การทิ้งระเบิดดามัสกัสและฮอมส์ พ.ศ. 2561

วันที่ 14 เมษายน 2561 ตั้งแต่เวลา 04:00 ตามเวลาซีเรีย (UTC+3)[1] สหรัฐ ฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรดำเนินการโจมตีทางทหารหลายจุด โดยใช้อากาศยานมีคนขับและขีปนาวุธยิงจากเรือ ต่อตำแหน่งของรัฐบาลหลายแห่งในประเทศซีเรีย[2][3] ประเทศตะวันตกทั้งสามแถลงว่าดำเนินการโจมตีเพื่อตอบโต้เหตุโจมตีเคมีที่ย่านดูมาของเขตกูตาตะวันออกเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2561 ซึ่งระบุว่าเป็นฝีมือของรัฐบาลซีเรีย[4][5] ฝ่ายซีเรียปฏิเสธความเกี่ยวข้องและเรียกการโจมตีครั้งนี้ว่าละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ การโจมตีดังกล่าวมีขึ้นก่อนผู้ตรวจสอบจากองค์การห้ามอาวุธเคมีมีกำหนดเดินทางถึงประเทศซีเรียเพื่อสอบสวนเหตุโจมตีเคมี แต่เดิมมีรายงานว่ากระนั้นผู้ตรวจสอบก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าถึงจุดที่ใช้ผลิตและบำรุงรักษาอาวุธเคมี[6] มีรายงานจำนวนผู้บาดเจ็บทั้งหมด 9 ราย เป็นพลเรือน 3 ราย และ ทหารซีเรีย 6 ราย[7]

การทิ้งระเบิดดามัสกัสและฮอมส์ พ.ศ. 2561
ส่วนหนึ่งของ สงครามกลางเมืองซีเรีย
แผนที่จุดโจมตีตามกระทรวงกลาโหมสหรัฐ
ตำแหน่งซีเรีย กรุงดามัสกัสและฮอมส์ในประเทศซีเรีย
โดย
ผู้บังคับบัญชา
วันที่14 เมษายน ค.ศ. 2018 (2018-04-14)
ผู้ลงมือ
ผู้สูญเสียบาดเจ็บ 9 ราย ได้รับบาดเจ็บ

การโจมตี แก้

การระเบิดใกล้ดุมมัร ประเทศซีเรีย

ประธานาธิบดีดอนัลด์ ทรัมป์ประกาศการโจมตีเมื่อเวลา 21:00 ตามเวลาตะวันออก (4:00 น. ของวันที่ 14 เมษายนในประเทศซีเรีย) ร่วมกับพันธมิตรฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักร ได้ยินเสียงระเบิดในกรุงดามัสกัส เมืองหลวงของประเทศซีเรีย ขณะที่ทรัมป์กำลังพูด[4]

ประธานเสนาธิการร่วมสหรัฐ โจเซฟ ดันเฟิร์ด (Joseph Dunford) ระบุว่า ประเทศรัสเซียไม่ได้รับคำเตือนล่วงหน้า[8] กล่าวว่ามีสามจุดเป็นเป้าหมายได้แก่ ศูนย์วิจัยแห่งหนึ่งในกรุงดามัสกัส คลังเก็บอาวุธเคมีใกล้กับฮอมส์ และคลังเก็บอุปกรณ์และศูนย์บัญชาการใกล้กับฮอมส์[9] รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหราชอาณาจักรรายงานว่าอากาศยานบริติชโจมตีแหล่งอาวุธเคมีในฮอมส์[10] พยานรายงานว่าได้ยินเสียงระเบิดดังและควันในกรุงดามัสกัสในเช้าตรู่ ร่วมทั้งย่านบาเซะห์ (Barzeh) อันเป็นที่ตั้งของศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์บาเซะห์ อันเป็นศูนย์ที่สำคัญ[4] ผู้สังเกตการณ์สิทธิมนุษยชนซีเรียกล่าวว่าจุดโจมตียังมีศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์สองแห่งในดามัสกัสและอีกแห่งในพื้นที่ฮอมส์ ตลอดจนฐานทัพในกรุงดามัสกัส[4]

