กาตาลินาแห่งอารากอน
บทความนี้อาจต้องการตรวจสอบต้นฉบับ โดยเฉพาะ
|
บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากแหล่งที่มาใด |
แคเธอรีนแห่งอารากอน (อังกฤษ: Catherine of Aragon; สเปน: Catalina de Aragón y Castilla) (ประสูติ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1485 – สิ้นพระชนม์ 7 มกราคม ค.ศ. 1536) เจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์จากราชวงศ์สเปน และ พระราชธิดาของ "กษัตริย์คาทอลิก" ผู้ทรงอำนาจแห่งคาบสมุทรไอบีเรีย พระองค์ทรงก้าวขึ้นสู่บัลลังก์แห่งอังกฤษในฐานะ สมเด็จพระราชินีพระองค์แรกของ พระเจ้าเฮนรีที่ 8 แห่งอังกฤษ ด้วยความศรัทธาอันแน่วแน่และคุณธรรมอันเข้มแข็ง ตลอดระยะเวลา 24 ปีที่ทรงดำรงพระอิสริยยศพระมเหสี แคเธอรีนทรงเป็นที่รักใคร่ของประชาชนและทรงมีบทบาทสำคัญในการเมืองอังกฤษ
แคทเธอรีนแห่งอารากอน | |||||
---|---|---|---|---|---|
เจ้าหญิงม่ายแห่งเวลส์ อดีตพระราชินีแห่งอังกฤษ | |||||
![]() | |||||
สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ | |||||
ดำรงพระยศ | 11 มิถุนายน ค.ศ. 1509 - 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1533 | ||||
ประสูติ | 16 ธันวาคม ค.ศ. 1485 Archiepiscopal Palace of Alcalá de Henares, พระราชวังอาร์ชบิชอป, อัลกาลาเดเอนาเรส, ประเทศสเปน | ||||
สวรรคต | 7 มกราคม ค.ศ. 1536 (อายุ 50 ปี) Kimbolton Castle , Cambridgeshire, Kingdom of England (ปราสาทคิมโบลตัน, เคมบริดจ์เชอร์, ประเทศอังกฤษ | ||||
ฝังพระศพ | 29 มกราคม ค.ศ. 1536 อาสนวิหารปีเตอร์บะระ , ประเทศอังกฤษ | ||||
คู่อภิเษก | - เจ้าชายอาเธอร์ เจ้าชายแห่งเวลส์ (สมรส ค.ศ. 1501; สิ้นพระชนม์ ค.ศ. 1502) -พระเจ้าเฮนรีที่ 8 แห่งอังกฤษ (สมรส ค.ศ. 1509; หย่า ค.ศ. 1533 ) | ||||
พระราชบุตร รายละเอียด | - เจ้าชายเฮนรี ดยุกแห่งคอร์นวอลล์ - สมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ 1 แห่งอังกฤษ | ||||
| |||||
ราชวงศ์ | ตรัสตามารา (ประสูติ) ทิวดอร์ (สมรส) | ||||
พระราชบิดา | พระเจ้าเฟร์นันโดที่ 2 แห่งอารากอน | ||||
พระราชมารดา | สมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลที่ 1 แห่งกัสติยา | ||||
ศาสนา | ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก | ||||
ลายพระอภิไธย | ![]() |
พระมเหสีทั้งหกของ พระเจ้าเฮนรีที่ 8 |
---|
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
ทว่า ชีวิตสมรสอันยาวนานของพระองค์ต้องเผชิญกับมรสุมใหญ่ เมื่อพระเจ้าเฮนรีที่ 8 ทรงปรารถนาที่จะได้พระราชโอรสเพื่อสืบราชบัลลังก์ การตัดสินใจที่จะขอให้การสมรสเป็นโมฆะของพระองค์ได้จุดชนวนความขัดแย้งที่มิอาจหวนกลับกับอำนาจของ สันตะปาปา ใน กรุงโรม ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ศาสนา และ สังคมครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ นั่นคือ การปฏิรูปศาสนาในอังกฤษ และการแยกนิกาย เชิร์ชออฟอิงแลนด์ ออกจาก คริสตจักรโรมันคาทอลิก ชะตาชีวิตของแคเธอรีนแห่งอารากอนจึงมิใช่เพียงเรื่องราวส่วนตัว แต่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สั่นสะเทือนยุโรปทั้งทวีป และยังคงเป็นบทเรียนที่น่าสนใจถึงความมุ่งมั่น อดทน และอิทธิพลอันใหญ่หลวงของสตรีผู้ไม่ยอมจำนน
ประวัติ
