กรมพระเทพามาตย์ (นกเอี้ยง)
กรมพระเทพามาตย์ (สวรรคต: 7 มีนาคม พ.ศ. 2317) มีพระนามเดิมว่า เอี้ยง หรือ นกเอี้ยง เป็นพระราชชนนีในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี สันนิษฐานว่าแต่เดิมพระองค์มีพื้นเพเป็นชาวจังหวัดเพชรบุรีและอาจมีเชื้อสายจีน พระองค์สมรสกับหยง แซ่แต้ วานิชชาวแต้จิ๋ว มีบุตรคนหนึ่งชื่อ สิน ที่ต่อมาได้ครองราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
กรมพระเทพามาตย์ (นกเอี้ยง) | |
---|---|
กรมพระเทพามาตย์ | |
ดำรงพระยศ | พ.ศ. 2312 – 7 มีนาคม พ.ศ. 2317 |
ก่อนหน้า | กรมพระเทพามาตุ (พลับ) |
พระราชสมภพ | ไม่ปรากฏ |
สวรรคต | 7 มีนาคม พ.ศ. 2317 กรุงธนบุรี อาณาจักรธนบุรี |
ถวายพระเพลิง | 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2318 พระเมรุ วัดบางยี่เรือใต้ กรุงธนบุรี อาณาจักรธนบุรี |
บรรจุพระอัฐิ | พระราชวังกรุงธนบุรี |
พระสวามี | หยง แซ่แต้ |
พระราชบุตร | สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี |
ราชวงศ์ | ธนบุรี |
หลังสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีขึ้นครองราชย์ ในปี พ.ศ. 2312 ก็ทรงสถาปนานกเอี้ยงพระราชชนนีขึ้นเป็น กรมพระเทพามาตย์ ตามพระราชประเพณี ล่วงมาได้ปี พ.ศ. 2317 กรมสมเด็จพระเทพามาตย์ได้ประชวรพระยอดอัคเนสัน (ฝีชนิดหนึ่ง) และสวรรคตในเวลาต่อมา
พระนาม
แก้ก.ศ.ร. กุหลาบ เป็นบุคคลแรก ๆ ที่ระบุว่ากรมพระเทพามาตย์ มีนามเดิมว่า "เอี้ยง" หรือ "นกเอี้ยง" แต่กลับไม่ปรากฏพระนามใน อภินิหารบรรพบุรุษ[1] ส่วนใน ประวัติเจิ้งเจา ของสือเอ้อเหมยจี เรียกว่า ลั่วยั้ง หรือ นางนกยาง[2]
ส่วนนิธิ เอียวศรีวงศ์ ว่า พระนามจริงของพระองค์ว่ากระไร ยังไม่มีทางสอบสวนได้แน่ชัดเลยจนบัดนี้[1]
พระประวัติ
แก้พระชนมชีพตอนต้นและครอบครัว
แก้กรมพระเทพามาตย์ สันนิษฐานว่าเป็นธิดาของขุนนางในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแห่งกรุงศรีอยุธยา[3] และคาดว่าหากจริงก็คงเป็นตระกูลใหญ่พอสมควร[4] พระองค์มีพระขนิษฐาที่ปรากฏนามพระองค์หนึ่งชื่อ อั๋น หรือ ฮั้น (ต่อมาได้รับการสถาปนาอิสริยยศเป็นกรมหลวงเทวินทรสุดาในสมัยกรุงธนบุรี)[5] เรื่องราวเกี่ยวกับพระชาติกำเนิดนั้น พระสังฆราชปาลเลอกัวซ์ (ฝรั่งเศส: Jean Baptiste Pallegoix) ได้ระบุไว้ว่าพระองค์เป็นคนไทย แต่ฟร็องซัว ตุรแปง (ฝรั่งเศส: Francois Turpin) นักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศสระบุว่าพระองค์เป็นคนจีน[2] ซึ่งสอดคล้องกับ ก.ศ.ร. กุหลาบ ที่ได้ระบุว่านกเอี้ยงมีแซ่เดิมว่า โหงว (จีน: 吴) ซึ่งเป็นแซ่เดียวกันกับพระวิชัยวารี (หลิน แซ่โหงว) ขุนนางจีนในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี[2] และยังให้ข้อมูลต่อว่านกเอี้ยงเป็นชาวบ้านแหลม แขวงเมืองเพชรบุรี และอาจเป็นเครือญาติกับพระยาเพชรบุรี (เรือง) ซึ่งดำรงตำแหน่งในช่วงกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ที่เป็นบิดาของพระยาสวรรคโลกต้นสกุลบุญ-หลง พลางกูร และกรีวัตร[4]