กองทัพสหรัฐแถลงว่าขีปนาวุธทั้งหมดเข้าเป้าโดยไม่มีการแทรกแซง[11] และพลโท เคนเน็ธ แม็กเคนซี ระบุว่าการป้องกันภัยทางอากาศซีเรียยิงขีปนาวุธพื้นสู่อากาศสกัดกั้น 40 ลูกแต่ไม่ถูกเป้าหมายเลย[12] ทว่า กองทัพซีเรียระบุว่า "สกัดกั้นขีปนาวุธส่วนใหญ่ได้" ส่วนสื่อรัฐซีเรียระบุว่าประเทศซีเรียตอบโต้การโจมตีด้วยการยิงอาวุธต่อสู้อากาศยาน และว่าการป้องกันภัยทางอากาศของประเทศสามารถยิงขีปนาวุธที่เข้ามาได้สิบสามลูกใกล้อัลคิสวา ทางใต้ของกรุงดามัสกัส[13] กองทัพรัสเซียรายงานว่าการป้องกันภัยทางอากาศของซีเรียยิงขีปนาวุธร่อนได้ 71 จาก 103 ลูก[14][11] ผู้สังเกตการณ์สิทธิมนุษยชนซีเรียแถลงว่ารัฐบาลซีเรียและพันธมิตรสามารถสกัดขีปนาวุธได้กว่า 65 ลูก ขีปนาวุธที่ปล่อยใส่ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ในฮอมส์ "ตกห่างจากเป้าหมาย"[15] ไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากองค์การฯ แต่มีการเสียหายทางวัตถุพอสมควร[15] ข่าวโทรทัศน์ของรัฐบาลซีเรียรายงานว่ามีพลเรือนบาดเจ็บ 3 คนที่ฮอมส์[16] นักวิเคราะห์ตะวันตกปัดข้ออ้างของซีเรียที่สกัดกั้นขีปนาวุธได้ร้อยละ 71 ว่า "เพ้อเจ้อ" เพราะแม้แต่ระบบต่อต้านขีปนาวุธสมัยใหม่อย่างไอเอิร์นโดมของอิสราเอลยังไม่มีอัตราสำเร็จขนาดนั้น และว่าการสกัดกั้นขีปนาวุธโทมาฮอว์กมากขนาดนั้นจะต้องก่อให้เกิดเศษซากกระจายเป็นวงกว้างในพื้นที่ของพลเรือนที่จะมีผู้สังเกตได้[17]

ผลลัพธ์ แก้

 
ภาพก่อนและหลังของศูนย์วิจัยและพัฒนา Barzah

ไม่กี่ชั่วโมงหลังการโจมตี ปรากฏภาพชาวซีเรียหลายร้อยคนในกรุงดามัสกัสประท้วงประณามการโจมตีดังกล่าว โดยผู้ชุมนุมโบกธงชาติอิหร่าน ซีเรียและรัสเซียขณะที่ตะโกนคำขวัญภักดีต่อประธานาธิบดีอัลอะซัด[18] กิจกรรมของเกรียนอินเทอร์เน็ตรัสเซียยังเพิ่มขึ้น "2,000%" ตามหัวหน้าโฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ดานา ดับเบิลยู. ไวต์[19]

มีกำหนดจัดการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงฯ ในวันที่ 16 เมษายนเพื่ออภิปรายข้อมติที่ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักรและสหรัฐเสนอร่วมกัน ข้อมติเรียกร้องให้มีการสอบสวนอสิระต่อการใช้อาวุธเคมีในประเทศซีเรีย การอพยพทางการแพทย์ และทางผ่านปลอดภัยของขบวนช่วยเหลือทั่วประเทศ[20]

ในประเทศซีเรีย มีการตีความว่าการโจมตีดังกล่าวเป็นชัยสำหรับอะซัดเพราะขอบเขตจำกัดเป็นตัวบ่งชี้ว่าประเทศตะวันตกไม่ตั้งใจคัดค้านระบอบของเขาอย่างจริงจังต่อ[21]