แก้แคเธอรีนแห่งอารากอน ประสูติเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1485 ณ พระราชวังอาร์ชบิชอป เมืองอัลกาลาเดเอนาเรส (Alcalá de Henares) ใกล้กับกรุงมาดริด ในราชอาณาจักรกัสติยา (ปัจจุบันคือประเทศสเปน) พระองค์ทรงเป็นพระธิดาพระองค์สุดท้องในบรรดาพระโอรสธิดาห้าพระองค์ของ สมเด็จพระเจ้าเฟร์นันโดที่ 2 แห่งอารากอน และ สมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลลาที่ 1 แห่งกัสติยา ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม "กษัตริย์คาทอลิก" ผู้ทรงผนวกแผ่นดินสเปนให้เป็นปึกแผ่น พระองค์มีพระเชษฐภคินีคือ อิซาเบลแห่งอารากอน สมเด็จพระราชินีแห่งโปรตุเกส (Isabella, Queen of Portugal) และ สมเด็จพระราชินีนาถฆัวนาแห่งกัสติยา(Joanna the Mad) และ มาริอาแห่งอารากอน สมเด็จพระราชินีแห่งโปรตุเกส (Maria, Queen of Portugal) รวมถึงพระเชษฐา คือ เจ้าชายฮวนแห่งอัสตูเรียส (Juan, Prince of Asturias) แคเธอรีนทรงได้รับการอบรมเลี้ยงดูอย่างเข้มงวดตามหลักศาสนา ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก และ ได้รับการศึกษาอย่างดีเยี่ยมในด้านต่างๆ รวมถึงภาษาละติน กรีก ประวัติศาสตร์ และเทววิทยา ซึ่งเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับบทบาทสำคัญทางการเมืองและราชวงศ์ในอนาคต
การอภิเษกสมรสครั้งแรก
แก้เพื่อสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งระหว่างสเปนและอังกฤษ ราชวงศ์สเปนได้จัดให้แคเธอรีนทรงอภิเษกสมรสกับ เจ้าชายอาเธอร์ เจ้าชายแห่งเวลส์ (Arthur, Prince of Wales) พระโอรสองค์โตใน
พระเจ้าเฮนรีที่ 7 แห่งอังกฤษ ซึ่งเป็นกษัตริย์ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ทิวเดอร์ และ เอลิซาเบธแห่งยอร์ก ข้อตกลงการสมรสนี้ได้รับการลงนามในสนธิสัญญาเมดินา เดล คัมโป (Treaty of Medina del Campo) ในปี ค.ศ. 1489
แคเธอรีนทรงเสด็จถึงอังกฤษในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1501 พร้อมด้วยข้าราชบริพารชาวสเปนจำนวนมาก และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นและยิ่งใหญ่
แคเธอรีนอภิเษกสมรสกับเจ้าชายอาเธอร์ ในวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ.1501 ณ อาสนวิหารนักบุญพอล ใน กรุงลอนดอน หลังพิธีอภิเษกสมรส ทั้งสองพระองค์เสด็จไปประทับที่ปราสาทลุดโลว์ (Ludlow Castle) ในแคว้นเวลส์ ซึ่งเป็นที่ประทับตามธรรมเนียมของเจ้าชายแห่งเวลส์
อย่างไรก็ตาม ชีวิตสมรสครั้งแรกของแคเธอรีนนั้นสั้นและเต็มไปด้วยโศกนาฏกรรม เจ้าชายอาร์เธอร์ทรงประชวรด้วย "โรคเหงื่อออก" (sweating sickness) ซึ่งเป็นโรคระบาดร้ายแรงในยุคนั้น และสิ้นพระชนม์ในอีกไม่กี่เดือนต่อมา ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1502 ขณะทรงมีพระชนมายุเพียง 15 พรรษา ทำให้แคเธอรีนเป็นม่ายตั้งแต่อายุเพียง 16 ปี
การอภิเษกสมรสครั้งที่สอง:พระราชินีแห่งอังกฤษ
แก้หลังการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายอาเธอร์ ราชวงศ์อังกฤษและสเปนต่างต้องการรักษาสัมพันธ์พันธมิตรไว้ และที่สำคัญกว่านั้นคือเพื่อไม่ให้เงินค่าสินสอดที่ได้รับไปแล้วต้องคืนให้กับสเปน จึงมีการเสนอให้แคเธอรีนอภิเษกสมรสกับ เจ้าชายเฮนรี ดยุกแห่งยอร์ก (Henry, Duke of York) พระอนุชาของเจ้าชายอาเธอร์ ซึ่งต่อมาคือพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8
