แดเนียล สเตอร์ริดจ์

แดเนียล อานเดร สเตอร์ริดจ์ (อังกฤษ: Daniel Andre Sturridge; เกิด 1 กันยายน ค.ศ. 1989) เป็นนักฟุตบอลชาวอังกฤษ ปัจจุบันเล่นในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าให้กับเพิร์ธกลอรีในเอลีก

แดเนียล สเตอร์ริดจ์
สเตอร์ริดจ์ในระหว่างจัดขบวนฉลองชัยชนะของลิเวอร์พูลในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เมื่อเดือนมิถุนายน ในปี ค.ศ. 2019
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม แดเนียล อานเดร สเตอร์ริดจ์[1]
วันเกิด (1989-09-01) 1 กันยายน ค.ศ. 1989 (34 ปี)[2]
สถานที่เกิด เบอร์มิงแฮม, อังกฤษ
ส่วนสูง 6 ft 2 in (1.88 m)[3]
ตำแหน่ง กองหน้าตัวเป้า
ข้อมูลสโมสร
สโมสรปัจจุบัน
เพิร์ธกลอรี
หมายเลข 15
สโมสรเยาวชน
1995–1996 แคดบิวรีแอทเลติก
1996–2000 แอสตันวิลลา
2000–2003 คอเวนทรีซิตี
2003–2006 แมนเชสเตอร์ซิตี
สโมสรอาชีพ*
ปี ทีม ลงเล่น (ประตู)
2006–2009 แมนเชสเตอร์ซิตี 21 (5)
2009–2013 เชลซี 63 (13)
2011โบลตันวอนเดอเรอส์ (ยืมตัว) 12 (8)
2013–2019 ลิเวอร์พูล 116 (50)
2018เวสต์บรอมวิชอัลเบียน (ยืมตัว) 6 (0)
2019–2020 ทรับซอนสปอร์ 11 (4)
2021–2022 เพิร์ธกลอรี 6 (0)
ทีมชาติ
2004–2005 อังกฤษ อายุไม่เกิน 16 ปี 5 (6)
2005–2006 อังกฤษ อายุไม่เกิน 17 ปี 9 (7)
2007 อังกฤษ อายุไม่เกิน 18 ปี 1 (2)
2008 อังกฤษ อายุไม่เกิน 19 ปี 3 (1)
2009 อังกฤษ อายุไม่เกิน 20 ปี 1 (1)
2009–2011 อังกฤษ อายุไม่เกิน 21 ปี 15 (4)
2011–2017 อังกฤษ 26 (8)
2012 บริเตนใหญ่ 5 (2)
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น
ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 22:12, 22 สิงหาคม 2019 (UTC)
‡ ข้อมูลการลงเล่นและประตูให้แก่ทีมชาติล่าสุด ณ วันที่ 22:12, 22 สิงหาคม 2019 (UTC)

ในสถิติการยิงของเขาในการเล่นกับเชลซี เขาสามารถยิงประตูได้ถึง 11 ประตู (ในถดูกาล 2010-2011) ซึ่งเป็นที่ 4 ที่เป็นรองจากแฟรงก์ แลมพาร์ด, จอห์น เทร์รี และดีดีเย ดรอกบา ตามลำดับ

สโมสรอาชีพ แก้

แมนเชสเตอร์ซิตี แก้

ฤดูกาล 2006-09 แก้

เชลซี แก้

ฤดูกาล 2009-10 แก้

ฤดูกาล 2010-11 แก้

โบลตันวอนเดอเรอส์ (ยืมตัว) แก้

ในวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 2011 สเตอร์ริดจ์ ได้ย้ายไปอยู่กับ โบลตันวอนเดอเรอส์ ด้วยสัญญายืมตัวจนจบฤดูกาล

