แอฟริกันไวโอเล็ต

แอฟริกันไวโอเล็ต
a Saintpaulia ionantha cultivar
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร: Plantae
ไม่ได้จัดลำดับ: Angiosperms
ไม่ได้จัดลำดับ: Eudicots
ไม่ได้จัดลำดับ: Asterids
อันดับ: Lamiales
วงศ์: Gesneriaceae
สกุล: Saintpaulia
J.C.Wendl.
สปีชีส์

แอฟริกันไวโอเล็ต (African Violet หรือ Saintpaulias)เป็นพืชในวงศ์ Gesneriaceac มีถิ่นกำเนิดอยู่ตามแถบภูเขาในทางตอนเหนือของประเทศแทนซาเนีย และทางตอนใต้ของเคนยาในประเทศแอฟริกา พบครั้งแรกที่แทนซาเนีย เมื่อปีพ.ศ. 2435 โดย Baron walter Von Saint Paul-Illaire และได้นำส่งให้บิดาทดลองปลูก ก่อนส่งต่อไปปลูกในสวนพฤกษศาสตร์ Herrenhausen ของเยอรมนี มีการตั้งชื่อใหม่ว่า Saintpaulia ionantha ชื่อสกุลตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ที่ค้นพบ ส่วนชื่อชนิด"ionantha"หมายถึงลักษณะดอกคล้ายดอกไวโอเล็ต ในธรรมชาติแอฟริกันไวโอเล็ตจะเจริญอยู่ในพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,500 เมตร และเป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำลำธาร มีฝนตกชุก และมีไม้ใหญ่ปกคลุม

แอฟริกันไวโอเล็ตมีอยู่หลากหลายรูปแบบ และแตกต่างกันออกไปในแต่ล่ะสายพันธุ์

ลักษณะทางพฤกษาศาสตร์ แก้

แอฟริกันไวโอเล็ตเป็นไม้เนื้ออ่อนที่มีอายุยืนยาว เป็นไม้ล้มลุกหลายปี มีลำต้นสั้นมาก ใบอวบน้ำ โดยทั่วไปใบมีขนาด3.5-4 ซ.ม.ก้านใบยาว มีขนปกคลุมทั่วทั้งใบ ใบมักจะมีสีเขียวอ่อนถึงสีเขียวเข้มหรือเขียวคล้ำ บางพันธุ์มีใบด่าง มีสีต่างๆกัน เช่น สีขาว ครีม สีชมพู สีน้ำตาล หรือเป็นสีเขียวอ่อนและเขียวแก่ในใบเดียวกัน การด่างจะมีลักษณะแตกต่างกันไป ส่วนด้านใต้ใบมีสีเขียวจาง สีขาวหรือสีแดง ใบของแอฟริกันไวโอเล็ตมีทั้งที่เป็นแบบแปลกๆและมีชื่อเรียกเฉพาะ เช่น

  • ใบเกิร์ล(Girl left): เป็นใบที่มีแต้มด่างสีขาวที่โคนใบ ซึ่งต่อกับก้านใบ ใบมักเป็นคลื่นขอบใบหยักซี่ฟันและมักจะยกตัวตั้งขึ้นเล็กน้อย
  • ใบเทเลอร์หรือใบบอย(Tailor leaf or boy left):เป็นใบเรียบธรรมดา อาจมีรูปกลมหรือไข่
  • ใบสตรอว์เบอร์รี่(Strawberry left):มีผิวใบเป็นตุ่มคล้ายลูกสตรอว์เบอร์รี่

นอกจากนี้แล้วยังมีใบที่เป็นรูปซ้อน ใบนูนเป็นนวมและใบเรียบ หรือที่เรียกกันตามลักษณะรูปใบ เช่น ใบรูปกลม ใบรูปหัวใจ ใบรูปรี ใบรูปไข่ ใบรูปใบโอ๊กถึงใบยาว และใบรูปใบฮอลลี่ เป็นต้น ขอบใบมีทั้งขอบใบเรียบ หยักมน หยักฟันซี่ หยักเป็นคลุย จักฟันเลื่อย ขอบใบมีร่อง(fluted) ย่นเป็นคลื่น(Wavy) และขอบใบม้วน (curly) ดอกออกเป็นช่อ มี5-7ดอกต่อช่อ ก้านช่อสั้นหรือยาวขึ้นอยู่กับพันธุ์ เป็นดอกสมบูรณ์เพศมีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบดอกรูปไข่ มี5กลีบหรือมากกว่า มีหลายสีหลายลักษณะ มีเกสรเพศผู้ที่สมบูรณ์ 2อัน เกสรเพศเมีย 1 อัน รังไข่อยู่เหนือชั้นของกลีบดอก ผลเป็นแบบแห้งและแตกชนิดของดอกแบ่งตามจำนวนกลีบดอกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ ดอกชั้นเดียว มีกลีบดอก 5 กลีบ ดอกกึ่งซ้อนกัน 2 ชั้น ในกลุ่มดอกชั้นเดียวยังแบ่งเป็น 2 แบบ คือ

