โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ

มังงะชุดญี่ปุ่นโดยฮิโรฮิโกะ อารากิ

โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ (ญี่ปุ่น: ジョジョの奇妙な冒険โรมาจิJojo no Kimyō na Bōkenทับศัพท์: โจโจะ โนะ คิเมียว นะ โบเค็ง; แปลว่า การผจญภัยอันแปลกประหลาดของโจโจ้) เป็นซีรีส์มังงะญี่ปุ่นที่เขียนและวาดภาพโดยฮิโรฮิโกะ อารากิ เริ่มตีพิมพ์ในนิตยสารโชเน็งจัมป์รายสัปดาห์ นิตยสารมังงะแนวโชเน็งของสำนักพิมพ์ชูเอชะ ตั้งแต่ พ.ศ. 2530 ถึง พ.ศ. 2547 และย้ายไปตีพิมพ์ในอัลตราจัมป์ นิตยสารมังงะแนวเซเน็งรายเดือนในปี พ.ศ. 2548 ซีรีส์แบ่งออกเป็นภาค แต่ละภาคเป็นเรื่องราวของตัวละครเอกประจำในแต่ละภาคที่ต่างก็มีชื่อเล่นว่า "โจโจ้" โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษเป็นซีรีส์มังงะต่อเนื่องที่ยังดำเนินเรื่องอยู่ในปัจจุบันที่มีจำนวนหนังสือมังงะรวมเล่ม (ทังโกบง) มากที่สุดของสำนักพิมพ์ชูเอชะ โดยรวบรวมตีพิมพ์ถึงเล่มที่ 131 เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2564 มังงะมีลิขสิทธิ์ในประเทศไทยโดยสำนักพิมพ์เนชั่น เอ็ดดูเทนเมนท์

โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ
ジョジョの奇妙な冒険
(JoJo no Kimyō na Bōken)
ชื่อภาษาอังกฤษJoJo's Bizarre Adventure
แนว
มังงะ
เขียนโดยฮิโรฮิโกะ อารากิ
สำนักพิมพ์ชูเอฉะ
สำนักพิมพ์ภาคภาษาไทยเนชั่น เอ็ดดูเทนเมนท์
นิตยสาร
นิตยสารภาษาไทยบูม
กลุ่มเป้าหมายโชเน็ง, เซเน็ง
วางจำหน่ายตั้งแต่1 มกราคม พ.ศ. 2530 – ปัจจุบัน
จำนวนเล่ม131
ภาค
  1. แฟนธอม บลัด (พ.ศ. 2530)
  2. กระแสสงคราม (พ.ศ. 2530-2532)
  3. นักรบประกายดาว (พ.ศ. 2532-2535)
  4. เพชรแท้ไม่มีวันสลาย (พ.ศ. 2535-2538)
  5. สายลมทองคำ (พ.ศ. 2538-2542)
  6. สโตนโอเชียน (พ.ศ. 2543-2546)
  7. สตีล บอล รัน (พ.ศ. 2547-2554)
  8. โจโจเลียน (พ.ศ. 2554-2564)
  9. เดอะโจโจแลนส์ (พ.ศ. 2566–)
อนิเมะ
สื่อที่เกี่ยวข้อง
icon สถานีย่อยการ์ตูนญี่ปุ่น

ซีรีส์ออริจินอลวิดีโอแอนิเมชัน 13 ตอนดัดแปลงจากภาคที่ 3 ของมังงะ นักรบประกายดาว ผลิตโดยสตูดิโอเอพีพีพีและวางจำหน่ายตั้งแต่ พ.ศ. 2536 ถึง พ.ศ. 2545 ภายหลังสตูดิโอเอพีพีพีผลิต ภาพยนตร์อนิเมะดัดแปลงจากภาคแรก แฟนธอม บลัด ออกฉายในโรงภาพยนตร์ในญี่ปุ่นในปี พ.ศ. 2545 ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2555 ซีรีส์อนิเมะโทรทัศน์ผลิตโดยสตูดิโอเดวิดโปรดักชันดัดแปลงจาก แฟนธอม บลัด และ กระแสสงคราม เริ่มออกอากาศทางช่องโตเกียวเอ็กเอ็กซ์ จนถึงเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2565 สตูดิโอเดวิดโปรดักชันได้ผลิตซีรีส์อนิเมะทั้งหมด 5 ฤดูกาล รวม 190 ตอนที่ดัดแปลงจนถึงมังงะภาคที่ 6 สโตนโอเชียน ภาพยนตร์คนแสดงอิงจากเนื้อเรื่องภาค 4 เพชรแท้ไม่มีวันสลาย ออกฉายในญี่ปุ่นในปี พ.ศ. 2560

โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษมีชื่อเสียงในเรื่องลักษณะงานภาพและท่าทางตัวละคร การอ้างอิงถึงเพลงสมัยนิยมและแฟชั่นตะวันอยู่บ่อยครั้ง และการต่อสู้ที่ใช้สแตนด์เป็นหลัก ซึ่งสแตนด์เป็นพลังพิเศษทางจิตที่มีความสามารถเหนือธรรมชาติอันเป็นเอกลักษณ์ ซีรีส์มังงะมียอดจำหน่ายมากกว่า 120 ล้านเล่มในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2564 ทำให้กลายเป็นหนึ่งในซีรีส์มังงะขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์ และขยายเป็นแฟรนไชส์สื่อจำนวนมาก ได้แก่ มังงะเรื่องสั้น ไลต์โนเวล และวิดีโอเกม