การสมรสกับพี่สะใภ้ขัดแย้งกับหลักพระคัมภีร์ไบเบิลในหนังสือเลวีนิติ (Leviticus 20:21) ที่ระบุว่า "หากชายใดแต่งงานกับภรรยาของพี่ชาย มันเป็นความอัปยศ เขาจะไม่มีบุตร" อย่างไรก็ตาม แคเธอรีนยืนยันมาโดยตลอดว่าการสมรสกับเจ้าชายอาเธอร์ไม่เคยสมบูรณ์ (ไม่ได้มีการร่วมประเวณีกัน) ทำให้ไม่เข้าข่ายข้อห้ามดังกล่าว และ สมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ได้ประทานพระราชกำหนดผ่อนผันพิเศษ (papal dispensation) ให้กับการสมรสครั้งนี้ในปี ค.ศ.1503 เพื่อให้การสมรสสามารถดำเนินไปได้
หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 7 ในปี ค.ศ.1509 เจ้าชายเฮนรี่ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าที่ 8 แห่งอังกฤษ และทรงอภิเษกสมรสกับแคเธอรีนในวันที่ 11 มิถุนายน ค.ศ. 1509 ทั้งสองพระองค์ทรงได้รับการราชาภิเษกพร้อมกันเป็นกษัตริย์และพระราชินีแห่งอังกฤษ ณ เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ ในวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1509 ด้วยความยินดีของประชาชน
ชีวิตในฐานะสมเด็จพระราชินีและแรงกดดันจากการสืบราชสันตติวงศ์
แก้ในช่วงสิบปีแรกของการครองราชย์ พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ทรงรักและเคารพแคเธอรีนมาก พระองค์ทรงเป็นพระมเหสีที่เข้มแข็ง มีความสามารถด้านการทูต และเป็นที่นิยมในหมู่ประชาชน แคเธอรีนทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในช่วงที่พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 เสด็จไปทำสงครามในฝรั่งเศส และทรงมีบทบาทสำคัญในการวางแผนและจัดการทัพต่อสู้กับกองทัพสก็อตที่รุกรานใน ยุทธการฟลอดเดน (Battle of Flodden) ในปี ค.ศ. 1513 ซึ่งอังกฤษได้รับชัยชนะ
แคเธอรีนทรงตั้งครรภ์หลายครั้ง แต่โชคไม่ดีที่พระโอรสส่วนใหญ่สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ รวมถึง เจ้าชายเฮนรี ดยุกแห่งคอร์นวอลล์ ที่ประสูติในปี ค.ศ.1511 และ สิ้นพระชนม์ในเวลาเพียง 52 วัน เหลือเพียงพระธิดาเพียงพระองค์เดียวที่รอดชีวิต คือ สมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ 1 แห่งอังกฤษ (Mary I) ประสูติในปี ค.ศ. 1516
การไม่มีพระโอรสเป็นเรื่องที่สร้างความกังวลอย่างมากให้กับพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ผู้ซึ่งต้องการรัชทายาทชายเพื่อสืบราชสันตติวงศ์ และ รักษาความมั่นคงของราชบัลลังก์อังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังสงครามดอกกุหลาบที่เพิ่งจบไปไม่นาน พระองค์เชื่อว่าการสมรสกับแคเธอรีนเป็นสิ่งต้องห้ามในสายพระเนตรของพระเจ้า ตามบทบัญญัติในพระคัมภีร์ไบเบิล (เลวีนิติ 20:21) และ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีพระโอรส
การปฏิรูปศาสนา
แก้ด้วยความสิ้นหวังที่จะได้พระโอรส และ เชื่อว่าการสมรสไม่ชอบด้วยกฎของพระเจ้า พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 จึงขอให้การสมรสกับแคเธอรีนเป็นโมฆะ (annulment) จากสมเด็จพระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 7 ในราวปี ค.ศ.1527 โดยอ้างว่าการผ่อนผันพิเศษที่ได้รับในตอนแรกนั้นไม่ถูกต้อง และ เป็นโมฆะตั้งแต่ต้น
แคเธอรีนแห่งอารากอนเป็นผู้หญิงที่ยึดมั่นในศาสนาและหลักการอย่างแรงกล้า พระองค์ทรงปฏิเสธที่จะยอมรับการเป็นโมฆะอย่างสิ้นเชิง โดยทรงยืนกรานมาโดยตลอดว่าการสมรสของพระองค์กับเจ้าชายอาเธอร์ไม่เคยสมบูรณ์ และ การสมรสกับพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 นั้น ถูกต้องตามกฎหมาย และชอบด้วยกฎของพระเจ้า พระองค์ทรงอุทธรณ์ไปยังสมเด็จพระสันตะปาปาโดยตรง และ ได้รับการสนับสนุนจากจักรพรรดิคาร์ลที่ 5 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ผู้เป็นพระราชภาติยะ (หลาน) ของพระองค์