ฤดูกาล 2011-12 แก้

ฤดูกาล 2012-13 แก้

สเตอร์ริดจ์ไม่ค่อยได้ลงสนามมากนัก เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่บ่อยครั้ง โดยสเตอร์ริดจ์ทำได้แค่ประตูเดียวในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เชลซีเอาชนะทอตนัมฮอตสเปอร์ 4-2 ประตูสุดท้ายของ สเตอร์ริดจ์ คือนัดที่ เชลซี ลงเล่นในลีกคัพ เอาชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 5-4 ก่อนจะย้ายไปอยู่กับลิเวอร์พูลในช่วงเปิดตลาดเดือนมกราคม

ลิเวอร์พูล แก้

ในวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ได้ย้ายจากเชลซีมาอยู่กับลิเวอร์พูลด้วยค่าตัว 12 ล้านปอนด์ โดยสเตอร์ริดจ์ได้สวมเสื้อหมายเลข 15

ฤดูกาล 2012-13 แก้

 
สเตอร์ริดจ์ลงเล่นให้กับลิเวอร์พูล ในนัดที่เจอกับสวอนซีซิตี

ในวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 2013 เอฟเอคัพรอบ 3 สเตอร์ริดจ์ได้ลงสนามนัดแรกเจอกับแมนฟีลด์ทาวน์ และสเตอร์ริดจ์ก็ทำประตูแรกให้กับลิเวอร์พูลในช่วง 7 นาทีแรก ก่อนที่ลิเวอร์พูลจะชนะไป 2-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 4 เอฟเอคัพ ได้สำเร็จ ต่อมาในวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ได้ทำประตูแรกให้กับลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีก โดยลงสนามเป็นตัวสำรอง ยิงตีไข่แตกไล่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แต่ก็แพ้ไป 1-2[4] ต่อมา สเตอร์ริดจ์ทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะนอริชซิตี 5-0 ทำให้สเตอร์ริดจ์เป็นนักฟุตบอลคนแรกที่ลงสนาม 3 นัด ยิงประตูได้ 3 ประตู สถิติเทียบเท่ากับเรย์ เคนเนดี ที่ทำไว้ในปี 1974 ต่อมาในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ ทำประตูตีเสมอใส่ทีมเก่า แมนเชสเตอร์ซิตี 1-1 ก่อนจะจบด้วยผลเสมอ 2-2[5] ต่อมา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ยิงจุดโทษปิดท้ายให้ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะสวอนซีซิตี 5-0[6] ต่อมา ในวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ ทำประตูตีเสมอใส่ทีมเก่า เชลซี 1-1 ก่อนจะจบด้วยผลเสมอ 2-2 ต่อมา ในวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ได้ทำ 2 ประตูให้ลิเวอร์พูลเอาชนะนิวคาสเซิลยูไนเต็ด ที่เซนต์เจมส์พาร์ก 6-0[7] ต่อมา ในวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ ทำแฮตทริกครั้งแรกของเขาให้กับลิเวอร์พูล ในนัดที่เอาชนะฟูลัมที่เครเวนคอตทิจ 3-1[8] จบฤดูกาล สเตอร์ริดจ์ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 10 ประตู จาก 14 นัด และยิงได้ทั้งหมด 11 ประตู จาก 16 นัด รวมทุกรายการ ทำให้ สเตอร์ริดจ์ กลายเป็นผู้เล่นที่เป็นกุญแจสำคัญของลิเวอร์พูล

ฤดูกาล 2013-14 แก้

 
สเตอร์ริดจ์ลงเล่นให้กับลิเวอร์พูล ในนัดที่เจอกับ สโตกซิตี ในนัดเปิดฤดูกาล 2013–14

ในวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 2013 พรีเมียร์ลีก นัดเปิดฤดูกาล 2013–14 ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับสโตกซิตี โดยสเตอร์ริดจ์ได้ทำประตูชัยให้ลิเวอร์พูลเอาชนะ สโตกซิตี 1-0[9] [10] ต่อมา ในวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เอาชนะแอสตันวิลลาที่วิลลาพาร์ก 1-0[11] [12] ต่อมา ในวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 2013 ลีกคัพ รอบ 2 สเตอร์ริดจ์ ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ นอตส์เคาน์ตี ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 4-2 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 3 ลีกคัพ ได้สำเร็จ[13] ด้วยผลงานยอดเยี่ยมทำให้ สเตอร์ริดจ์ ได้รางวัลผู้เล่นยอดเยื่ยมประจำเดือนสิงหาคม ของ พรีเมียร์ลีก[14] ต่อมา ในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ได้ฉลองวันเกิดด้วยการทำประตูชัยให้ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาล 1-0[15] [16] ต่อมา ในวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ทำประตูที่ 4 ติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เสมอกับสวอนซีซิตี ที่ลิเบอร์ตีสเตเดียม 2-2 ทำให้สเตอร์ริดจ์กลายเป็นนักเตะลิเวอร์พูลคนแรกนับตั้งแต่ จอห์น อัลดริดจ์ ในปี 1987 ที่ทำประตูได้ทุกนัดใน 4 นัดแรกของฤดูกาล ต่อมา ในวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ ทำประตูที่ 5 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เอาชนะซันเดอร์แลนด์ที่สเตเดียมออฟไลต์ 3-1[17] [18] ต่อมา ในวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ ทำประตูที่ 6 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ คริสตัลพาเลซ 3-1[19] ต่อมา ในวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูที่ 7 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เสมอกับ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ที่เซนต์เจมส์พาร์ก 2-2[20] ต่อมา ในวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูที่ 8 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เวสต์บรอมมิชอัลเบียน 4-1[21] [22] ต่อมา ในวันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูที่ 9 ในพรีเมียร์ลีก โดยลงสนามเป็นตัวสำรอง ในนัดที่เสมอกับ เอฟเวอร์ตัน ที่กูดิสันพาร์ก 3-3[23] ในวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ ได้มีอาการบาดเจ็บที่เอ็นข้อเท้าในระหว่างการฝึกซ้อมทำให้ต้องพักยาว 6-8 สัปดาห์

ในวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้กลับมาลงสนามอีกครั้ง โดยถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองและทำประตูที่ 10 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ สโตกซิตี ที่บริแทนเนียสเตเดียม 5-3[24] [25] ต่อมา ในวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูที่ 11 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เสมอกับ แอสตันวิลลา 2-2[26] ต่อมา ในวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 2014 เอฟเอคัพ รอบ 4 สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ บอร์นมัท 2-0 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 5 เอฟเอคัพ ได้สำเร็จ[27] ต่อมา ในวันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน 4-0[28] [29] ต่อมา ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูที่ 14 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เสมอกับ เวสต์บรอมมิชอัลเบียน ที่เดอะฮอว์ทอนส์ 1-1[30] ต่อมา ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูที่ 15 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ อาร์เซนอล 5-1[31] [32] ต่อมา ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูที่ 16 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ฟูลัม ที่เครเวนคอตทิจ 3-2[33] ต่อมา ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ สวอนซีซิตี 4-3[34] ด้วยผลงานยอดเยี่ยมทำให้ สเตอร์ริดจ์ ได้รางวัลผู้เล่นยอดเยื่ยมประจำเดือนกุมภาพันธ์ ของ พรีเมียร์ลีก โดยยิงได้ 5 ประตูจาก 6 นัด[35] ต่อมา ในวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูที่ 19 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ คาร์ดิฟฟ์ซิตี ที่คาร์ดิฟฟ์ซิตีสเตเดียม 6-3[36] [37] ต่อมา ในวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูที่ 20 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ซันเดอร์แลนด์ 2-1[38] ทำให้ สเตอร์ริดจ์ เป็นนักเตะคนแรกนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1890 ที่สามารถยิงให้ ลิเวอร์พูล ได้ถึงหลัก 30 ลูก จากการลงเล่นเพียงแค่ 37 นัด ต่อมา สเตอร์ริดจ์ ได้ติด 1 ใน 6 เข้าชิงรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ รวมถึงเข้าชิงราวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ ในวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์, สตีเวน เจอร์ราร์ด และ ลุยส์ ซัวเรซ 3 นักเตะของลิเวอร์พูล ได้ติดทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอ ต่อมา ในวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 นัดปิดฤดูกาล ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์ เจอกับ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด เป็นนัดตัดสินแชมป์พรีเมียร์ลีกระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ซิตี ในนัดนี้ ลิเวอร์พูล จะต้องชนะ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด และต้องลุ้นให้ เวสต์แฮมยูไนเต็ด เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี ที่เอติฮัดสเตเดียม ลิเวอร์พูล ก็จะได้แชมป์พรีเมียร์ลีก โดย สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูชัยให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด 2-1 แต่สุดท้าย แมนเชสเตอร์ซิตี เอาชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด 2-0 ทำให้ ลิเวอร์พูล พลาดโอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อย่างน่าเสียดาย[39] จบฤดูกาล สเตอร์ริดจ์ ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 21 ประตู จาก 29 นัด และยิงได้ทั้งหมด 24 ประตู จาก 33 นัด รวมทุกรายการ[40] และช่วยให้ ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 2 ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้กลับไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นับตั้งแต่ในปี 2009[41]