เนื้อเรื่อง แก้

ภาค 1  : Phantom Blood : สายเลือดปีศาจ (1880 - Jonathan Joestar) แก้

เนื้อเรื่องกล่าวถึง โจนาธาน โจสตาร์ โจโจ้ คนแรกในซีรีส์ เป็นลูกโทนในตระกูลโจสตาร์ ซึ่งเป็นตระกูลขุนนางผู้ดีอังกฤษ และ ดิโอ บรันโด (Dio Brando)

ระหว่าที่ดิโอ บรันโดกำลังรูดทรัพย์รถม้าของจอร์จ โจสตาร์ ที่ได้ตกหน้าผา เมื่อจอร์จได้คืนสติจึงคิดว่าดาริโอเป็นผู้ช่วยตนและได้มอบแหวนของภรรยาที่ตายให้กับดาริโอเพื่อไปประกอบอาชีพ แต่เมื่อดาริโอป่วยใกล้ตายอย่างมีเงื่อนงำจึงอ้างสิทธิ์ของผู้มีพระคุณให้ดิโอ บรันโด ลูกชายเข้ามายังตระกูลโจสตาร์เพื่อครอบครองสมบัติของตระกูลโจสตาร์และสืบทอดตระกูลบรันโดต่อไป และจอร์จยินดีรับดิโอเข้ามาเป็นบุตรบุญธรรม รวมถึงรับเลี้ยงดิโออย่างเท่าเทียมเสมอโจนาธาน(โจโจ้) ลูกของตน ทั้งคู่ต่างมีความคล้ายคลึงกันในบุคลิกและความสามารถ แต่ลักษณะของความคิดและนิสัยกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ดิโอมักจะหาโอกาสกลั่นแกล้งโจโจ้เสมอทันทีที่มีโอกาสทุกครั้ง แม้แต่เอริน่า เพนเดิลตันหญิงสาวที่ที่โจโจ้รักก็ตาม เมื่อโตขึ้น โจนาธาน โจสตาร์ได้ทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับอารยธรรมโบราณ และสนใจในหน้ากากศิลา จนกระทั่งเมื่อโจโจ้รู้ความลับอันดำมืดของดิโอที่พยายามฆาตกรรมพ่อของตนเหมือนที่ทำกับพ่อของเขา โจโจ้จึงออกตามหาพ่อค้าชาวจีนผู้ขายยาให้ดิโอ และได้พบกับสปีดวาก้อน ดิโอสูญสิ้นโอกาสและความหวังที่ตั้งใจไว้ ต่อมาดิโอได้แอบเข้าไปค้นหาหน้ากากศิลา และค้นพบความลับของหน้ากากศิลาด้วยความบังเอิญ แต่ก็ยังไม่ได้ใช้หน้ากากนั้น เมื่อโจโจ้ได้ตัวพ่อค้าชาวจีนจึงเดินทางกลับพร้อมสปีดวาก้อน ทุกคนรู้ความลับและเข้าจับกุมดิโอ ดิโอจึงตัดสินใจสวมหน้ากากศิลา และได้รับพลังจากหน้ากากศิลา ทำให้กลายเป็นผีดิบ โจโจ้จึงเข้าต่อสู้ และชนะอย่างหวุดหวิด ได้พบกับเอริน่า แพดเดิลตัน คนรักเก่า และได้พบกับวิล แอนโทนิโอ เซเปลี่ ผู้รู้ความลับหน้ากากศิลา และได้สอนพลังคลื่นมนตราให้เพื่อต่อสู้กับผีดิบ จนกระทั่งรู้ว่าดิโอยังไม่ตาย พวกโจโจ้จึงออกเดินทางไปยังเมืองวินไนส์ และได้เข้าต่อสู้กับผีดิบ เช่น แจ็ค เดอะริปเปอร์ ทัลกัสและบรูฟอร์ด บรูฟอร์ดเป็นคนแรกที่พุ่งเข้าต่อสู้กับโจโจ้ แต่เขาก็สามารถรับมือได้ด้วยไหวพริบ และพลังคลื่นมนตรา บรูฟอร์ดชื่นชมในความกล้าของโจโจ้ จึงมอบดาบไว้ให้ก่อนสิ้นใจตาย ในการต่อสู้กับทัลกัส เซเปลี่พลาดท่า ถูกฆ่าตาย ก่อนตายได้ให้พลังสุดท้ายกับโจโจ้ จึงสามารถล้มทัลกัสได้ ระหว่างได้พบกับอาจาร์ยทอนเปตี้ผู้สอนพลังคลื่นมนตราให้เซเปลี่และลูกศิษย์ ไดเออร์และสเตรโซ ทั้งหมดได้เดินทางไปที่ปราสาทเพื่อปราบดิโอพร้อมกับช่วยชีวิตพี่สาวของเด็กคนนึงเอาไว้ แต่ระหว่างต่อสู้กัน ไดเออร์ถูกดิโอฆ่าตาย แต่โจโจ้ก็กำจัดดิโอได้สำเร็จ หลายวันต่อมาโจโจ้ได้แต่งงานกับเอริน่าแล้วทั้งคู่ก็ได้เดินทางไปอเมริกาเพื่อฮันนีมูน แต่การเดินทางนั้นก็สิ้นสุดลง เมื่อดิโอปรากฏตัวอีกครั้งพร้อมกับฆ่าโจโจ้เพื่อเอาร่างกายของโจโจ้มาใช้ ก่อนตายโจโจ้ให้เอริน่าหนีไปพร้อมกับเด็กทารกที่ยังมีชีวิตอยู่และลูกที่อยู่ในครรภ์ของเธอ หลังเอริน่าหนีไป โจโจ้ก็จากไปอย่างสงบพร้อมกับกอดหัวของดิโอเอาไว้เพื่อให้ตายพร้อมกัน