ส่วนข้อสันนิษฐานว่าพื้นเพเดิมของพระองค์ตั้งอยู่แถบบ้านแหลม เมืองเพชรบุรี ปรากฏในหนังสือปฐมวงศ์ที่ระบุไว้ว่า "มารดาพระยาตากสินที่หนีพม่าไปอยู่บ้านแหลมแขวงเมืองเพชรบุรี..."[6] และคงย้ายเข้ามาอาศัยในกรุงศรีอยุธยาเป็นเวลาช้านาน ดังปรากฏในหนังสือปฐมวงศ์ ฉบับของ ก.ศ.ร. กุหลาบ ซึ่งระบุเรื่องราวของนกเอี้ยงและสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทเมื่อครั้งยังเป็น นายสุดจินดา (บุญมา) ไว้ว่า "...เป็นคนรู้จักคุ้นเคยกันมาช้านานแต่ยังอยู่ในกรุงมาด้วยกัน..."[6]
ทั้งนี้พระองค์เป็นญาติของพระเจ้าหลานเธอ เจ้ารามลักษณ์ กรมขุนอนุรักษ์สงคราม (พระนามเดิมว่า บุญมี) ด้วยพึงสังเกตว่าสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดเกล้าให้เจ้ารามลักษณ์กำกับเมืองเพชรบุรี[7]
สมรส
แก้ตามอภินิหารบรรพบุรุษ นกเอี้ยงสมรสกับชายจีนแต้จิ๋วชื่อหยง แซ่แต้ (จีน: 鄭鏞)[8] ที่มีถิ่นฐานเดิมในตำบลหัวฟู่ อำเภอเทงไฮ้ (เฉิงไห่)[9] นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้อธิบายว่า พระราชบิดาของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีน่าจะประกอบอาชีพค้าขายเป็นหลัก มิใช่นายอากรบ่อนเบี้ย เป็นคำอธิบายที่ว่าเหตุใดนายสินจึงไม่ทรงประมูลอากรสืบต่ออาชีพจากบิดา จึงน่าจะเป็นพ่อค้าเกวียนมากกว่า[10] ส่วน ตำนานอากรบ่อนเบี้ย พระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงให้ข้อมูลว่าตำแหน่งขุนพัฒน์เพิ่งมีขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย[2] ภายหลังหยงและนกเอี้ยงได้ให้กำเนิดบุตรชายชื่อว่า สิน เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2277[8] และภายหลังได้ยกเป็นบุตรบุญธรรมของเจ้าพระยาจักรี (ครุฑ) ซึ่งต่อมานายสินได้เป็นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์และตั้งราชธานีที่ธนบุรี
การสถาปนาและการสวรรคต
แก้เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาแตก ประชาชนทั้งหลายก็ต่างพากันหลบหนีพม่า ครั้งนั้นกรมพระเทพามาตย์เองได้หนีไปพำนักในแขวงเมืองเพชรบุรี ซึ่งนายสุดจินดา (บุญมา) ก็เป็นธุระจัดการนำพระองค์มาจากเพชรบุรี เพื่อมาส่งให้สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีในค่ายที่ชลบุรี[11]
ภายหลังเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสิน เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติแล้ว ได้ทรงสถาปนาพระราชชนนีขึ้นดำรงอิสริยยศเป็น กรมพระเทพามาตย์ ตามโบราณราชประเพณีใน พ.ศ. 2312[6][12] ต่อมาพระองค์ประชวรพระยอดอัคเนสันในปลายปีมะเมียฉอศก จุลศักราช 1136 ในช่วงเวลาที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีกำลังล้อมค่ายพม่าที่บ้านบางนางแก้ว ปรากฏความใน จดหมายรายวันทัพ ว่าวัน ๓ ๖ฯ ๔ ค่ำ ซึ่งตรงกับวันอังคารที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2317 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงทราบข่าวการประชวรเป็นครั้งแรก ความว่า[13]
"อนึ่งเพลาย่ำค่ำแล้ว ๕ บาท ขุนวิเศษโอสถหมอ ถือพระอาการทรงพระประชวรสมเด็จพระพันปีหลวงมาถวาย ในพระตำหนักค่ายวัดเขาพระ ครั้นทอดพระเนตรพระอาการแล้วเร่งในขุนวิเศษโอสถกลับไป ถ้าเจ้าคุณเปนเหตุการสิ่งใด ให้เอาหมอจำไว้แล้วริบให้สิ้น แล้วตรัสว่าพระโรคหนักนัก จะมิได้ไปทันเห็นพระองค์ด้วยการแผ่นดินนี้ใหญ่หลวงนัก ครั้นจะไปบัดนี้ไม่เห็นผู้ใดที่จะไว้ใจอยู่ต้านต่อฆ่าศึกได้"
สมเด็จพระพันปีหลวงกรมพระเทพามาตย์เสด็จสวรรคตในวัน ๓ ๖ฯ ๔ ค่ำ[13] ตรงกับวันอังคารที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2317[6] หลังจากนั้นมีการสร้างพระโกศโถ หรือ ลองโถ สำหรับพระราชมารดาในปี พ.ศ. 2318 และสันนิษฐานว่าพระโกศดังกล่าวสร้างเพื่อพระศพเจ้านายที่ทรงศักดิ์ชั้นสูงสุดในสมัยนั้น[14] โดยให้เจ้าพระยาจักรี (ต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก) เป็นแม่กองทำพระเมรุ ณ วัดบางยี่เรือใต้[15]
แต่ในงานพระเมรุดังกล่าวถูกเร่งให้จัดขึ้นในช่วงฤดูฝน ทราบเพียงว่ามีลักษณะเป็นเมรุมณฑปแต่สูงต่ำเท่าใดไม่ปรากฏความ[13] ด้วยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงห่วงใยในการศึกของพม่าอยู่ซึ่งมักเข้ามาในช่วงฤดูแล้งของทุกปี ซึ่งตามธรรมเนียมเดิมนั้นงานพระเมรุจะถูกจัดขึ้นในช่วงฤดูแล้ง[15] เจ้าพระยาจักรีจึงปรึกษากับเจ้านายทั้งปวงว่าจะใช้ดีบุกบางเคลือบทองน้ำตะโก แล้วทาด้วยแป้งเปียกติดเข้ากับเนื้อไม้จนสำเร็จในเดือนเก้า แต่ก่อนจึงถึงวันเชิญพระศพมาในพระเมรุนั้นฝนได้ตกชะทองน้ำตะโกที่ปิดประดับพระเมรุหลุดร่วงลงมาทั้งหมด เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีทอดพระเนตรเห็นทองน้ำตะโกที่ติดประดับพระเมรุหลุดร่วงก็ทรงพิโรธ[15] มีพระราชดำรัสว่า
"เราไว้ใจให้เปนแม่กองทำพระเมรุ ต่างหูต่างตาเรา เจ้าไม่เอาใจใส่ในราชการ ทำมักง่ายให้เมรุเปนเช่นนี้ดีแล้วฤๅ ทำให้พระเกียรติยศพระเจ้าแผ่นดินเสื่อมเสียไป จึ่งมีพระราชดำรัสสั่งให้เจ้าพนักงานองครักษ ให้ลงพระราชอาญาโบยหลังเจ้าพระยาจักรี ๕๐ ที"[16]
ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว เป็นหนึ่งในความขัดแย้งส่วนพระองค์ ระหว่างสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีกับเจ้าพระยาจักรี[15]
