โรเบิร์ต เอิร์นชอว์

โรเบิร์ต เอิร์นชอว์ (อังกฤษ: Robert Earnshaw) อดีตนักฟุตบอลชาวเวลส์-แซมเบีย โดยเป็นผู้ที่ได้รับการบันทึกว่าเป็นนักฟุตบอลเพียงคนเดียวที่สามารถทำแฮตทริกได้ในการเล่นฟุตบอลอาชีพของอังกฤษในทุกระดับ ได้แก่พรีเมียร์ลีกและทั้ง 3 ดิวิชันของฟุตบอลลีก รวมถึงการยิงแฮตทริกได้ในเอฟเอคัพ, ลีกคัพและในนามทีมชาติ

โรเบิร์ต เอิร์นชอว์
เล่นให้กับ ทีมชาติเวลส์ ในปี 2007
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม โรเบิร์ต เอิร์นชอว์
วันเกิด (1981-04-06) 6 เมษายน ค.ศ. 1981 (43 ปี)
สถานที่เกิด เขตมูฟูลิร่า ,จังหวัดคอปเปอร์เบลต์
สาธารณรัฐแซมเบีย แซมเบีย
ส่วนสูง 1.73 m (5 ft 8 in)[1]
ตำแหน่ง กองหน้า
สโมสรเยาวชน
1997–1998 คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้
สโมสรอาชีพ*
ปี ทีม ลงเล่น (ประตู)
1998–2004 คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ 183 (86)
2000 → กรีน็อค มอร์ตัน (ยึมตัว) 3 (2)
2004–2006 เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 43 (12)
2006–2007 นอริช ซิตี 45 (27)
2007–2008 ดาร์บี เคาน์ตี 22 (1)
2008–2011 น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 98 (35)
2011–2013 คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ 19 (3)
2012–2013 → มัคคาบี้ เทลอาวีฟ (ยึมตัว) 10 (2)
2013 โตรอนโต เอฟซี 26 (8)
2014 แบล็คพูล 1 (0)
2014 ชิคาโก้ ไฟร์ 5 (3)
2015 แวนคูเวอร์ ไวท์แคปส์ 10 (2)
ทีมชาติ
1998–2001 เวลส์ U21 10 (1)
2002–2012 เวลส์ 58 (16)
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น
ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 15 มีนาคม ค.ศ. 2015
‡ ข้อมูลการลงเล่นและประตูให้แก่ทีมชาติล่าสุด
ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2012

โรเบิร์ต เอิร์นชอว์ เริ่มสร้างชื่อเสียงกับสโมสรฟุตบอลคาร์ดิฟฟ์ ซิตี และเคยเล่นในระดับพรีเมียร์ลีกกับสโมสรเวสต์บรอมวิช อัลเบียนและดาร์บี เคาน์ตี รวมถึงสโมสรอื่นๆในอังกฤษอย่างนอริช ซิตี, น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์, แบล็คพูล นอกจากนี้ยังเคยเล่นฟุตบอลในประเทศอิสราเอลกับสโมสร มัคคาบี้ เทลอาวีฟ

ในช่วงปลายอาชีพนักฟุตบอลเอิร์นชอว์ เล่นฟุตบอลที่สหรัฐอเมริกาและแคนาดาในเมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ โดยเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลแวนคูเวอร์ ไวท์แคปส์ เป็นสโมสรสุดท้าย

ประวัติ แก้

โรเบิร์ต เอิร์นชอว์ มีชื่อเล่นว่า เออร์นี เกิดวันจันทร์ที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1981 ในเขตมูฟูลิร่า จังหวัดคอปเปอร์เบลต์ สาธารณรัฐแซมเบีย เมื่อเขาอายุได้ 5 ปี ครอบครัวของเขาได้ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่ประเทศมาลาวี โดยพ่อของเขา เดวิด เอิร์นชอว์ ทำงานเป็นผู้ใช้แรงงานในเหมืองถ่านหิน