  • ดอกมาตรฐานแบบไวโอเล็ต(violet):มีปลายกลีบมน 3 กลีบล่างมีขนาดเท่ากันและใหญ่กว่า 2 กลีบบน โคนกลีบเชื่อมติดกัน เป็นลักษณะของดอกชนิดแรกที่พบในธรรมชาติ
  • ดอกแบบดาว(star):มีปลายกลีบแหลม ทุกกลีบมีขนาดเท่ากัน โคนกลีบเชื่อมติดกัน

บางครั้งโคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเกือบทั้งกลีบ ดูคล้ายรูประฆัง และมักพบในพันธุ์เลื้อย ซึ่งมีขนาดดอกค่อนข้างเล็ก กลีบดอกชั้นเดียว มักจะเหี่ยวและร่วงง่าย ยกเว้นบางพันธุ์ที่มีลักษณะบานแบบติดแน่น(stick-tite) ลักษณะการบานขึ้นอยู่กับองศาการหยิกของกลีบดอก เช่น เป็นครุย(frilled)ขอบหยัก(fringed) ขอบยับย่น(ruched) เป็นคลื่นหรือเป็นคลื่นน้อยๆ และกลีบเป็นชั้น(ruffled) สีของกลีบดอกพันธุ์ดั้งเดิมมีสีฟ้า และในปัจจุบันมีขึ้นมาหลากหลายสี ลักษณะของกลีบดอกที่มีชื่อเรียกเฉพาะได้แก่

  • ดอกแบบเจนีวา(geneva) หมายถึงดอกที่มีฃลิบสีขาว
  • ดอกแบบแฟนตาซี(fantasy) คือดอกที่มีจุดและแต้มของสีอื่น อาจไม่สม่ำเสมอหรือมีจุดเรียงกันเฉพาะที่ที่ตรงขอบกลีบของดอก เช่น พันธุ์กลิตเทอร์สวีท
  • ดอกแบบไคเมรา(chimera) คือดอกที่มีสีพาดเป็นทางหรือเป็นกงล้อ ซึ่งแตกต่างกับสีพื้น ที่มักจะพาดไปตามความยาวของกลีบ

สายพันธุ์ แก้

แอฟริกันไวโอเล็ตในปัจจุบันมักจะมีชื่อของผู้ผลิตหรือเจ้าของพันธุ์นำหน้าชื่อพันธุ์ เช่น Ballet,Optimara,Rhapsodie,เป็นต้น พันธุ์เหล่านี้จะขยายพันธุ์เพื่อนำไปจำหน่ายไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่ามีการขออนุญาตกับเจ้าของผู้จดทะเบียนอย่างถูกต้องเรียบร้อยแล้ว การจำแนกพันธุ์:แบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ

  1. พันธุ์มาตรฐาน(standard) :มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางทรงต้นประมาณ 30-40 ซ.ม. หรืออาจจะมากกว่า และขนาดดอก1.5-4ซ.ม. มี5-7ดอกต่อหนึ่งช่อ
  2. พันธุ์แคระและกึ่งแคระ(minitureและsemi-miniature): พันธุ์แคระมีขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลางทรงต้นไม่เกิน 15ซม. ส่วนพันธุ์กึ่งแคระไม่เกิน 18ซม. ขนาดดอกอาจเท่ากับพันธุ์มาตรฐาน
  3. พันธุ์เลื้อย(trailing):ลำต้นมีข้อห่างกันมาก เมื่อโตเต็มที่จะมีทรงต้นใหญ่มาก ดูเป็นก้อนกลมทั้งใบและดอก บางพันธุ์อาจมีลักษณะกึ่งเลื้อย คือยอดจะตะแคงไปข้างหนึ่ง และเจริญเติบโตออกทางด้านข้าง มักจะออกดอกดกและปลูกเลี้ยงง่าย นิยมปลูกบนก้อนหินหรือปลูกใส่กระถางแขวนเล็กๆ

อ้างอิง แก้

  • สารานุกรมไม้ประดับไทยเล่ม1 ((สำนักพิมพ์บ้านและสวน)ในเครืออัมรินทร์)

แหล่งข้อมูลอื่น แก้