ฤดูกาล 2014-15 แก้

 
สเตอร์ริดจ์ลงเล่นให้กับลิเวอร์พูล ในนัดที่อุ่นเครื่องเจอกับ โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์

ในวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 2014 พรีเมียร์ลีก นัดเปิดฤดูกาล 2014–15 ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับ เซาแธมป์ตัน โดยสเตอร์ริดจ์ได้ทำประตูชัยให้ลิเวอร์พูลเอาชนะ เซาแธมป์ตัน 2-1[42] ต่อมา สเตอร์ริดจ์ ได้มีอาการบาดเจ็บที่ต้นขาในระหว่างการฝึกซ้อมให้กับทีมชาติอังกฤษทำให้ต้องพักยาว 1 เดือน ต่อมา ในวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ตัดสินใจต่อสัญญาระยะยาวกับสโมสรลิเวอร์พูล ไปจนถึงปี 2019 พร้อมค่าเหนื่อยเพิ่มอีก 5 เท่า จาก 30,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ (ประมาณ 1,500,000 บาท) เป็น 150,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ (ประมาณ 7,500,000 บาท) [43] ต่อมา สเตอร์ริดจ์ ได้มีอาการบาดเจ็บอีกครั้งที่น่องยึดขณะลงฝึกซ้อมในวันพฤหัสบดี ทำให้ต้องพักยาวอีก 2-4 สัปดาห์ ต่อมา ในวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้มีอาการบาดเจ็บที่เดิมอีกครั้งที่ต้นขาในระหว่างการฝึกซ้อมให้กับสโมสรและมีการเปิดเผยว่า สเตอร์ริดจ์ ได้มีอาการบาดเจ็บที่ต้นขาเป็นครั้งที่ 9 แล้วทำให้ต้องพักยาวอีก 6 สัปดาห์ หลังจากนั้น สโมสรลิเวอร์พูล ได้ส่ง สเตอร์ริดจ์ ไปลอสแอนเจลิส ประเทศอเมริกา เพื่อไปซ้อมในอากาศที่อบอุ่นเพื่อทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้นใน 2 สัปดาห์

ในวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 2015 สเตอร์ริดจ์ กลับมาลงสนามอีกครั้งในรอบ 5 เดือน โดยลงสนามเป็นตัวสำรองแทน ลาซาร์ มาร์โควิช และทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด 2-0[44] ต่อมา ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2015 เอฟเอคัพ รอบห้า สเตอร์ริดจ์ ทำประตูตีเสมอ ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ คริสตัลพาเลซ ที่เซลเฮิสต์พาร์ก 2-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบแปดทีมสุดท้ายของเอฟเอคัพ ได้สำเร็จ[45] ต่อมา ในวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 2015 สเตอร์ริดจ์ ทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เบิร์นลีย์ 2-0[46]

ในวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 2015 สเตอร์ริดจ์ ยิงตีไข่แตกไล่ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แต่ก็แพ้ไป 1-2 ต่อมา สเตอร์ริดจ์ ได้มีอาการบาดเจ็บอีกครั้งที่บริเวณสะโพก โดยมีอาการกล้ามเนื้อสะโพกฉีกจากเกมลีกนัดที่แพ้ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 1-2 ทำให้เขาต้องถอนตัวจากทีมชาติอังกฤษ และเข้ารับการผ่าตัดสะโพกทำให้เขาพักทั้งฤดูกาลเป็นที่เรียบร้อย ในวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 2015 สเตอร์ริดจ์ ได้ไปซ้อมอบอุ่นร่างกายที่สหรัฐอเมริกา เพื่อทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้นอีกครั้ง จบฤดูกาล สเตอร์ริดจ์ ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้แค่ 4 ประตูจาก 12 นัด เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่บ่อยครั้ง

ฤดูกาล 2015-16 แก้

หลังจากไม่ได้ลงสนาม 5 นัดแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2015–16 เพราะมีอาการบาดเจ็บ ในวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 2015 สเตอร์ริดจ์ ลงสนามนัดแรกในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เสมอกับ นอริชซิตี 1-1 ต่อมา ในวันที่ 26 กันยายน ค.ศ. 2015 สเตอร์ริดจ์ ทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีกโดยยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ แอสตันวิลลา 3-2[47] [48] ต่อมา ในวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 2015 สเตอร์ริดจ์ มีอาการบาดเจ็บอีกครั้งที่บริเวณหัวเข่าในช่วงฝึกซ้อม ต่อมา ในวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015 สเตอร์ริดจ์กลับมาลงสนามอีกครั้ง โดยลงสนามเป็นตัวสำรองแทน คริสตีย็อง แบนเตเก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ สวอนซีซิตี 1-0

ในวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 2015 ฟุตบอลลีกคัพ รอบห้า สเตอร์ริดจ์ ลงสนามเป็นตัวจริงและยิง 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เซาแทมป์ตัน ที่เซนต์แมรีส์สเตเดียม 6-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ลีกคัพ ได้สำเร็จ[49] ต่อมา ในวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 2015 สเตอร์ริดจ์ มีปัญหาอาการบาดเจ็บที่แฮมสตริง ในนัดที่ ลิเวอร์พูล พ่ายแพ้ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด 0-2 ทำให้ต้องพักยาว 2 เดือน ต่อมา ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 สเตอร์ริดจ์กลับมาลงสนามอีกครั้ง โดยลงสนามเป็นตัวจริงและทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ แอสตันวิลลา ที่วิลลาพาร์ก 6-0[50] [51]

ในวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 2016 ยูฟ่ายูโรปาลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรก สเตอร์ริดจ์ ทำประตูแรกในยูฟ่ายูโรปาลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะคู่ปรับตลอดกาล แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 2-0[52] ต่อมา ในวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 2016 สเตอร์ริดจ์ทำประตูที่ 4 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล พ่ายแพ้ เซาแทมป์ตัน ที่เซนต์แมรีส์สเตเดียม 2-3[53] ต่อมา ในวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 2016 สเตอร์ริดจ์ทำประตูที่ 5 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ สโตกซิตี 4-1[54] ต่อมา ในวันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 2016 สเตอร์ริดจ์ทำประตูที่ 6 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ บอร์นมัท 2-1[55] ต่อมา ในวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 2016 สเตอร์ริดจ์ทำประตูที่ 7 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน 4-0[56] ทำให้ สเตอร์ริดจ์ ยิงประตูครบ 50 ประตูรวมทุกรายการ[57] ต่อมา ในวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 2016 สเตอร์ริดจ์ทำประตูที่ 8 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เสมอกับ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด 2-2[58] ต่อมา ในวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 2016 ยูฟ่ายูโรปาลีก รอบรองชนะเลิศ นัดที่สอง สเตอร์ริดจ์ ทำประตูที่ 2 ในยูฟ่ายูโรปาลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ บิยาร์เรอัล 3-0 รวมผลสองนัด ลิเวอร์พูล เอาชนะ บิยาร์เรอัล 3-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่ายูโรปาลีกได้สำเร็จ[59] ต่อมา ในวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 2016 ยูฟ่ายูโรปาลีก นัดชิงชนะเลิศ 2016 ลิเวอร์พูล เจอกับ เซบิยา จากสเปน ที่เซนต์ จาค็อบ-พาร์ค สเตอร์ริดจ์ทำประตูให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ 1-0 แต่สุดท้ายก็แพ้ไป 1-3 ทำให้ ลิเวอร์พูล พลาดโอกาสคว้าแชมป์ยูฟ่ายูโรปาลีก อย่างน่าเสียดาย[60]