ครอบครัวของเขาอยู่ที่มาลาวีได้ไม่กี่ปีก็ต้องย้ายถิ่นที่อยู่อีกครั้งในปลายปี ค.ศ. 1990 เมื่อพ่อของเขา เดวิด เสียชีวิตลง ริต้า เอิร์นชอว์ แม่ของเขาก็พาครอบครัวย้ายมาอยู่ที่สหราชอาณาจักร โดยอาศัยอยู่ที่เมืองเบดวอส มณฑลแคร์ฟิลลี่, เวลส์[2]


การย้ายที่อยู่ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่เขาต้องมาใช้ชีวิตนอกทวีปแอฟริกา และพบการใช้ชีวิตที่แตกต่างออกไปจากเดิมหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศหรือภาษา ทุกๆคนรอบตัวเขาพูดกันด้วยภาษาอังกฤษ ทำให้เขาต้องเรียนรู้และหัดพูดภาษาอังกฤษ

เอิร์นชอว์ ศึกษาในชั้นประถมที่โรงเรียนประถมเซนต์ เฮเลน และเรียนต่อที่โรงเรียนมัธยมคาร์ดินัล นิวแมนส์ โรมัน คาธอลิค ในเมืองพอนตี้พริดด์ และเริ่มเล่นฟุตบอลเมื่ออายุ 12 ปี โดยเข้าร่วมทีมระดับเยาวชนของท้องถิ่นลงแข่งขันฟุตบอลรายการต่างๆ

การเล่นในระดับสโมสรอาชีพ แก้

คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ แก้

โรเบิร์ต เอิร์นชอว์ เข้ามาสู่สโมสรคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ในปี ค.ศ. 1997 ในฐานะนักฟุตบอลระดับเยาวชน โดยเป็นการเซ็นสัญญาระยะสั้น 1 ปี จากนั้นเขาได้พัฒนาฟอร์มการเล่นของตัวเองจนได้รับสัญญานักฟุตบอลอาชีพในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1998 ก่อนที่ในปี 2000 เขาถูกส่งไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์กับสโมสรฟุตบอล กรีน็อค มอร์ตัน ในสกอตแลนด์ด้วยสัญญายืมตัว และได้รับโอกาสให้ทดสอบฝีเท้ากับสโมสรมิดเดิลสโบรห์ ในยุคของไบรอัน ร็อบสัน

 
โด่งดังกับคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้

ประสบการณ์ดังกล่าวมีส่วนทำให้ฝีเท้าของเขาพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นจนกลายเป็นที่ชื่นชอบของแฟนบอลคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ และติดทีมชาติเวลส์ชุดอายุไม่เกิน 21 ปี ก่อนจะก้าวขึ้นไปเล่นให้กับทีมชาติเวลส์ชุดใหญ่ภายใต้การคุมทีมของมาร์ค ฮิวจ์ส โดยการลงสนามให้ทีมชาตินัดแรกของเขา เกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม ปี 2002 ในนัดที่พบกับทีมชาติเยอรมัน ที่สนามมิลเลเนี่ยม สเตเดี้ยม ซึ่งนอกจากเขาจะเป็นผู้ยิงประตูชัยให้ทีมชาติเวลส์เอาชนะเยอรมันในบ้านของตัวเองได้สำเร็จแล้ว หลังจบการแข่งขันเขายังได้รับรางวัล แมน ออฟ เดอะ แมตช์ อีกด้วย จากผลงานดังกล่าวทำให้ในเดือนต่อมาเขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งเวลส์ยอดเยี่ยมแห่งปี และมีชื่ออยู่ในทีมยอดเยี่ยมดิวิชัน 2 ประจำฤดูกาล 2002–2003 จากการโหวตของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ หลังโชว์ฟอร์มเยี่ยมด้วยการยิงถึง 35 ประตูเมื่อรวมทุกรายการ โดยเป็นการยิงเฉพาะในลีกถึง 31 ประตู และสามารถทำลายสถิติการยิงประตูให้สโมสรที่ยืนยาวมานานถึง 56 ปี ของ สแตน ริชาร์ดส์ อดีตกองหน้าของทีมลงได้สำเร็จ[3]

