การตีโฉบฉวยดูลิตเติล
การตีโฉบฉวยดูลิตเติล (อังกฤษ: Doolittle Raid) ยังเป็นที่รู้จักกันคือ การตีโฉบฉวยกรุงโตเกียว เป็นการตีโฉบฉวยทางอากาศ เมื่อวันที่ 18 เมษายน 1942 โดยสหรัฐอเมริกา บนน่านฟ้าเหนือกรุงโตเกียว เมืองหลวงของญี่ปุ่นและสถานที่อื่นๆบนเกาะฮนชูในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นปฏิบัติการทางอากาศครั้งแรกเพื่อการโจมตีหมู่เกาะญี่ปุ่น ได้แสดงให้เห็นว่าญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่นั้นอ่อนแอต่อการโจมตีทางอากาศของอเมริกา ซึ่งทำหน้าที่เป็นการตอบโต้จากการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ และเป็นการสร้างขวัญกำลังใจต่อประชาชนชาวอเมริกัน การตีโฉบฉวยครั้งนี้ได้ถูกวางแผนเอาไว้ ภายใต้การนำโดย และตั้งชื่อมาจากนายพล เจมส์ "จิมมี่" ดูลิตเติล แห่งกองทัพอากาศทหารบกสหรัฐ
การตีโฉบฉวยดูลิตเติล | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ การโจมตีทางอากาศที่ญี่ปุ่นในสงครามแปซิฟิก สงครามโลกครั้งที่สอง | |||||||
จิมมี ดูลิตเติลกับเครื่องบินทิ้งระเบิด บี-25 บินขึ้นจากดาดฟ้าเรือบรรทุกเครื่องบิน ยูเอสเอส ฮอร์นเน็ท | |||||||
| |||||||
คู่สงคราม | |||||||
ญี่ปุ่น | |||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||
เจมส์ เอช. ดูลิตเติล | เจ้าชายนารูฮิโกะ ฮิงาชิกูนิโนะมิยะ | ||||||
กำลัง | |||||||
| ไม่ทราบกำลังพลที่แน่ชัด[3] | ||||||
ความสูญเสีย | |||||||
|
|
เครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดกลาง บี-25บี มิตเชลล์ จำนวน 16 ลำ ได้เปิดฉากด้วยการบินโดยปราศจากเครื่องบินขับไล่ในคุ้มกัน จากดาดฟ้าเรือบรรทุกอากาศยานของกองทัพเรือสหรัฐ ยูเอสเอส ฮอร์เนต ที่จอดบนทะเลน้ำลึกในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก แต่ละลำถูกบรรจุด้วยนักบินห้าคน แผนดังกล่าวได้ออกคำสั่งให้พวกเขาทำการทิ้งระเบิดต่อเป้าหมายทางทหารในญี่ปุ่นและบินต่อเนื่องไปยังทางตะวันตกเพื่อไปถึงแผ่นดินจีน การตีโฉบฉวยทิ้งระเบิดได้สังหารไปประมาณ 50 คน รวมทั้งพลเรือน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 400 คน เครื่องบินทั้งสิบห้าลำได้บินไปถึงจีนได้สำเร็จ แต่ทั้งหมดได้บินตก ในขณะที่เครื่องบินลำที่ 16 ลงจอดที่วลาดีวอสตอคในสหภาพโซเวียต นักบิน 80 นาย มีผู้รอดชีวิต 77 นายในภารกิจ นักบินแปดนายถูกจับกุมโดยกองทัพญี่ปุ่นในจีน; อีกสามนายได้ถูกประหารชีวิตในเวลาต่อมา เครื่องบินบี-25 ที่ลงจอดในสหภาพโซเวียตได้ถูกยึดและนักบินได้ถูกกักตัวไว้เป็นเวลานานกว่าหนึ่งปีก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้"หลบหนี"ผ่านทางอิหร่านภายใต้การยึดครองของโซเวียตด้วยความช่วยเหลือของหน่วยเอ็นเควีดี นักบินทั้งหมดในเครื่องบินทั้งสิบสี่ลำได้เดินทางกลับไปยังสหรัฐอเมริกาหรือไม่ก็ไปยังกองทัพสหรัฐ ยกเว้นเพียงนักบินหนึ่งนายได้เสียชีวิตในปฏิบัติหน้าที่[4][5]
การตีโฉบฉวยครั้งนี้ได้ก่อให้เกิดความเสียหายเพียงเล็กน้อยต่อญี่ปุ่น เป็นการเพิ่มขวัญกำลังใจในสหรัฐอเมริกา ในขณะเดียวกันได้ทำให้เกิดความเคลือบแคลงในญี่ปุ่นเกี่ยวกับความสามารถของผู้นำทางทหารเพื่อปกป้องเกาะแผ่นดินบ้านเกิด แต่การทิ้งระเบิดและยิงกราดใส่พลเรือนยังทำให้ญี่ปุ่นตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเพื่อเป็นการล้างแค้นและครั้งนี้ได้ใช้ประโยชน์เพื่อวัตถุประสงค์ในการโฆษณาชวนเชื่อ[6] นอกจากนี้ยังได้ผลักดันแผนการของพลเรือเอก อิโซโรกุ ยามาโมโตะ เพื่อเข้าโจมตีเกาะมิดเวย์ในมหาสมุทรแปซิฟิกกลาง ซึ่งเป็นการโจมตีที่ได้ทำให้กองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่นต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบโดยกองทัพเรือสหรัฐในยุทธการที่มิดเวย์ ผลลัพธ์ที่ตามมาคือความรู้สึกที่รุนแรงอย่างมากในจีน ซึ่งญี่ปุ่นได้ทำการแก้แค้นจึงทำให้เกิดการเสียชีวิตของพลเรือน 250,000 คน และทหาร 70,000 นาย[6][2]
ดูลิตเติลได้คิดเอาไว้แต่แรกแล้วว่า การสูญเสียเครื่องบินทั้งหมดนั้นจะทำให้ตัวเขาเองต้องถูกนำตัวขึ้นศาลทหาร[7] แต่เขากลับได้รับการปูนบำเหน็จด้วยมีเดล ออฟ ฮอนเนอร์ และได้รับการเลื่อนตำแหน่งยศสองขั้นเป็นนายพลจัตวา