ภาค 2 : Battle Tendency : กระแสสงคราม (1938 - Joseph Joestar) แก้

เนื้อเรื่องต่อจากภาคสายเลือดปีศาจ ตัวเอกของเรื่องคือโจเซฟ โจสตาร์ โจโจ้คนที่ 2 หลานชายของโจนาธาน โจสตาร์ โจโจ้คนแรกและเอริน่า โจสตาร์

เหตุการณ์ 49 ปีผ่านไปหลังเหตุการณ์ภาคสายเลือดปีศาจ สปีดวาก้อนได้เดินทางไปประเทศเม็กซิโกกับสเตรโซเพื่อสืบเรื่องราวเกี่ยวกับหน้ากากศิลาและระหว่างนั้นพวกเขาทั้งหมดได้พบกับมนุษย์เสาหินชื่อซานทาน่าที่หลับไหลมาเป็นเวลาหลายพันปี ซึ่งเมื่อได้พบกับหน้ากากศิลา สเตรโซกลับทรยศพวกพ้องโดยการฆ่าผู้ร่วมเดินทางกันหลายคนรวมไปถึงฆ่าสปีดวาก้อนด้วย สเตรโซจึงสวมหน้ากากศิลาจนกลายเป็นผีดิบและกลับมามีร่างกายที่เป็นวัยหนุ่มอีกครั้งเพื่อความแข็งแกร่ง และได้ไปนิวยอร์กเพื่อมาฆ่าโจเซฟ แต่โจเซฟกลับรู้ทันว่ามีคนจะมาฆ่าจึงเกิดการต่อสู้กัน ระหว่างการต่อสู้สเตรโซได้บอกกับโจเซฟว่าสปีดวาก้อนได้ถูกตนฆ่าตายแล้วพร้อมกับบอกเรื่องมนุษย์เสาหินซานทาน่า ทำให้โจเซฟโกรธมากจึงใช้พลังคลื่นมนตราที่ได้ถูกส่งทอดมาจากโจนาธานผู้เป็นปู่โจมตีใส่สเตรโซ จนสเตรโซถึงกับพ่ายแพ้และทำการใช้พลังคลื่นมนตราฆ่าตัวตาย โจเซฟจึงออกเดินทางไปยังเม็กซิโกเพื่อสืบเรื่องซานทาน่าและตามหาสปีดวาก้อน ในระหว่างทางได้พบกับชายคนนึงและนั่นทำให้โจเซฟรู้ว่าสปีดวาก้อนยังมีชีวิตอยู่และบุกไปที่หน่วยงานทดลองของกองทัพนาซีที่นำโดยสโตกไฮลม์เพื่อช่วยสปีดวาก้อน โดยสโตกไฮลม์ได้เข้ามาจับตาดูซานทาน่าและจับตัวสปีดวาก้อนไว้ จนเวลาผ่านไปซานทาน่ากลับฟื้นคืนชีพและพร้อมกับฆ่าผู้คนที่อยู่ในหน่วยงานเกือบหมด จนโจเซฟมาช่วยสปีดวาก้อนและสโตกไฮลม์ได้ทันและได้สู้กับซานทาน่า แต่ระหว่างต่อสู้กัน สโตกไฮลม์ได้รับบาดเจ็บจนปางตาย ถึงแม้ว่าโจเซฟยังควบคุมพลังคลื่นมนตราไม่ได้แต่สามารถกำจัดซานทาน่าได้จนซานทาน่ากลายเป็นหิน สโตกไฮลม์ได้บอกกับโจเซฟว่าพบบุรุษเสาหินตัวอื่นที่โรม และให้ตามหาซีซาร์ เซเปลี่ หลานของวิล เอ เซเปลี่ ด้วยความช่วยเหลือของซีซาร์ทำให้พบบุรุษเสาหิน แต่เหล่าบุรุษเสาหินในตำนานทั้งสาม ได้แก่ เอซิดิส วามูและคาร์ซ ก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งเพื่อตามหาศิลาแดงเอเจอร์ที่เมื่อฝังไปยังหน้ากากศิลาแล้วจะมาอนุภาคทำลายล้างสูงและเป็นอมตะ ต่อมาได้ไปต่อกรกับโจเซฟและซีซาร์ ซีซาร์พ่ายแพ้ โจเซฟก็พ่ายแพ้เช่นกัน เพราะไม่ได้รับการฝึก โจเซฟได้ป่าวประกาศว่าจะขอเวลาไปฝึกแล้วจะมาสู้อีกครั้ง เอซิดิสได้ฝังแหวนยาพิษเข้าไปที่คอของโจเซฟส่วนวามูฝังแหวนไปที่หัวใจ โดยมีเวลา1เดือนก่อนยาออกฤกษ์ จากนั้นลิซ่าลิซ่า ได้มาเป็นครูฝึกพลังคลื่นมนตราให้กับ ซีซาร์และโจเซฟ ทำให้ทั้งสองมีวิชาด้านเฉพาะของตัวเองเพิ่มขึ้น จึงสามารถกำจัดเอซิดิสได้ จากนั้นต่อมามีการต่อสู้ของซีซาร์กับวามู ทำให้ซีซาร์ได้พ่ายแพ้และสิ้นชีพเพียงแค่วัย 20ปี ทำให้โจเซฟแค้นมาก จึงจัดการท้าประลองเกิดขึ้น โดยการให้ลิซ่าลิซ่า ต่อสู้กับคารซ์ แล้วตนเองต่อสู้กับวามู เพื่อแลกกับศิลาแดงเอเจอร์ การต่อสู้ของวามูทำให้โจเซฟได้ชัยชนะไป ส่วนการต่อสู้ของลิซ่าลิซ่า กับคาร์ซ ลิซ่าลิซ่าได้พ่ายแพ้แต่ไม่ถึงขั้นตาย ทำให้โจเซฟเกิดความโมโห จึงหาวิธีกำจัดคาร์ซ แต่คาร์ซได้พลังอมตะจากหน้ากากศิลาแดงเอเจอร์ไปซะก่อนทำให้คาร์ซกลายเป็นสุดยอดสิ่งมีชีวิตแต่ภายหลังโจเซฟสามารถเอาชนะได้โดยการใช้แรงดีดของภูเขาไฟดีดตัวเองพร้อมกลับคาร์ซออกไปสู่เกลือบๆชั้นสุญยากาศแต่คาร์ซที่พยายามจะหนีกลับถูกเหล่าหินที่ติดมาด้วยดึงตัวเองออกนอกโลกก่อนจะถูกแช่แข็งตลอดการในที่สุด การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้โจเซฟเสียแขนไปหนึ่งข้าง ต่อมาความลับถูกเปิดเผยก็คือ ลิซ่าลิซ่า ที่แท้จริงแล้วเป็นมารดาของโจเซฟ เป็นลูกเลี้ยงของเอริน่าที่เอริน่าเจอบนเรือวันที่ดิโอฆ่าโจนาธาน และหลังจากนั้นโจเซฟก็ได้แต่งงาน กับซูซี่ Q สาวรับใช้ของลิซ่าลิซ่า ซึ่งเกิดความผูกพันขึ้นในช่วงที่เธอเฝ้าพยาบาลเขาในช่วงที่เอาชนะคาร์ซได้แล้ว