เอิร์นชอว์กลายมาเป็นผู้เล่นคนสำคัญของทีมชาติเวลส์ ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 รอบคัดเลือก และในการแข่งขันนัดกระชับมิตรกับทีมชาติสกอตแลนด์ เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2004 เขาสามารถยิงแฮตทริกได้สำเร็จ และพาทีมชาติชนะไปถึง 4–0

หลังจบฤดูกาล 2003–2004 เอิร์นชอว์มีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของลีก ดิวิชัน 1 ทำให้เขาเป็นที่ต้องการของหลายๆสโมสร โดยเขาสร้างผลงานยิงประตูในลีกให้กับคาร์ดิฟฟ์ ซิตี ไปถึง 85 ประตู จากการลงสนามมากกว่า 170 นัด

เวสต์บรอมวิช อัลเบียน แก้

ฤดูกาล 2004–2005 โรเบิร์ต เอิร์นชอว์ ย้ายจากสโมสรคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ มาเล่นในระดับพรีเมียร์ลีกให้กับสโมสรเวสต์บรอมวิช อัลเบียน ภายใต้การคุมทีมของไบรอัน ร็อบสัน ด้วยค่าตัว 3 ล้านปอนด์ โดยเขาลงสนามให้สโมสรเป็นนัดแรกเมื่อวันที่ 11 กันยายน ปี 2004 ในนัดที่แพ้สโมสรลิเวอร์พูล 0–3 โดยลงมาเป็นตัวสำรองในช่วงครึ่งหลัง

เอิร์นชอว์ ใช้เวลาลงสนาม 7 นัด จึงสามารถยิงประตูแรกให้กับต้นสังกัดใหม่ได้สำเร็จโดยเป็นการยิงคนเดียว 2 ประตู ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2004 นัดที่พบกับสโมสรเซาท์แฮมป์ตัน และเขาสามารถยิงแฮตทริกได้อีกครั้งแต่คราวนี้เกิดขึ้นในระดับพรีเมียร์ลีก ในนัดที่พบกับชาร์ลตัน แอธเลติก เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ปี 2005 ทำให้เขาสร้างสถิติเป็นผู้เล่นคนเดียวที่ยิงแฮตทริกได้ทั้ง 4 ดิวิชันของลีกอาชีพอังกฤษ อีกทั้งประตูสำคัญของเขาที่ยิงให้กับทีมยังช่วยให้ทีมรอดพ้นจากการตกชั้นในฤดูกาล 2004–2005 โดยเป็นผู้ทำประตูสูงสุดของสโมสรในฤดูกาลนั้นด้วยผลงานการยิง 14 ประตู ในทุกรายการ และเป็นการยิงในพรีเมียร์ลีก 11 ประตู

ฤดูกาล 2005–2006 เวสต์บรอมวิช อัลเบียน ซื้อผู้เล่นในตำแหน่งกองหน้ามาร่วมทีมอีก 2 คน คือ ดิโอมองซี่ กามาร่า กองหน้าทีมชาติเซเนกัลและ นาธาน เอลลิงตันกองหน้าดาวรุ่งชาวอังกฤษ ทำให้เอิร์นชอว์มีคู่แข่งที่เบียดแย่งลงสนามมากขึ้น เขาจึงตัดสินใจย้ายออกจากทีมในช่วงของการซื้อขายนักเตะรอบ 2 เดือนมกราคม ปี 2006 โดยที่เขายิงประตูในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ให้เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยนได้แค่ 1ลูกเท่านั้น

นอริช ซิตี้ แก้

วันที่ 31 มกราคม ปี 2006 วันสุดท้ายของการซื้อขายผู้เล่นรอบ 2 โรเบิร์ต เอิร์นชอว์ ย้ายมาเล่นในลีกแชมเปียนชิปกับสโมสรนอริช ซิตี ด้วยค่าตัว 2.75 ล้านปอนด์ และยิงประตูแรกให้นอริช ซิตีได้ในนัดที่เปิดบ้านถล่ม ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบียน ไป 3–0 เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2006 และจบฤดูกาลด้วยการยิงในลีกแชมเปียนชิปให้นอริช ซิตี ไป 8 ประตู

