08.003, PMID 14663454, สืบค้นเมื่อ 2008-11-17
{{citation}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ Proctor, Robert (1999), The Nazi War on Cancer, Princeton University Press, p. 189, ISBN 0-691-07051-2
- ↑ 25.0 25.1 Johan P. Mackenbach (2005), "Odol, Autobahne and a non-smoking Führer: Reflections on the innocence of public health", International Journal of Epidemiology, 34 (3): 537–9, PMID 15746205, สืบค้นเมื่อ 2008-06-01
{{citation}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|month=
ถูกละเว้น (help) - ↑ Schaler, Jeffrey A. (2004), Szasz Under Fire: A Psychiatric Abolitionist Faces His Critics, Open Court Publishing, p. 155, ISBN 0-8126-9568-2
- ↑ 27.0 27.1 27.2 27.3 27.4 27.5 27.6 27.7 Coombs, W. Timothy; Holladay, Sherry J. (2006), It's Not Just PR: Public Relations in Society, Blackwell Publishing, p. 98, ISBN 1-4051-4405-X
- ↑ Young, T. Kue (2005), Population Health: Concepts and Methods, Oxford University Press, p. 252, ISBN 0-19-515854-7
- ↑ 29.0 29.1 Proctor, Robert (1999), The Nazi War on Cancer, Princeton University Press, p. 207, ISBN 0-691-07051-2
- ↑ Proctor, Robert (1999), The Nazi War on Cancer, Princeton University Press, p. 191, ISBN 0-691-07051-2
- ↑ Proctor, Robert (1999), The Nazi War on Cancer, Princeton University Press, p. 194, ISBN 0-691-07051-2
- ↑ 32.0 32.1 32.2 32.3 George Davey Smith, Sabine A Strobele, Matthias Egger (June 1994), "Smoking and health promotion in Nazi Germany" (PDF), Journal of Epidemiology and Community Health, 48 (3): 220–3, PMID 8051518, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2020-07-16, สืบค้นเมื่อ 2008-07-21
{{citation}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ Berridge, Virginia (2007), Marketing Health: Smoking and the Discourse of Public Health in Britain, 1945-2000, Oxford University Press, p. 13, ISBN 0-19-926030-3
- ↑ Proctor, Robert (1999), The Nazi War on Cancer, Princeton University Press, p. 199, ISBN 0-691-07051-2
- ↑ 35.0 35.1 Robert N. Proctor (February 2001), "Commentary: Schairer and Schöniger's forgotten tobacco epidemiology and the Nazi quest for racial purity", International Journal of Epidemiology, 30: 31–34, สืบค้นเมื่อ 2008-08-24
- ↑ George Davey Smith, Sabine Strobele and Matthias Egger (February 1995), "Smoking and death. Public health measures were taken more than 40 years ago", British Medical Journal, 310 (6976): 396, PMID 7866221, สืบค้นเมื่อ 2008-06-01
- ↑ 37.0 37.1 37.2 37.3 Proctor, Robert (1999), The Nazi War on Cancer, Princeton University Press, p. 203, ISBN 0-691-07051-2
- ↑ 38.0 38.1 Daunton, Martin; Hilton, Matthew (2001), The Politics of Consumption: Material Culture and Citizenship in Europe and America, Berg Publishers, p. 169, ISBN 1-85973-471-5
- ↑ 39.0 39.1 Guenther, Irene (2004), Nazi Chic?: Fashioning Women in the Third Reich, Berg Publishers, p. 108, ISBN 1-85973-400-6
- ↑ Uekoetter, Frank (2006), The Green and the Brown: A History of Conservation in Nazi Germany, Cambridge University Press, p. 206, ISBN 0-521-84819-9
- ↑ Proctor, Robert (1999), The Nazi War on Cancer, Princeton University Press, p. 204, ISBN 0-691-07051-2
- ↑ Proctor, Robert (1999), The Nazi War on Cancer, Princeton University Press, p. 206, ISBN 0-691-07051-2
- ↑ Meyer, Hubert (2005), The 12th SS: The History of the Hitler Youth Panzer Division, Stackpole Books, p. 13, ISBN 978-0-8117-3198-0
- ↑ Lee, P. N. (1975), Tobacco Consumption in Various Countries, London: Tobacco Research Council
{{citation}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|Edition=
ถูกละเว้น แนะนำ (|edition=
) (help) - ↑ Bachinger E, McKee M, Gilmore A (May 2008), "Tobacco policies in Nazi Germany: not as simple as it seems", Public Health, 122 (5): 497–505, doi:10.1016/j.puhe.2007.08.005, PMID 18222506
{{citation}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ 46.0 46.1 Proctor, Robert (1999), The Nazi War on Cancer, Princeton University Press, p. 174, ISBN 0-691-07051-2
- ↑ Proctor, Robert (1999), The Nazi War on Cancer, Princeton University Press, p. 220, ISBN 0-691-07051-2
- ↑ 48.0 48.1 Proctor, Robert (1999), The Nazi War on Cancer, Princeton University Press, p. 179, ISBN 0-691-07051-2
- ↑ Proctor, Robert (1999), The Nazi War on Cancer, Princeton University Press, p. 208, ISBN 0-691-07051-2
- ↑ 50.0 50.1 Proctor, Robert (1999), The Nazi War on Cancer, Princeton University Press, p. 245, ISBN 0-691-07051-2
หนังสืออ่านเพิ่มเติม
แก้- E Bachinger. นโยบายการสูบบุหรี่ในออสเตรียระหว่างจักรวรรดิไรซ์ที่สาม. The International Journal of Tuberculosis and Lung Disease: 11 (9): 1033-1037 PMID 17705984
- Alexander Brooks. Guest Column: Forward to the Past. The Daily Californian.
- Richard Doll. คำอธิบาย: มะเร็งปอดกับการสูบบุหรี่. International Journal of Epidemiology. 30 (1): 30-31
- Knut-Olaf Haustein. Fritz Lickint (1898-1960) – Ein Leben als Aufklärer über die Gefahren des Tabaks. Suchtmedizin in Forschung und Praxis
- Silpa-Mag ต้นแบบการรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ แทงบอล(เยอรมัน)
- Robert N Proctor. ทำไมพวกนาซีถูกได้รณรงค์ต่อต้านมะเร็งได้ผลที่สุดในโลก เก็บถาวร 2009-04-16 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Endeavour 23 (2): 76-79 PMID 10451929
- Robert Proctor. Racial Hygiene: Medicine Under the Nazis. Harvard University Press. ISBN 0-674-74578-7
- Francis R. Nicosia, Jonathan Huener. Medicine and Medical Ethics in Nazi Germany. Berghahn Books. ISBN 1-57181-386-1