ภาค 3  : Stardust Crusaders : นักรบประกายดาว (1988 - Kujo Jotaro) แก้

ตัวเอกคือคูโจ โจทาโร่ ต้องเดินทางจากญี่ปุ่นไปยังอียิปต์เพื่อต่อสู้กับดิโอ บรันโด ศัตรูของบรรพบุรุษในภาคแรกที่ฟื้นกลับมาอีกครั้ง โดยในภาคที่ 3 นี้ถือว่าเป็นภาคที่ได้รับความนิยมสูงที่สุด โจทาโร่ได้พบพลังอันลึกลับของตน นั่นก็คือสแตนด์ เพื่อนร่วมในการเดินทางตั้งชื่อสแตนด์จากการทำนายไพ่มีชื่อว่า "สตาร์แพลตตินั่ม" ภาคนี้โจเซฟกลับมามีบทบาทอีกครั้งก็คือ เป็นคุณตาของโจทาโร่ถึงจะอายุมากแล้วแต่ก็ยังมีแสตนด์(เฮอร์มิท เพอเพิล:แสตนด์หนามกุหลาบสามารถถ่ายภาพระยะไกลได้) เริ่มเรื่องจากที่ โฮลี่ ลูกสาวของโจเซฟ หรือคุณแม่ของโจทาโร่ได้มีอาการทรุดหนักเนื่องจากมีสแตนด์เกิดขึ้นมาภายในตัว ซึ่งสแตนด์นี้มีการส่งผลในทางที่เลวร้าย ทำร้ายร่างกายของตนเพราะว่า ดีโอ บรันโดได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมา โจเซฟและโจทาโร่กับพรรคพวก ร่วมกันออกเดินทางเพื่อตามล่าหาทางกำจัดดีโอ เพื่อแก้คำสาปที่กำลังทำร้ายแม่และลูกสาวของตน ภายหลังเมื่อต่อสู้กับดีโอ โจเซฟได้ตายไปเพราะถูกดีโอดูดเลือดจนหมดตัว ดีโอมีความสามารถในการหยุดเวลาทำให้โจทาโร่นั้นเฉียดตายมาแล้วหลายครั้ง ต่อมาการต่อสู้เริ่มดุเดือดขึ้นโจทาโร่ก็ได้พบกับความสามารถของตัวเองที่เพิ่มขึ้นมา นั่นคือ"หยุดเวลา" ได้เช่นเดียวกับดีโอ พอดีโอได้รู้จึงรีบหาทางกำจัดโจทาโร่โดยการหยุดเวลาให้เร็วกว่า แล้วยกรถบดถนนมาทับร่างโจทาโร่แต่ ช่วงที่การหยุดเวลาของดีโอจะหมดลง โจทาโร่ก็ได้หยุดเวลาต่อจากนั้นทำให้ดีโอถูกกำจัดลง แล้วโจเซฟก็ได้คืนชีพเพราะเลือดจากซากของดีโอ จากนั้นพรรคพวกก็แยกย้ายกันออกเดินทางกลับบ้านเกิด แล้วโจเซฟกับโจทาโร่ก็ได้กลับบ้านไปหาลูกสาวและแม่ของตนที่นั่งรออยู่ที่บ้านอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส่