ฤดูกาล 2006–2007 ในช่วงเดือนมกราคม ขณะที่เขากำลังโชว์ฟอร์มอย่างยอดเยี่ยมด้วยการนำเป็นดาวซัลโวของลีกแชมเปียนชิป ด้วยการยิงไป 17 ประตู กลับต้องมาพบกับอาการบาดเจ็บโคนขาหนีบขณะฝึกซ้อม จนทำให้เขาต้องพักยาวจนเกือบจบฤดูกาล และกลับมาลงสนามให้นอริช ซิตีได้อีกครั้งในเดือนเมษายน ปี 2007 พร้อมทั้งยิงประตูที่ 18 และ19 ในลีกของเขาได้ในนัดที่พบกับสโมสรเลสเตอร์ซิตีและเชฟฟีลด์ เวนส์เดย์

ดาร์บี้ เคาน์ตี้ แก้

ฤดูกาล 2007–2008 เอิร์นชอว์ได้กลับมาเล่นในระดับพรีเมียร์ลีกอีกครั้งเมื่อสโมสรดาร์บี เคาน์ตีซื้อตัวเขามาร่วมทีม ด้วยค่าตัว 3.5 ล้านปอนด์ ซึ่งถือว่าเป็นค่าตัวที่แพงที่สุดของสโมสรในขณะนั้น โดยเขาลงสนามเป็นนัดแรกให้ทีม"แกะเขาเหล็ก" ในนัดที่เสมอกับสโมสรฟุตบอลพอร์ทสมัธ 2–2 เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ปี 2007

ในช่วงต้นฤดูกาล 2007–2008 เขาลงสนามเป็นตัวจริงสลับกับตัวสำรองอยู่บ่อยครั้ง ก่อนที่จะหลุดเป็นตัวสำรองถาวรในเวลาต่อมา โดยเอิร์นชอว์ยิงประตูแรกให้ดาร์บี เคาน์ตี ได้ในการแข่งขันเอฟเอคัพกับสโมสร เปรสตัน นอร์ท เอนด์ เมื่อวันที่ 26 มกราคม ปี 2008

ผลงานในพรีเมียร์ลีกของสโมสรถือว่าย่ำแย่และมีแนวโน้มว่าจะตกชั้นค่อนข้างสูง ทำให้ในเวลาต่อมา บิลลี่ เดวี่ส์ ผู้จัดการทีมในขณะนั้นถูกไล่ออกและถูกแทนที่ด้วย พอล จีวล์ ส่วนโรเบิร์ต เอิร์นชอว์ต้องรอจนถึงเดือนเมษายน กว่าที่จะยิงประตูแรกในพรีเมียร์ลีกให้ดาร์บี้ เคาน์ตี้ได้สำเร็จ โดยเขายิงได้ในนัดที่แข่งกับอาร์เซนอล และหลังจากจบฤดูกาล2007–2008 สโมสรก็มีอันต้องตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก และเขาตัดสินใจย้ายสโมสรอีกครั้งเพื่อโอกาสในการลงสนามที่สม่ำเสมอ

น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ แก้

ฤดูกาล 2008–2009 โรเบิร์ต เอิร์นชอว์ เปิดตัวในฐานะผู้เล่นหมายเลข 10 ของสโมสร เจ้าป่า น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ด้วยค่าตัว 2.75 ล้านปอนด์ โดยเขาเซ็นสัญญากับทีมเป็นเวลา 3 ปี และลงสนามนัดแรกในวันที่ 10 สิงหาคม ปี 2008 ในนัดที่เสมอกับสโมสรเร้ดดิ้ง 0–0