ฤดูกาล 2016-17 แก้

ในวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 2016 อีเอฟแอลคัพ รอบ 2 สเตอร์ริดจ์ ยิง 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เบอร์ตันอัลเบียน 5-0 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 3 อีเอฟแอลคัพ ได้สำเร็จ[61] ต่อมา ในวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 2016 อีเอฟแอลคัพ รอบ 4 สเตอร์ริดจ์ ยิง 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 2-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 5 อีเอฟแอลคัพ ได้สำเร็จ[62] ต่อมา ในวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 2016 สเตอร์ริดจ์ทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2016–17 ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ สโตกซิตี 4-1[63] ต่อมา ในวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 2017 สเตอร์ริดจ์ทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ ซันเดอร์แลนด์ ที่สเตเดียมออฟไลต์ 2-2[64] ต่อมา ในวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 2017 สเตอร์ริดจ์ทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด ที่ลอนดอนสเตเดียม 4-0[65] จบฤดูกาล สเตอร์ริดจ์ยิงประตูในพรีเมียร์ลีก 3 ประตูจาก 20 นัด ช่วยให้ ลิเวอร์พูล จบอันดับที่ 4 และคว้าโควต้าแชมเปียนส์ลีก ในฤดูกาลหน้าได้สำเร็จ

ฤดูกาล 2017-18 แก้

ในวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 2017 สเตอร์ริดจ์ลงสนามเป็นตัวสำรองแทน ซาดีโย มาเน และทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2017–18 ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ อาร์เซนอล 4-0[66] ต่อมา ในวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 2017 สเตอร์ริดจ์ทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ฮัดเดอส์ฟีลด์ทาวน์ 3-0[67] ต่อมา ในวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 2017 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2017–18 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม E สเตอร์ริดจ์ทำประตูแรกในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ มารีบอร์ จากสโลวีเนีย 3-0[68]

เวสต์บรอมมิชอัลเบียน (ยืมตัว) แก้

ในวันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 2018 สเตอร์ริดจ์ย้ายมาอยู่กับเวสต์บรอมมิชอัลเบียนด้วยสัญญายืมตัวจนจบฤดูกาล สเตอร์ริดจ์ลงสนาม 6 นัด แต่ไม่สามารถช่วยให้เวสต์บรอมมิชอัลเบียนอยู่รอดตกชั้นได้

ฤดูกาล 2018-19 แก้

ในวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 2018 พรีเมียร์ลีก นัดเปิดฤดูกาล 2018–19 สเตอร์ริดจ์ลงสนามเป็นตัวสำรองแทน มุฮัมมัด เศาะลาห์ และทำประตูแรกในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด 4-0[69] ต่อมา ในวันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 2018 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2018–19 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม C สเตอร์ริดจ์ทำประตูแรกในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2018–19 นัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง จากฝรั่งเศส 3-2[70] ต่อมา ในวันที่ 26 กันยายน ค.ศ. 2018 อีเอฟแอลคัพ รอบ 3 สเตอร์ริดจ์ทำประตูให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ เชลซี 1-0 แต่สุดท้ายก็แพ้ไป 1-2 ทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องตกรอบอีเอฟแอลคัพ ไปในที่สุด[71] ต่อมา ในวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2018 สเตอร์ริดจ์ทำประตูในพรีเมียร์ลีกครบ 50 ประตูให้กับลิเวอร์พูล ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ เชลซี ที่สแตมฟอร์ดบริดจ์ 1-1[72] และประตูนี้ของสเตอร์ริดจ์ทำให้ได้รับการโหวตเป็นประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนกันยายนจากพรีเมียร์ลีก[73]

ในวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 2019 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ 2019 ลิเวอร์พูล เจอกับ ทอตนัมฮอตสเปอร์ ที่วันดาเมโตรโปลิตาโน ในมาดริด, ประเทศสเปน สุดท้าย ลิเวอร์พูล เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 2-0 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก สมัยที่ 6 ได้สำเร็จ[74] ต่อมา ในวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 2019 สเตอร์ริดจ์จะออกจากสโมสรในซัมเมอร์นี้เมื่อสัญญาของเขาหมดลง

ทีมชาติอังกฤษ แก้

ทีมเยาวชน แก้

ทีมชุดใหญ่ แก้

ในวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 2011 แดเนียล สเตอร์ริดจ์ ถูกเรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษเป็นครั้งแรกในนัดที่อุ่นเครื่องกระชับมิตรกับ สเปน และ สวีเดน ต่อมา ในวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 2013 ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูแรกให้กับทีมชาติ ในนัดที่เอาชนะ ซานมารีโน 8-0 ต่อมา ในวันที่ 11 ตุลาคม ค.ศ. 2013 ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูที่ 2 ให้กับทีมชาติ โดยยิงจุดโทษในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ในนัดที่ อังกฤษ เปิดสนามสนามกีฬาเวมบลีย์เอาชนะ มอนเตเนโกร 4-1 ต่อมา ในวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูที่ 3 ให้กับทีมชาติ ในนัดที่ อังกฤษ เปิดสนามกีฬาเวมบลีย์เอาชนะ เดนมาร์ก 1-0 ในเกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร ต่อมา ในวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูที่ 4 ให้กับทีมชาติ ในนัดที่ อังกฤษ เปิดสนามกีฬาเวมบลีย์เอาชนะ เปรู 3-0 ในเกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร

ฟุตบอลโลก 2014 แก้

ในวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 ทีมชาติอังกฤษได้เรียกตัว แดเนียล สเตอร์ริดจ์ ติดรายชื่อ 23 คน ชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิล โดย อังกฤษ ได้อยู่กลุ่มดี ร่วมกับ อุรุกวัย, คอสตาริกา และ อิตาลี ในวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ลงสนามเป็นตัวจริงในฟุตบอลโลก กลุ่มดี นัดแรก โดย สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูแรกในฟุตบอลโลก ในนัดที่แพ้ให้กับ อิตาลี 1-2 สุดท้าย อังกฤษ ก็ต้องตกรอบแรก ได้อันดับสุดท้ายของกลุ่มดี เสมอ 1 แพ้ 2 (แพ้ อิตาลี 1-2, แพ้ อุรุกวัย 1-2 และ เสมอ คอสตาริกา 0-0) ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องจบเส้นทางฟุตบอลโลกที่บราซิลเพียงรอบแรกเท่านั้น และเป็นครั้งแรกในรอบ 56 ปีที่อังกฤษตกรอบแรกฟุตบอลโลก

