กันยายนทมิฬ เป็นความขัดแย้งระหว่างกองทัพจอร์แดน นำโดยสมเด็จพระราชาธิบดีฮุสเซนแห่งจอร์แดนกับองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ (PLO) นำโดยยัสเซอร์ อาราฟัต การปะทะหลักเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 16-27 กันยายน ค.ศ. 1970 แต่ยังมีการปะทะกันประปรายจนถึงวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1971

กันยายนทมิฬ
أيلول الأسود
ส่วนหนึ่งของ สงครามเย็นอาหรับ

กลุ่มควันเหนือกรุงอัมมาน ระหว่างการปะทะกันของกองทัพจอร์แดนกับเฟดายีน วันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1970
วันที่6 กันยายน ค.ศ. 1970 – 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1971
(ช่วงหลัก 16–27 กันยายน ค.ศ. 1970)
สถานที่
จอร์แดน
ผล

จอร์แดนชนะ

คู่สงคราม

องค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์

 ซีเรีย

 จอร์แดน

ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ
ยัสเซอร์ อาราฟัต
คาลิล อัล-วาซีร์
อะบู อาลี ไอยัด
จอร์จ ฮาบาช
นาเยฟ ฮาวัตเมห์
ซีเรีย ซาลาห์ จาดิด
จอร์แดน สมเด็จพระราชาธิบดีฮุสเซนแห่งจอร์แดน
จอร์แดน ฮาบิส อัล-มาจาลี
จอร์แดน ซาอิด อิบน์ เชเกอร์
จอร์แดน วาสฟี อัล-ทอล
ปากีสถาน โมฮัมหมัด เซีย อุล ฮัก
กำลัง
15,000–40,000[1]
ซีเรีย 10,000[2]
รถถัง 300 คัน[3]
จอร์แดน 65,000–74,000[4]
ความสูญเสีย
PLO: ตาย 3,400 คน[5][6]
ซีเรีย: ตายและบาดเจ็บ 600 คน[1]
รถถังและยานเกราะสูญหาย 120 คัน[7]
จอร์แดน: ตาย 537 คน[8]

การที่จอร์แดนเสียเขตเวสต์แบงก์ให้อิสราเอลในสงครามหกวัน ทำให้นักรบปาเลสไตน์หรือเฟดายีนย้ายฐานไปที่เมืองคาราเมห์ในจอร์แดน ปี ค.ศ. 1968 กองกำลังป้องกันอิสราเอลโจมตีเมืองคาราเมห์เพื่อตอบโต้การโจมตีของเฟดายีนครั้งก่อนหน้าและลงโทษจอร์แดนที่ให้การสนับสนุน การสู้รบครั้งนี้ทำให้เฟดายีนได้รับการสนับสนุนจากชาติอาหรับมากขึ้น[9] ในปี ค.ศ. 1970 เฟดายีนที่เริ่มมีอำนาจในจอร์แดนประกาศจะล้มล้างราชวงศ์ฮัชไมต์และพยายามลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ฮุสเซน 2 ครั้ง[10] ต่อมาในเดือนกันยายน ปีเดียวกัน กลุ่มแนวร่วมประชาชนเพื่อการปลดปล่อยปาเลสไตน์จี้เครื่องบิน 3 ลำให้ลงจอดที่ดอว์สันส์ฟิลด์ในเมืองซาร์กาเพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักโทษชาวอาหรับและปาเลสไตน์ เหตุการณ์นี้เป็นเสมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้กษัตริย์ฮุสเซนสั่งขับไล่กลุ่มเฟดายีนให้ออกไปจากจอร์แดน[11]

วันที่ 17 กันยายน ค.ศ. 1970 กองทัพจอร์แดนล้อมเมืองอัมมานและเออร์บิดที่มีเฟดายีนอยู่ก่อนจะยิงถล่มด้วยปืนใหญ่ วันต่อมา กองทัพซีเรียเข้ามาสนับสนุนเฟดายีน ในวันที่ 22 กันยายน กองทัพซีเรียถอนกำลังหลังถูกจอร์แดนโจมตีทางภาคพื้นดินและทางอากาศอย่างหนัก แต่ความกดดันจากชาติอาหรับทำให้กษัตริย์ฮุสเซนยอมลงนามอนุญาตให้เฟดายีนอยู่ในจอร์แดนต่อไป อย่างไรก็ตามจอร์แดนโจมตีอีกครั้งในปีต่อมา[12] การสู้รบจบลงในวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1971 เมื่อเฟดายีนยอมจำนนหลังถูกล้อมใกล้เมืองอาจลอน[13]

หลังการสู้รบ จอร์แดนยอมให้เฟดายีนอพยพไปที่เลบานอน กลายเป็นชนวนเหตุหนึ่งที่นำไปสู่สงครามกลางเมืองเลบานอน[14] ด้านชาวปาเลสไตน์ก่อตั้งองค์การกันยายนทมิฬโดยมีจุดประสงค์เพื่อแก้แค้นจอร์แดน พวกเขาลอบสังหารวาสฟี อัล-ทอล นายกรัฐมนตรีจอร์แดนก่อนจะก่อเหตุสังหารนักกีฬาชาวอิสราเอลในกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1972 ที่เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนีตะวันตก[15]

อ้างอิง แก้

  1. 1.0 1.1 Katz, Samuel M. (1995). Arab Armies of the Middle East Wars 2. New York: Osprey Publishing. p. 10. ISBN 0-85045-800-5.
  2. Dunstan, Simon (2003). The Yom Kippur War 1973: Golan Heights Pt. 1. Elsm Court, Chapel Way, Botley, Oxford OX2 9LP, United Kingdom: Osprey Publishing Ltd. ISBN 1 84176 220 2.{{cite book}}: CS1 maint: location (ลิงก์)
  3. Shlaim 2008, p. 326.
  4. Shlaim 2008, p. 321.
  5. Massad, Joseph Andoni (2001). Colonial Effects: The Making of National Identity in Jordan. New York: Columbia University Press. p. 342. ISBN 0-231-12323-X.
  6. Bailey, p. 59, The Making of a War, John Bulloch, p. 67
  7. Shlaim 2008, p. 334.
  8. "Duty Martyrs". JAF. สืบค้นเมื่อ 31 August 2017.
  9. "1968: Karameh and the Palestinian revolt". Telegraph. สืบค้นเมื่อ November 21, 2018.
  10. "What Was Black September?". WorldAtlas.com. สืบค้นเมื่อ November 21, 2018.
  11. "The 1970 Palestinian Hijackings of Three Jets to Jordan". ThoughtCo. สืบค้นเมื่อ November 21, 2018.
  12. "Black September and the PLO". ThoughtCo. สืบค้นเมื่อ November 21, 2018.
  13. Shlaim 2008, p. 311-340.
  14. "Lebanese Civil War". Encyclopedia.com. สืบค้นเมื่อ November 21, 2018.
  15. "Black September Group". Encyclopedia.com. สืบค้นเมื่อ November 21, 2018.