เอิร์นชอว์ยิงประตูแรกให้กับสโมสรน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ได้เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม ปี 2008 ในการแข่งขันลีกคัพรอบแรก ที่ตัวเขายิง 2 ประตูใส่สโมสรมอร์แคมบ์จากบลูสแคว์ พรีเมียร์ลีก และยิงประตูแรกในลีกแชมเปียนชิพให้ต้นสังกัดได้ในวันที่ 23 สิงหาคม ปี 2008 ในนัดที่ชนะวัตฟอร์ดในบ้าน 3–2 โดยเขายิงในลีกไป 12 ประตูเมื่อจบฤดูกาล

ฤดูกาล 2009–2010 เขายิงแฮตทริกได้อีกครั้ง ในลีก แชมเปียนชิป เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ปี 2009 โดยช่วยให้สโมสรเอาชนะเลสเตอร์ซิตี ไปถึง 5–1 โดยในฤดูกาลนี้เขายิงในลีกแชมเปียนชิปถึง 17 ประตู และพาทีมจบด้วยอันดับ 3 ได้สิทธิแข่งขันในรอบเพลย์ออฟเพื่อหาทีมเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก แต่ทีมของเขากลับพลาดท่าแพ้ต่อสโมสรแบล็คพูลด้วยประตูรวม 6–4 ตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย

กลับสู่คาร์ดิฟฟ์ แก้

ในวันที่ 6 กรกฎาคม 2011, เอิร์นชอว์ ย้ายกลับมาคาร์ดิฟฟ์ซิตี โดยไม่มีค่าตัว หลังจากที่ไม่ต่อสัญญากับน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ซึ่งเขาพบกับผู้จัดการทีมคนใหม่อย่าง มัลคี แม็กเคย์ ซึ่งย้ายมาจาก วัตฟอร์ด เอิร์นชอว์ เล่นให้กับคาร์ดิฟฟ์เกมแรกในการกลับมาของเขาโดยทีมเอาชนะ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ไปได้ 1–0 ในวันที่ 7 สิงหาคม[4] ประตูแรกของเขาเกิดขึ้นในเกมที่ชนะ บริสตอล ซิตี้ไป 3–1 ในบ้าน และเขาทำประตูลูกที่ 200 ในชีวิตนักเตะอาชีพในเกมที่เสมอกับ เบิร์นลีย์ ไป 1–1 ในวันที่ 20 สิงหาคม[5] แต่หลังจากนั้นเอิร์นชอว์ก็เป็นตัวสำรองบ่อยขึ้นเพื่อเปิดทางให้ เคนนี่ มิลเลอร์ เล่นเป็นตัวจริง เขากลับมาอีกครั้งตอนที่แพ้ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ซึ่งเป็นทีมเก่าของตัวเอง ไป 4–2 ในวันที่ 7 มกราคม 2012 ส่วนในลีกเขาไม่ได้เล่นให้ทีมเลยตลอด 2 เดือน จนกลับมาเป็นตัวสำรองในเกมที่พบกับ ฮัลล์ ซิตี ซึ่งเกมนั้นพวกเขาแพ้ไป 3–0 ช่วงหลังๆพวกเขาได้เล่นเป็นตัวสำรองในช่วงไม่กี่นาทีก่อนหมดเวลา จนทีมได้เล่นเพลย์ออฟเลื่อนชั้นโดยแพ้ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ด้วยประตูรวม 5–0

มัคคาบี้ เทลอาวีฟ แก้

ในวันที่ 20 กันยายน, เอิร์นชอว์ ตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่อิสราเอล โดยไปเล่นให้กับ มัคคาบี้ เทลอาวีฟในสัญญายึมตัวจนจบฤดูกาล, และได้เบอร์ 19 เป็นเบอร์เสื้อทีม[6] หลังจากที่เล่นกับมัคคาบี้ เทลอาวีฟ เอิร์นชอว์ เชื่อว่าเมื่อเล่นให้กับทีมนี้จะมีความสุขและสามารถคึนฟอร์มเก่าๆกลับมาได้ และ ได้รับปากกับ ยอร์ดี ครัฟฟ์ ผอ.กีฬาของทีมว่าและเปลื่ยนว่าและโชว์ฟอร์มให้ดีกว่าเดิม[7] เอิร์นชอว์ ถูกเรียกตัวกลับมาและแยกทางกับสโมสร ในช่วงตลาดนักเตะรอบสอง