ภาค 4 : Diamond is Unbreakable : เพชรแท้ไม่มีวันสลาย (1999 - Higashikata Josuke) แก้

เรื่องราวเกิดขึ้นในญี่ปุ่น ที่เมืองโมริโอ ปี ค.ศ. 1999

ตัวเอกคือ ฮิงาชิคาตะ โจสุเกะ ชื่อสแตนด์คือ:เครซี่ ไดมอนด์(โจทาโร่ตั้งให้) ลูกชายอีกคนหนึ่งของ โจเซฟ โจสตาร์ กับหญิงสาวชาวญี่ปุ่น ความสามารถสแตนด์ของโจสุเกะก็คือสามารถรักษาอาการบาดแผลของคน ซ่อมแซมสิ่งของได้ทุกอย่าง เนื้อหาจะเกี่ยวกับผู้ใช้สแตนด์ที่เพิ่มมากขึ้นจากการที่ใครบางคนใช้ธนูกับคันศรยิงคนทั่วไป ทำให้เกิดผู้ใช้สแตนด์ทั้งดีและร้าย โดยมีผู้ที่ธนูและกับคันศรอยู่กับชายสองคนได้แก่ นิจิมูระ เคโจ ชื่อแสตนคือ:แบด คอมปานี เป็นแสตนที่มีรูปร่างเป็นกองทัพทหาร มีความสามารถในโจมตีโดยใช้ระเบิดและปืนของแสตน ชึ่งเขาต้องการผู้ใช้แสตนที่แกร่งพอที่จะฆ่าพ่อของเขาได้เพราะพ่อของเขาได้ทำงานร่วมกับชายที่ชื่อว่า ดิโอ เมื่อดิโอตายเนื้องอกที่ฝังอยู่ในสมองพ่อของเคโจได้กัดกินสมองของพ่อเคโจ จนทำให้พ่อเขาเป็นสัตว์ประหลาด แต่เขาได้ถูกจัดการโดยโจสุเกะและโคอิจิ แต่เขาได้ถูกแย่งชิงธนูและคันศรไปโดยโอโตอิชิ อากิระชื่อแสตนคือ:เรด ฮ้อท ชิลิ เปปเปอร์ มีพลังในการควบคุมไฟฟ้าและจะมีพลังเพิ่มเมอมีไฟฟ้ามาก อากิระต้องการขับไล่โจทาโร่ออกไปจากเมือง แต่อากิระได้ถูกจัดการโดยโอคุยาสึในขณะที่ปลอมตัวเป็นคนของ มูลนิธิสปีดวากอน เพื่อไปฆ่าโจเชฟ ชึ่งธนูและคันศรที่อากิระขโมยมาได้ถูกเก็บไว้ที่ มูลนิธิสปีดวากอน และศัตรูสุดท้ายที่ร้ายกาจทีสุดก็คอ คิระ โยชิคาเงะ ฆาตกรโรคจิตที่ได้รับพลังสแตนด์สำหรับฆ่าคนมา และคิระใช้พลังนี้ฆ่าหญิงสาวหลายสิบราย หลังจากที่ได้สืบหาข้อมูลของคิระแล้ว โจสุเกะและพรรคพวกได้พยายามตามล่าหาคิระ ภายหลังได้มีการต่อสู้กันเกิดขึ้นโจทาโร่เกือบตายเพราะพลังสแตนด์ของคิระ (คิลเลอร์ควีนร่าง 2หรือเชียร์ฮาร์ทแอคแท๊กซ์:พลังระเบิดที่สามารถกดชนวนระเบิดได้อัตโนมัติและสามารถปล่อยระเบิดล่องหนได้) แต่ก็มีพรรคพวกมาช่วยนั่นก็คือ ฮิโรเสะ โคอิจิ(สแตนด์:เอคโคส์ act3 ความสามารถในการถ่ายเทน้ำหนัก) และนิจิมูระ โอคุยาสึ (สแตนด์:เดอะแฮนด์ มือข้างขวาสามารถลบทุกสิ่งทุกอย่าง) ทำให้รอดพ้นนาทีวิกฤตมาได้