ดูเพิ่ม แก้

อ้างอิง แก้

  1. Borger, Julian (14 April 2018). "Syria: US, UK and France launch air strikes in response to chemical attack". the Guardian. สืบค้นเมื่อ 14 April 2018.
  2. CNN, Kevin Liptak, Jeff Zeleny and Zachary Cohen,. "Trump: US launches strikes on Syria". CNN. สืบค้นเมื่อ 14 April 2018.{{cite news}}: CS1 maint: extra punctuation (ลิงก์)
  3. "U.S. has taken decision to strike Syria: Fox News" (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 14 April 2018.
  4. 4.0 4.1 4.2 4.3 Editorial, Reuters. "Trump says ordered precision strikes against Syria chemical weapons..." U.S. (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 14 April 2018.
  5. Gearan, Anne; Ryan, Missy (13 April 2018). "U.S. launches missile strikes in Syria" – โดยทาง www.washingtonpost.com.
  6. "US-led strikes on Syria: What was targeted?". BBC News. 14 April 2018. สืบค้นเมื่อ 14 April 2018.
  7. "U.S., France and U.K. Strike Syria Over Chemical Attack". Haartz News. 15 April 2018. สืบค้นเมื่อ 15 April 2018.
  8. {{cite news|title=America, Britain and France strike Syria|url=http://www.businessinsider.com/us-russia-syria-strike-targets-no-advance-warning-2018-4%7Caccessdate=15[ลิงก์เสีย] April 2018|
  9. US, UK and France strike Syria, Veronica Rocha, Amanda Wills and Brian Ries, CNN, 13 April 2018
  10. "Four RAF fighters join Syria air strikes". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 14 April 2018. สืบค้นเมื่อ 14 April 2018.
  11. 11.0 11.1 Veronica Stracqualursi. "Trump declares 'mission accomplished' in Syria strike". CNN. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 เมษายน 2018. สืบค้นเมื่อ 14 เมษายน 2018.
  12. Ewen MacAskill; Julian Borger (14 เมษายน 2018). "Allies dispute Russian and Syrian claims of shot-down missiles". The Guardian. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 เมษายน 2018. สืบค้นเมื่อ 14 เมษายน 2018.
  13. Cooper, Helene; Shear, Michael D.; Hubbard, Ben (13 เมษายน 2018). "Trump Orders Strikes on Syria Over Suspected Chemical Weapons Attack". The New York Times. ISSN 0362-4331. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 เมษายน 2018. สืบค้นเมื่อ 14 เมษายน 2018.
  14. Peter Beaumont; Andrew Roth (14 เมษายน 2018). "Russia claims Syria air defences shot down 71 of 103 missiles". The Guardian. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 เมษายน 2018. สืบค้นเมื่อ 14 เมษายน 2018.
  15. 15.0 15.1 "The Western Coalition's strikes targeted important centers of the regime in the capital Damascus and its vicinity, as well as the outskirts of Homs city". SOHR. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 เมษายน 2018. สืบค้นเมื่อ 14 เมษายน 2018.
  16. "Syrian TV says 3 wounded in Homs missile strike". Pittsburgh Post-Gazette. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 เมษายน 2018. สืบค้นเมื่อ 14 เมษายน 2018.
  17. "Russian General's Claim of 71 Missiles Downed Countered by Experts, Evidence". POLYGRAPH.info (Voice of America) (ภาษาอังกฤษ). 2018. สืบค้นเมื่อ 16 April 2018.
  18. "Syria latest: British defence secretary says attacks 'highly successful'". The Guardian. 14 April 2018. ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 14 April 2018.
  19. "As it happened: The strike and its aftermath". CNN. 14 April 2018. สืบค้นเมื่อ 14 April 2018.
  20. Wintour, Patrick (15 April 2018). "Syria: western allies launch diplomatic offensive in wake of strikes". the Guardian. สืบค้นเมื่อ 16 April 2018.
  21. Liz Sly (15 April 2018). "Syria's Assad in a 'good mood,' scorns U.S. weaponry after airstrikes". The Washington Post. สืบค้นเมื่อ 15 April 2018. "President Assad was in absolutely positive spirits. He is in a good mood," the Interfax news agency quoted Natalya Komarova, governor of Russia’s autonomous Khanty-Mansiysk district, as saying. [...] Despite claims by President Trump that the operation was an "enormous success," it is being interpreted in Syria as a win for Assad because the limited scope of the strikes suggested that Western powers do not intend to challenge his rule.