โตรอนโต้ เอฟซี แก้

28 กุมภาพันธ์ 2013 เอิร์นชอว์เข้าร่วมทีมโตรอนโต้ เอฟซี[8] เขาเล่นเกมแรกในนัดที่แพ้ แวนคูเวอร์ ไวแคบส์ ไป 1-0 เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2013[9] สัปดาห์ต่อมา เขาทำสองประตูในเกมที่พบกับสปอร์ดตี้ง แคนซัส ซิตี และช่วยให้เกมแรกของ ไรอัน เนลเซน ในการคุมทีมมีสถานการณ์ดีขึ้นและมีความมั่นใจ

แบล็คพูล แก้

วันที่ 21 มีนาคม ปี 2014 เอิร์นชอว์ เซ็นสัญญาระยะสั้น ในการลงเล่นลีกเดอะ แชมเปี้ยนชิพ ในอังกฤษอีกครั้งกับทีมแบล็คพูล โดยเป็นการเล่นให้สโมสรจนจบฤดูกาล ซึ่งมีระยะเวลาประมาณ 2 เดือน

ชิคาโก้ ไฟร์ แก้

ในนามทีมชาติ แก้

เอิร์นชอว์เล่นให้กับทีมชาติครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม 2002, และยิงประตูแรกในเกมที่พบกับทีมชาติเยอรมนี

ประตูทีมชาติ แก้

# Date Venue Opponent Score Result Competition
1. 14 พ.ค. 2002 มิลเลเนียม สเตเดียม, คาร์ดิฟฟ์, เวลส์   เยอรมนี 1–0 1–0 เกมกระชับมิตร
2. 12 ก.พ. 2003 มิลเลเนียม สเตเดียม, คาร์ดิฟฟ์, เวลส์   บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา 1–0 2–2 เกมกระชับมิตร
3. 11 ต.ค. 2003 มิลเลเนียม สเตเดียม, คาร์ดิฟฟ์, เวลส์   เซอร์เบียและมอนเตเนโกร 2–3 2–3 ฟุตบอลยูโร 2004 รอบคัดเลือก
4. 18 ก.พ. 2004 มิลเลเนียม สเตเดียม, คาร์ดิฟฟ์, เวลส์   สกอตแลนด์ 1–0 4–0 เกมกระชับมิตร
5. 2–0 4–0
6. 3–0 4–0
7. 31 มี.ค. 2004 สเตเดี้ยม ปุชคัช เฟเรนส์, บูดาเปสต์, ฮังการี   ฮังการี 1–2 1–2 เกมกระชับมิตร
8. 8 ก.ย. 2004 มิลเลเนียม สเตเดียม, คาร์ดิฟฟ์, เวลส์   ไอร์แลนด์เหนือ 2–2 2–2 ฟุตบอลโลก 2006 รอบคัดเลือก
9. 13 ต.ค. 2004 มิลเลเนียม สเตเดียม, คาร์ดิฟฟ์, เวลส์   โปแลนด์ 1–0 2–3 ฟุตบอลโลก 2006 รอบคัดเลือก
10. 27 พ.ค. 2006 ยูพีซี-อารีนา, กราซ, ออสเตรีย   ตรินิแดดและโตเบโก 1–1 1–2 เกมกระชับมิตร
11. 1–2 1–2
12. 11 ต.ค. 2006 มิลเลเนียม สเตเดียม, คาร์ดิฟฟ์, เวลส์   ไซปรัส 2–0 3–1 ฟุตบอลยูโร 2008 รอบคัดเลือก
13. 17 ต.ค. 2007 สตาดิโอ โอลิมปิโก, แซร์ราวัลเล, ซานมารีโน   ซานมารีโน 1–0 1–2 ฟุตบอลยูโร 2008 รอบคัดเลือก
14. 29 พ.ค. 2009 ปาร์ก เด สกาเลต, ลาเนยลี่, เวลส์   เอสโตเนีย 1–0 1–0 เกมกระชับมิตร
15. 25 พ.ค. 2011 ไอวา สเตเดียม, ดับลิน, ไอร์แลนด์   สกอตแลนด์ 1–0 1–3 2011 เนชั่น คัพ
16. 27 พ.ค. 2011 ไอวา สเตเดียม, ดับลิน, ไอร์แลนด์   ไอร์แลนด์เหนือ 2–0 2–0 2011 เนชั่น คัพ