สมเด็จพระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 7 ไม่สามารถอนุมัติการเป็นโมฆะได้ เนื่องจากอยู่ภายใต้อิทธิพลของ จักรพรรดิคาร์ลที่ 5 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Charles V) ผู้เป็นพระราชภาติยะ (หลาน) ของแคเธอรีน ความล่าช้า และ ปฏิเสธนี้ทำให้พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ทรงตัดสินใจที่จะแยกอังกฤษออกจากอำนาจของสันตะปาปาในกรุงโรม นำไปสู่การประกาศใช้พระราชบัญญัติอำนาจสูงสุด (Act of Supremacy) ในปี ค.ศ.1534 ซึ่งทำให้กษัตริย์อังกฤษเป็นประมุขสูงสุดของ เชิร์ชออฟอิงแลนด์ การกระทำนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปศาสนาในอังกฤษ
ในปี ค.ศ.1533 ทอมัส แครนเมอร์ อาร์คบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ได้ประกาศให้การสมรสระหว่างพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 และ แคเธอรีนเป็นโมฆะอย่างเป็นทางการ และ ไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้น พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ได้ทรงอภิเษกสมรสกับแอนน์ โบลีน อย่างลับๆ
บั้นปลายชีวิตและการสิ้นพระชนม์
แก้หลังจากการประกาศเป็นโมฆะ แคเธอรีนถูกปลดออกจากตำแหน่งสมเด็จพระราชินีและถูกเรียกขานว่า "เจ้าหญิงม่ายแห่งเวลส์" (Dowager Princess of Wales) ซึ่งเป็นพระยศที่ทรงดำรงหลังการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายอาเธอร์ พระองค์ถูกบังคับให้ออกจากราชสำนักและย้ายไปประทับในปราสาทห่างไกลหลายแห่ง เช่น ปราสาทฮัทฟิลด์ ปราสาทมัวร์ และสุดท้ายคือปราสาทคิมโบลตัน โดยทรงถูกตัดขาดจากพระธิดา ซึ่งเป็นความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสสำหรับพระองค์
ตลอดช่วงเวลาที่ถูกกักบริเวณ แคเธอรีนทรงยืนกรานมาโดยตลอดว่าพระองค์คือสมเด็จพระราชินีที่ถูกต้องตามกฎหมายของอังกฤษ และทรงไม่ยอมรับการประกาศเป็นโมฆะ หรือ การแต่งตั้งแอนน์ โบลีนเป็นพระราชินี พระองค์ทรงได้รับการสนับสนุนจากประชาชนจำนวนมากที่ยังคงมองว่าพระองค์เป็นพระราชินีที่แท้จริง
แคเธอรีนแห่งอารากอนสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 1536 ณ ปราสาทคิมโบลตัน (Kimbolton Castle) ในฮันติงดันเชอร์ สภาพพระศพที่ถูกชันสูตรในภายหลังมีลักษณะคล้ายกับการวางยาพิษ อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดที่สามารถพิสูจน์ได้ถึงสาเหตุการสิ้นพระชนม์ที่แท้จริง และนักประวัติศาสตร์ในปัจจุบันส่วนใหญ่เชื่อว่าพระองค์สิ้นพระชนม์ด้วยโรคมะเร็ง
พระศพของพระองค์ถูกฝังอยู่ที่อาสนวิหารปีเตอร์บะระ (Peterborough Cathedral) ด้วยความเคารพในฐานะเจ้าหญิงม่ายแห่งเวลส์ ไม่ใช่สมเด็จพระราชินี
บทบาททางการเมืองและการทูต
แก้ในปี ค.ศ. 1507 พระราชินีกาตาลินาได้รับแต่งตั้งจากพระบิดา พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 2 แห่งอารากอน ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำราชสำนักอังกฤษ นับเป็นสตรีคนแรกในประวัติศาสตร์ยุโรปที่ดำรงตำแหน่งนี้อย่างเป็นทางการ พระองค์ทรงมีความสามารถด้านภาษาและการเจรจาทางการทูต สามารถสื่อสารได้หลายภาษา รวมถึงสเปน อังกฤษ ละติน ฝรั่งเศส และกรีก ซึ่งช่วยให้พระองค์สามารถดำเนินภารกิจทางการทูตได้อย่างมีประสิทธิภาพ[1]