ภาค 5 : Golden Wind : สายลมทองคำ (2001 - Giorno Giovanna ) แก้

ตัวเอกคือ โจรูโน่ โจบาน่า ชื่อสแตนด์คือ:โกลด์ เอ๊กซ์พีเรียนซ์ (Gold Experience) เด็กหนุ่มที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกชายของ ดีโอ บรันโด ที่ได้ตัดหัวของตัวเองมาต่อและใช้ร่างของ โจนาธาน โจสตาร์ ทำให้โจรูโน่เป็นผู้มีสายเลือดของโจสตาร์ เป็นผู้ที่รักความยุติธรรมและมีเมตตา แต่ก็เด็ดเดี่ยวในตัวเช่นเดียวกับคนตระกูลโจสตาร์ และยังเป็นคนที่ตัดสินใจเรื่องต่างๆได้อย่างเฉลียวฉลาดสมกับที่สืบเชื้อสายของดีโอมาเต็มที่ด้วย ชื่อภาษาญี่ปุ่นของโจรูโน่คือ ชิโอบานะ ฮารุโนะ ความสามารถสแตนด์ของโจรูโน่ก็คือเพิ่มพลังทายกายภาพให้เทียบเท่าแสตนต์ เปลี่ยนวัตถุให้มีชีวิตและควบคุมได้ เมื่อโจมตีเข้าที่วัตถุเหล่านั้นความเสียหายจะสะท้อนกลับไปยังผู้โจมตี เมื่อถูกชกด้วยแสตนต์ ประสาทสัมผัสของคนที่โดนชกจะถูกเร่งจนควบคุมไม่ได้และทำให้อ่อนแอ สามารถใช้พลังฟื้นฟูตนเองและผู้อื่น ลบล้างการโจมตีทุกอย่างโดยอัตโนมัติและตลอดเวลา รวมถึงผู้โจมตี ผู้ที่ถูกสังหารด้วยแสตนต์จะได้รับความตายซ้ำแล้วซ้ำอีกไปตลอดกาล ควบคุมเวลา มิติ ความเป็นจริง กฎแห่งกรรม การเกิด การตาย ยัดหูเข้าไปในหัว แสตนต์มีความคิดเป็นของตัวเอง พลังทำลาย ทำลายตึก | ทำลายเอกภพ (ไม่หายไปเมื่อจักรวาลถูกรีเซ็ตโดยเมด อิน เฮฟเว่น บิดเบือนเวลาของจักรวาลที่ถูกลบไปโดย คิง คริมสัน) ความเร็วเทียบเท่ามนุษย์ | ไร้ขีดจำกัด

ภาค 6 : Stone Ocean : สมุทรศิลา (2011 - Kujo Jolyne) แก้

ตัวเอกคือ คูโจ โจลีน ลูกสาวของ คูโจ โจทาโร่ ที่ถูกอุบายทำให้ต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำกรีน ดอลฟิน สตรีท ที่รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ในภาคนี้ได้แนะนำแนวคิดของ ดิสก์ ที่ตัวร้ายคือบาทหลวงเอ็นริโก้ พุซซี่ ใช้ในการมอบความสามารถสแตนด์ให้กับมนุษย์คนใดก็ได้ Stone Ocean ยังเป็นภาคที่มีการแยกชื่อภาคออกมาอย่างชัดเจน และในการตีพิมพ์ฉบับรวมเล่มก็ได้เริ่มนับเล่มใหม่ตั้งแต่เล่ม 1 ด้วย (ถึงแม้จะมีตัวเลขที่นับต่อจากภาค 5 กำกับไว้ด้วย) บทสรุปของภาค Stone Ocean ถือเป็นบทสรุปของจักรวาลโจโจ้ที่สมบูรณ์

ภาค 7 : STEEL BALL RUN : สตีล บอล รัน (1890 - Gyro Zeppeli, Johnny Joestar) แก้

ภาคนี้เป็นภาคต่อของโจโจ้ ภาค 6 ภาคก่อนหน้านี้ (หรือจะเรียกว่า Reboot ก็ได้) เนื้อเรื่องย้อนกลับไปในปี 1890 มหาเศรษฐีสตีเฟ่น สตีลได้จัดการแข่ง สตีล บอล รัน ขึ้น เป็นการแข่งม้าข้ามทวีปอเมริกาเหนือ เริ่มตั้งแต่เมืองซานดิเอโก้ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย จนถึงนครนิวยอร์ก โดยผู้ชนะเลิศจะได้รับเงินรางวัล 50 ล้านดอลลาร์ แต่แท้ที่จริงแล้ว การแข่งขันขึ้นเพื่อตามหาสิ่งที่เรียกว่าซากศพศักดิ์สิทธิ์ โดยมีผู้อยู่เบื้องหลังคือฟันนี่ วาเลนไทน์ ประธานาธิบดีคนที่ 23 ของอเมริกา

ภาค 8 : Jojolion (2011- Higashikata Josuke, Yasuho Hirose ) แก้

เหตุการณ์ในเรื่องอยู่ในปี 2011 (ยังคงเป็นโลกคู่ขนานเหมือนภาค 7) ณ เมืองโมริโอ้ ประเทศญี่ปุ่น หลายเดือนก่อนได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขึ้นทำให้ญี่ปุ่นเจอกับภัยของคลื่นยักษ์ ซึ่งหลังจากคลื่นสงบลง เมืองโมริโอ้กัลพบว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นเมื่อถนนหนทางของเมืองเสียรูปร่างจากคลื่นและกลายเป็นสิ่งปลูกสร้างประหลาดทีชาวเมืองเรียกว่า "ตากำแพง" ทำให้การจราจรในเมืองเสียหายไปครึ่งเมือง "ฮิโรเสะ ยาสุโฮะ" เด็กสาวที่ต้องการพื้นที่สงบ ๆ นั่งคิดคนเดียวถึงชีวิตที่ตนเองต้องการ จึงมานั่งหลบมุมอยู่คนเดียวที่ตากำแพงเพื่อหลีกเลี่ยงเพื่อนฝูง จนกระทั่งเธอได้พบกับชายคนหนึ่งที่ร่างกายเปลือยเปล่านอนอยู่ในดินใกล้ ๆ เธอ ในสภาพที่จำไม่ได้ว่าตัวเองคือใคร? เมื่อสองคนนี้พบกัน ทำให้เด็กหนุ่มคนนี้ก็คอยปกป้องยาสุโฮะ และค้นหาตัวตนของตัวเอง พร้อมกับต่อสู้กับศัตรูที่คิดร้ายกับตนเองด้วยพลังพิเศษที่เขาเรียกมันว่า "สแตนด์" ...หลังจากนั้นเด็กหนุ่มคนนี้ก็ได้รับอุปการะจากครอบครัวใหญ่ในเมือง "ครอบครัวฮิงาชิคาตะ" ที่รับเลี้ยงเขาด้วยจุดประสงค์บางอย่างที่คลุมเคลือ และตั้งชื่อเขาว่า "ฮิงาชิคาตะ โจสุเกะ" ตามชื่อหมาของยาสุโฮะ และอยู่อาศัยในบ้านฮิงาชิคาตะในฐานะลูกชายคนหนึ่ง ...แต่ทุกอย่างมันไม่ได้สงบสุขง่าย ๆ แบบนั้น เพราะโจสุเกะและยาสุโฮะต้องเจอกับเรื่องแปลกประหลาดและปริศนาลึกลับมากมายที่ทยอยกันเข้ามาหาพวกเขา ทั้งพลังสแตนด์ที่ตื่นขึ้นหลังจากเข้าไปในตากำแพง ปริศนาของตระกูลฮิงาชิคาตะที่เกี่ยวข้องกับตระกูลโจสตาร์ในอดีต, ผู้ใช้แสตนด์ศัตรูที่คอยเล่นงานพวกเขาตลอดเวลา, จุดประสงค์ที่แท้จริงของตระกูลฮิงาชิคาตะ, ร่างของชายที่มี DNA เหมือนกับโจสุเกะทุกประการ ..และที่สำคัญ เบาะแสของตัวตนที่แท้จริงของโจสุเกะ ว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นใครกันแน่?