สถิติแฮตทริก ทุกรายการที่ลงเล่น แก้

  • โรเบิร์ต เอิร์นชอว์เป็นนักฟุตบอลคนเดียวที่สามารถยิงแฮตทริกได้ในการแข่งขันฟุตบอลลีกทั้ง4ดิวิชั่นของอังกฤษทั้งในพรีเมียร์ลีก, ดิวิชั่น1, 2 และ 3(ปัจจุบันคือลีกแชมเปี้ยนชิพ,ลีกวัน,ลีกทู) รวมถึงเอฟเอคัพ, ลีกคัพ และการแข่งขันระดับชาติ:

พรีเมียร์ลีก, เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน vs ชาร์ลตัน แอธเลติก, 19 พฤษภาคม 2005
ดิวิชั่น 1 (ปัจจุบันคือ ลีก แชมเปี้ยนชิพ), คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ vs จิลลิ่งแฮม, 19 กันยายน 2003 และ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ vs เลสเตอร์ซิตี, 5 ธันวาคม 2009
ดิวิชั่น 2 (ปัจจุบันคือ ลีกวัน), คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ vs ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส, 29 พฤศจิกายน 2002 และ ทรานเมียร์ โรเวอร์ส 14 พฤษภาคม 2003
ดิวิชั่น 3 (ปัจจุบันคือ ลีกทู), คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ vs ทอร์คีย์ ยูไนเต็ด, 12 กุมภาพันธ์ 2000
เอฟเอคัพ, คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ vs บริสตอล โรเวอร์ส 19 กันยายน 2000
ลีกคัพ, คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ vs บอสตัน ยูไนเต็ด, 11 กันยายน 2002, และ เลย์ตัน โอเรียนท์, 12 สิงหาคม 2003
ทีมชาติ, เวลส์ vs สก็อตแลนด์, 18 กุมภาพันธ์ 2004

อ้างอิง แก้

  1. "Profiles: Robert Earnshaw". Cardiff City F.C. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-01-19. สืบค้นเมื่อ 19 August 2012.
  2. "The Official Robert Earnshaw Website – My Early Life". The Official Robert Earnshaw website. Robert Earnshaw. 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-09-12. สืบค้นเมื่อ 13 October 2009.
  3. "Earnie sends records tumbling". BBC Sport. BBC. 22 March 2003. สืบค้นเมื่อ 12 October 2008.
  4. "West Ham 0 – 1 Cardiff". BBC Sport. BBC. 7 August 2011. สืบค้นเมื่อ 7 August 2011.
  5. "Rob Earnshaw proud to reach goals landmark". BBC Sport. BBC. 20 August 2011. สืบค้นเมื่อ 20 August 2011.[ลิงก์เสีย][ลิงก์เสีย]
  6. "มัคคาบี้ เทลอาวีฟ ยึมตัว โรเบิร์ต เอิร์นชอว์ จาก คาร์ดิฟฟ์". BBC Sport. 20 September 2012. สืบค้นเมื่อ 20 September 2012.
  7. Phillips, Terry (21 September 2012). "Robert Earnshaw insists Tel Aviv move is not the end of Cardiff City career". Wales Online. Media Wales. สืบค้นเมื่อ 25 September 2012.
  8. "ลุยลึกมะกัน!เอิร์นชอว์โยกซบโตรอนโต้เอฟซี". สยามสปอร์ด. 2 มีนาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 26 ตุลาคม 2013.
  9. MacMahon, Martin (2 March 2013). "Reds Fall Short". Toronto FC. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-03-06. สืบค้นเมื่อ 10 March 2013.