จุดเริ่มต้น
แก้การตีโฉบฉวยนี้เร่มต้นในการประชุมคณะเสนาธิการทหารที่ทำเนียบขาว เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 1941 ภายใต้ความต้องการของประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ที่จะตอบโต้ต่อจักรวรรติญี่ปุ่นเพื่อสร้างกำลังใจต่อสู้ให้กับชาวอเมริกันที่รู้สึกพ่ายแพ้จากการโจมตีที่เพิร์ลฮาร์เบอร์
แนวคิดของการโจมตีครั้งนี้มาจากกัปตันเรือฟรานซิส โลว์ และได้นำเสนอให้ พลเรือเอกเออร์เนสท์ เจ. คิง ในวันที่ 10 มกราคม 1942 ว่าเครื่องบินทิ้งระเบิดเครื่องยนต์คู่น่าจะบินขึ้นจากเรือบรรทุกเครื่องบินได้ หลักจากการทดลองบินขึ้นหลายครั้งจากสนามบินกองทัพเรือที่นอร์ฟอล์ค, เวอร์จิเนีย ซึ่งได้ทำเครื่องหมายรันเวย์ที่ระยะวิ่งเท่ากับความยาวรันเวย์ของดาดฟ้าเรือบรรทุกเครื่องบิน สุดท้ายการโจมตีครั้งนี้วางแผนและนำทีมโดย จิมมี่ ดูลิตเติล
ภารกิจนี้ต้องการเครื่องบินทิ้งระเบิดที่มีวิสัยทำการเกิน 2,400 ไมล์ทะเล (4,400 กม.) ในขณะที่บรรทุกระเบิดหนัก 2,000 ปอนด์ (910 กก.) ไปด้วย จะมีเครื่องบินอีกสามรุ่นที่เหมาะสมคือ มาร์ติน บี-26 มารัวเดอร์, ดักลาส บี-18 โบโล และ ดักลาส บี-23 ดรากอน แต่สุดท้ายก็เลือกเครื่องบินทิ้งระเบิด บี-25 มิทเชล เพื่อรับหน้าที่นี้ เพราะไม่แน่ใจว่า บี-26 จะสามารถบินขึ้นจากดาดฟ้าเรือได้หรือไม่ และ บี-23 ก็มีปีกใหญ่กว่า บี-25 เกือบ 50% ซึ่งจะทำให้เรือบรรทุกเครื่องบินไปได้น้อยลง สุดท้าย บี-18 ก็ตกไปด้วยเหตุผลคล้าย ๆ กัน
อ้างอิง
แก้- ↑ Doolittle & Glines 1991, pp. 3, 541.
- ↑ 2.0 2.1 Scott 2015.
- ↑ Chun 2006, p. 60.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อbravemen
- ↑ Glines 1998, pp. 166–68.
- ↑ 6.0 6.1 "Aftermath: How the Doolittle Raid Shook Japan". 27 July 2015. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 April 2018. สืบค้นเมื่อ 19 April 2018.
- ↑ "James H. Doolittle". 9 November 2009. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 March 2022. สืบค้นเมื่อ 31 July 2022.
ข้อมูล
แก้- Chun, Clayton K. S. (2006). The Doolittle Raid 1942: America's First Strike Back at Japan. Campaign. Vol. 156. Illustrated by Howard Gerrard. Botley, Oxford: Osprey. ISBN 978-1841769189. OCLC 1148923535. OL 8922817M.
- Doolittle, James H. (9 July 1942). "General Doolittle's Report on Japanese Raid". HyperWar. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 February 2021. สืบค้นเมื่อ 5 October 2020.
- Doolittle, James H.; Glines, Carroll V. (1991). I Could Never Be So Lucky Again: An Autobiography. New York: Bantam Books. ISBN 0553584642.
- Glines, Carroll V. (1988). The Doolittle Raid: America's Daring First Strike Against Japan. New York: Orion Books. ISBN 0517567482. OCLC 17548701. OL 2526629M.
- Scott, James M. (2015). "The Untold Story of the Vengeful Japanese Attack After the Doolittle Raid". Smithsonian Magazine (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 March 2021. สืบค้นเมื่อ 2020-02-15.
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- Official Doolittle Raiders website Archived
- Doolittle Raid. Naval History and Heritage Command
- Children of the Doolittle Raiders website
- Official historian of the Doolittle raid, Carroll V. Glines talks about the raid เก็บถาวร 10 มีนาคม 2016 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ภาพยนตร์สั้น Newsreel of the Doolittle Raid สามารถดาวน์โหลดได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายที่อินเทอร์เน็ตอาร์ไคฟ์
- Unsettled History: America, China, and the Doolittle Tokyo Raid – PBS documentary video (57 min.)
- UnsettledHistory.tv – web site about the PBS documentary above.