ภาพยนตร์การ์ตูน แก้

  • ได้นำภาค 3 มาทำเป็นภาพยนตร์การ์ตูน ในรูปแบบโอวีเอ ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1993 ความยาว 13 ตอน (ตอนสุดท้ายเล่ม 12 ตามหนังสือการ์ตูน)
  • ปลายปี 2012 ได้ทำ anime ตั้งแต่ภาค 1 จนถึงภาคล่าสุดกำลังออกอากาศ คือ ภาค 5 และจบไปแล้วในต้นเดือนสิงหาคม 2019 ส่วนภาค 6 (Stone Ocean) ตอนนี้ ณ วันที่ 11/12/64 ยังมีมาแค่12ตอนเท่านั้นส่วนตอนอื่นๆคาดว่าน่าจะมาภายในปี2022

รายชื่อตอน แก้

วิดีโอเกม แก้

  • ภาค 3: -ถูกนำมาทำเป็นวิดีโอเกมแบบ RPG ลงในเครื่องซูเปอร์ฟามิคอมในชื่อ JoJo's Bizarre Adventureโดย Cobra Teamค.ศ. 1993
  • -ถูกนำมาทำเป็นวิดีโอเกมอีกครั้งในเครื่องเพลย์สเตชัน รูปแบบเกมต่อสู้ โดยบริษัทแคปคอมในชื่อJoJo's Bizarre Adventure เช่นกันค.ศ. 1999ซึ่งภาคนี้ได้ถูกพอร์ดลง Dreamcast
             และเกมตู้ด้วย และได้ทำในรูปแบบHDให้โหลดในPlaystation NetworkและXbox Live Arcadeด้วย

ส่วนเกี่ยวข้อง แก้

  • ชื่อตัวเอกทุกคนมี โจ นำหน้าเสมอ ทุกคนมีชื่อเล่นว่าโจโจ้
  • ภาค 3 เป็นภาคที่ทำให้คนทั่วโลกรู้จัก โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ

ภาคที่ 1-8 แก้

  • สายเลือดของตระกูลโจสตาร์ ทุกคนมีปานรูปดาวบนหลังคอ (ประมาณหลังคอเยื้องมาหลังบ่าด้านซ้าย ถ้าตามต้นฉบับญี่ปุ่น) (Star = ดาว)

ภาคที่ 3 แก้

  • ภาคนี้เป็นภาคแรกที่มี Stand และความสามารถดังกล่าวไม่ได้พบในมนุษย์เท่านั้น สามารถพบได้ในสัตว์ เช่น ลิง สุนัข นก รวมถึงสิ่งไม่มีชีวิต เช่น ดาบ ด้วย
  • ชื่อสแตนด์ของภาคนี้ มาจากชื่อของไพ่ทาโร่ต์หรือไพ่ยิปซี (เช่น Star Plattinum มาจากชื่อไพ่ The Star ,Hermit Purple มาจากไพ่ Hermit เป็นต้น) และบางส่วนจากเทพเจ้าอียิปต์โบราณ (เช่น Anubis เทพผู้ควบคุมความตาย)
  • ฉากที่ อเลสซี่ เจ้าของแสตนด์เทพเจ้าเซธัน พังประตูด้วยขวานเพื่อจะเข้าไปหาโปลนาเรฟ และยื่นหน้าเข้าไปในรอยแตกของประตูที่พัง คล้ายกับฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง The Shining ของ Stanley Kubrick