เมื่อการก่อสร้างพระเมรุแล้วเสร็จจึงมีการชักพระบรมศพกรมพระเทพามาตย์ถึงเมรุวัน ๓ ๒ฯ ๖ ค่ำ ซึ่งตรงกับวันอังคารที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2318 และพระราชทานเพลิงพระบรมศพวัน ๕ ๔ฯ ๖ ค่ำ ซึ่งตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2318 ครั้นรุ่งขึ้นจึงเชิญพระบรมอัฐิเข้าไปในพระราชวัง เวลาบ่ายจึงนำพระอังคารไปลอยหน้าวัดสำเพ็ง[13] เมื่อวันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2318
อ้างอิง
แก้- ↑ 1.0 1.1 นิธิ เอียวศรีวงศ์. หน้า 67
- ↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 สุทธิศักดิ์ ระบอบ สุขสุวานนท์, หน้า 104
- ↑ ธำรงศักดิ์ อายุวัฒนะ. ราชสกุลจักรีวงศ์ และราชสกุลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช. กรุงเทพ : สำนักพิมพ์บรรณกิจ, พิมพ์ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2544. 490 หน้า. หน้า หน้าที่. ISBN 974-222-648-2
- ↑ 4.0 4.1 นิธิ เอียวศรีวงศ์. หน้า 68
- ↑ นิธิ เอียวศรีวงศ์. หน้า 115
- ↑ 6.0 6.1 6.2 6.3 สุทธิศักดิ์ ระบอบ สุขสุวานนท์, หน้า 105
- ↑ นิธิ เอียวศรีวงศ์. หน้า 66
- ↑ 8.0 8.1 นิธิ เอียวศรีวงศ์. หน้า 63.
- ↑ สุทธิศักดิ์ ระบอบ สุขสุวานนท์, หน้า 103
- ↑ นิธิ เอียวศรีวงศ์. หน้า 82-83.
- ↑ ปรามินทร์ เครือทอง, หน้า 67
- ↑ David K. Wyatt. Thailand: A Short History. Yale University Press. p. 140. ISBN 0300035829.
- ↑ 13.0 13.1 13.2 13.3 จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ, หน้า 75-78
- ↑ ศุภฤกษ์ แก้วมณีชัย. "เล่าขานงานพระเมรุ : พระโกศและพระลอง". ศิลปวัฒนธรรม. 30:2 (ธันวาคม 2551), หน้า 132
- ↑ 15.0 15.1 15.2 15.3 ปรามินทร์ เครือทอง, หน้า 65
- ↑ ปรามินทร์ เครือทอง, หน้า 65-66
บรรณานุกรม
แก้- จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. พระราชวิจารณ์ ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องจดหมายความทรงจำของพระเจ้าไปยิกาเธอ กรมหลวงนรินทรเทวี (เจ้าครอกวัดโพธิ์). กรุงเทพฯ : ศรีปัญญา, 2562
- นิธิ เอียวศรีวงศ์. การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี. พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุงเทพฯ : มติชน, 2548
- สุทธิศักดิ์ ระบอบ สุขสุวานนท์. "สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี "ลูกจีนกู้ชาติ" ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย". ศิลปวัฒนธรรม 29:7 (พฤษภาคม 2551)
- ปรามินทร์ เครือทอง. กบฏเจ้าฟ้าเหม็น. พิมพ์ครั้งที่ 3 (ปรับปรุง). กรุงเทพฯ : มติชน. 2555