ในปี ค.ศ.1513 ระหว่างที่พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 เสด็จไปรบกับฝรั่งเศส พระราชินีกาตาลินาทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในช่วงเวลานั้น สกอตแลนด์ซึ่งเป็นพันธมิตรของฝรั่งเศส ได้ประกาศสงครามกับอังกฤษ พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในการเตรียมการป้องกันประเทศ โดยทรงออกคำสั่งระดมพล แต่งตั้งนายอำเภอ ลงนามในเอกสารราชการ และจัดสรรงบประมาณเพื่อการสงคราม[2]
พงศาวลี
แก้พงศาวลีของพระนางกาตาลินาแห่งอารกอน |
---|
พระอิสริยยศ
แก้- 16 ธันวาคม พ.ศ. 2028 - 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2044: ซูอัลเตซาเรอัล อินฟันตาแห่งสเปน (Her Royal Highness Infanta Catalina of Spain)
- 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2044 - 2 เมษายน พ.ศ. 2045: เจ้าหญิงแห่งเวลส์ (Her Royal Highness the Princess of Wales)
- 2 เมษายน พ.ศ. 2045 - 11 มิถุนายน พ.ศ. 2052: เจ้าหญิงม่ายแห่งเวลส์ (Her Royal Highness the Dowager Princess of Wales)
- 11 มิถุนายน พ.ศ. 2052 - 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2076: สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ (Her Majesty the Queen of England)
- 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2076 - 7 มกราคม พ.ศ. 2079: เจ้าหญิงม่ายแห่งเวลส์ (Her Royal Highness the Dowager Princess of Wales)
อ้างอิง
แก้- tudorhistory.org - A good overview of her life, accompanied by an excellent portrait gallery
- englishhistory.net - An in-depth look at her life and times
- A geo-biography เก็บถาวร 2008-12-21 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน of the Six Wives of Henry the VIII on Google Earth
- Guardian unlimited, letter from her to Pope Clement VII
เชิงอรรถ
แก้- Henry VIII and his Court by Neville Williams (1971).
- The Life and Times of Henry VIII by Robert Lacey (1972).
- Henry VIII by J. J. Scarisbrick (1972) ISBN 978-0-520-01130-4.
- Anne Boleyn by N. Lofts (1979) ISBN 0-698-11005-6.
- The Wives of Henry VIII by Lady Antonia Fraser (1992) ISBN 0-679-73001-X.
- English Reformations by Christopher Haigh (1993).
- Europe and England in the Sixteenth Century by T. A. Morris (1998).
- New Worlds, Lost Worlds by Susan Brigden (2000).
- Six Wives: The Queens of Henry VIII by David Starkey (2003) ISBN 0-06-000550-5.
ก่อนหน้า | กาตาลินาแห่งอารากอน | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
แอนน์ เนวิลล์ | เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ใน เจ้าชายอาเธอร์ เจ้าชายแห่งเวลส์ |
คาโรลีเนอแห่งบรันเดินบวร์ค-อันส์บัค | ||
เอลิซาเบธแห่งยอร์ก | พระราชินีแห่งอังกฤษใน สมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8 |
แอนน์ บุลิน |
- ↑ Jackson, James (2022). "The Real Katherine of Aragon: Diplomat, Soldier and Educator". Medium. สืบค้นเมื่อ 17 พฤษภาคม 2025.
- ↑ Solly, Meilan (2019). "When Catherine of Aragon Led England's Armies to Victory Over Scotland". Smithsonian Magazine. สืบค้นเมื่อ 17 พฤษภาคม 2025.