ภาคที่ 4 แก้

  • สัญลักษณ์ในภาคนี้คือ ความรัก (Love) และ สันติภาพ (Peace) สื่อถึงความสงบสุขและความรักในเมืองเกิดของตน
  • ตั้งแต่ภาค 4 เป็นต้นไปผู้เขียนมักจะนำมาจากชื่อวงดนตรีทางฝั่งยุโรปและอเมริกาและชื่อเพลงของวงดนตรีต่าง ๆ อาทิเช่น Killerqueen, The hand(ซึ่งล้อมาจากวง The band[2] ) , Echo , Red hot chili peppers มาเป็นชื่อสแตนด์
  • สแตนด์ เครซี่ ไดมอนด์ ของโจสุเกะ ดัดแปลงมาจากสแตนด์ THE WORLD ของ DIO (เช่น ดีไซน์หัวทรงกระบอก หรือหัวใจ)
  • หลาย ๆ ฉากในภาคนี้ นำมาจากภาพยนตร์ของสตีเฟ่น คิง เช่นฉาก อวคอ เนคเลซ ในท่อระบายน้ำ จากเรื่อง The Shining หรือฉากกองทหาร จากเรื่อง แบด คัมพานี *ชื่อสแตนด์ อะตอม ฮาร์ท ฟาเธอร์ ดัดแปลงมาจากชื่ออัลบั้ม Atom Heart Mother โดย Pink Floyd
  • เป็นภาคที่ชื่อแสตนด์ถูกดัดแปลงเพื่อเลี่ยงลิขสิทธ์ในตัวอนิเมะที่นำฉายในสหรัฐฯ และเกม เช่น Crazy diamond เป็น Snining diamond , Killer queen เป็น Deadly queen

ภาคที่ 5 แก้

  • ชื่อตัวละครในภาคนี้ส่วนใหญ่จะนำมาจากชื่อของอาหารต่าง ๆ ในภาษาอิตาลีเช่น รีส็อตโต (Resotto) แพนนาก็อตตา (Pannacotta)
  • ในเนื้อเรื่องมีการกล่าวถึงตัวละครคนหนึ่ง ถูกฆ่าโดยการหั่นเป็นชิ้น ๆ และใส่กรอบไว้ มีลักษณะคล้ายกับงาน Some Comfort Gained from the Acceptance of the Inherent Lies in Everything โดยศิลปินแนวป๊อบอาร์ตชาวอังกฤษที่ชื่อ Damien Hirst ที่นำวัวทั้งตัวมาหั่นเป็นชิ้นแล้วใส่กรอบไว้ ซึ่งผลงานลักษณะนี้มีให้เห็นในภาพยนตร์เรื่อง The Cell ด้วย
  • แม้ในเรื่องจะไม่กล่าวถึง แต่เต่าที่มีกุญแจติดอยู่ข้างหลัง ถูกระบุชื่ออย่างเป็นทางการไว้ว่า Coco Jumbo และชื่อสแตนด์ของมันก็คือ Mr. President
  • สัญลักษณ์ในภาคนี้คือเต่าทอง สื่อความหมายถึงชีวิตและความเป็นอมตะ
  • ชื่อสแตนด์ในภาคนี้มาจากชื่อวงดนตรีต่าง ๆ เช่น Sticky fingers,Aerosmith,Purple hazeและสแตนด์ตัวอื่น ๆ

ภาคที่ 6 แก้

  • ชื่อสแตนด์ สโตน ฟรี ของ โจลีน มาจากชื่อเพลงเพลงหนึ่งของ จิมมี่ เฮนดริกซ์ (ชื่อนี้เป็นชื่อ albumของ jimi hendrix ด้วย)
  • นอกจากคูโจ โจลีน แล้ว ตัวละครอื่นทุกตัวที่ปรากฏชื่อออกมาล้วนแต่นำมาจากชื่อสินค้า Brand ต่าง ๆ ทั้งสิ้น เรียงตามการปรากฏตัวดังนี้

แอเมส (Hermes) เอมโพริโอ้ (Emporio) เกส (Guess) ปุชชี่ (Emilio Pucci) ฌองการี อาโน่ (John Galliano) อเล็กแซนเดอร์ แมคควีน (Alexander McQueen) มิราชั่น (Mirashon) แรงเลอร์ (Wrangler) สปอร์ต แม็กซ์ (Sports Max) แอนนาซุย (Anna Sui) กุชชี่ (Gucci) โซนี่ (Sony) วิเวียน เวสต์วู้ด (Vivian Westwood) เคนโซ (Kenzo) ดีแอนด์จี โดลเช่ แอนด์ กับบาน่า (D&G - Dolce&Gabbana) มิวมิว (Miumiu) อุงกาโร่ (Emanuel Ungaro) ริคิเอล (Sonia Rikiel) โดนาเทลล่า เวอร์ซาเช่ (Donatella Versace)

  • ในตอนของเวธเธอร์รีพอร์ตตอนแรก ฉากฝนกบ เหมือนกับภาพยนตร์เรื่อง Magnolia
  • ในตอนของมิวมิว อาการความจำสั้นจนต้องสักข้อความต่าง ๆ ไว้บนร่างกาย เหมือนกับภาพยนตร์เรื่อง Memento
  • สัญลักษณ์ของภาคนี้คือผีเสื้อติดไยแมงมุม ผีเสื้อสื่อถึงอิสรภาพและการเจริญเติบโต ส่วนไยแมงมุมสื่อถึงการติดกับดัก

อ้างอิง แก้

  1. 1.0 1.1 1.2 "The Official Website for JoJo's Bizarre Adventure". Viz Media. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 28, 2017. สืบค้นเมื่อ October 27, 2017.
  2. "The Band", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2021-10-29, สืบค้นเมื่อ 2021-11-13

แหล่งข้อมูลอื่น แก้