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 แก้

ทีมชาติอังกฤษเรียกตัว แดเนียล สเตอร์ริดจ์ ติดรายชื่อ 23 คน ชุดลุยศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 ที่ฝรั่งเศส โดย อังกฤษ อยู่กลุ่มบี ร่วมกับ รัสเซีย, เวลส์ และ สโลวาเกีย ในวันที่ 16 มิถุนายน ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ลงสนามนัดแรกโดยลงสนามเป็นตัวสำรองแทน ราฮีม สเตอร์ลิง และทำประตูชัยในนาทีสุดท้าย ในนัดที่ อังกฤษ เอาชนะ เวลส์ 2-1 คว้าอันดับ 2 ของกลุ่มบี ชนะ 1 เสมอ 2 โดยพาทีมเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายเจอกับ ไอซ์แลนด์ แต่สุดท้าย อังกฤษ เป็นฝ่ายแพ้ไป 1-2 ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องจบเส้นทางฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปที่ฝรั่งเศสเพียงเท่านี้

สถิติอาชีพ แก้

สโมสร แก้

ณ วันที่ 7 พฤษภาคม 2019[75]
สโมสร ฤดูกาล ลีก ฟุตบอลถ้วย ลีกคัพ ยุโรป อื่น ๆ รวม
Division ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู
แมนเชสเตอร์ซิตี 2006–07[76] พรีเมียร์ลีก 2 0 0 0 0 0 2 0
2007–08[77] พรีเมียร์ลีก 3 1 1 1 0 0 4 2
2008–09[78] พรีเมียร์ลีก 16 4 1 0 1 0 8[a] 0 26 4
รวม 21 5 2 1 1 0 8 0 0 0 32 6
เชลซี 2009–10[79] พรีเมียร์ลีก 13 1 4 4 1 0 2[b] 0 0 0 20 5
2010–11[80] พรีเมียร์ลีก 13 0 1 2 1 0 5[b] 2 1[c] 0 21 4
2011–12[81] พรีเมียร์ลีก 30 11 4 1 2 1 7[b] 0 43 13
2012–13[82] พรีเมียร์ลีก 7 1 0 0 1 1 3[d] 0 1[c] 0 12 2
รวม 63 13 9 7 5 2 16 2 3 0 96 24
โบลตันวอนเดอเรอส์ (ยืมตัว) 2010–11[80] พรีเมียร์ลีก 12 8 12 8
ลิเวอร์พูล 2012–13[82] พรีเมียร์ลีก 14 10 2 1 16 11
2013–14[83] พรีเมียร์ลีก 29 21 2 1 2 2 33 24
2014–15[84] พรีเมียร์ลีก 12 4 4 1 0 0 2[e] 0 18 5
2015–16[85] พรีเมียร์ลีก 14 8 1 0 2 2 8[e] 3 25 13
2016–17[86] พรีเมียร์ลีก 20 3 3 0 4 4 27 7
2017–18[87] พรีเมียร์ลีก 9 2 0 0 0 0 5[b] 1 14 3
2018-19 พรีเมียร์ลีก 18 2 1 0 1 1 7[b] 1 27 4
รวม 116 50 13 3 9 9 22 5 0 0 160 67
เวสต์บรอมมิชอัลเบียน (ยืมตัว) 2017–18[87] พรีเมียร์ลีก 6 0 0 0 6 0
รวมทั้งหมด 218 75 24 11 15 11 47 7 2 0 306 104

ทีมชาติ แก้

ณ วันที่ 8 ตุลาคม 2017.[88]
ทีมชาติ ปี กระชับมิตร รอบคัดเลือก ทัวร์นาเมนต์ รวม
ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู
อังกฤษ 2011 1 0 0 0 1 0
2012 2 0 1 0 0 0 3 0
2013 2 0 3 2 5 2
2014 5 2 0 0 2 1 7 3
2016 2 0 4 2 3 1 9 3
2017 0 0 1 0 0 0 1 0
รวม 12 2 9 4 5 2 26 8

ประตูในนามทีมชาติ แก้

ทีมชาติบริเตนใหญ่ แก้

Goal วันที่ สนาม คู่แข่งขัน ประตู ผล การแข่งขัน
1. 29 กรกฎาคม 2012 สนามกีฬาเวมบลีย์, ลอนดอน, อังกฤษ   สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 3–1 3–1 โอลิมปิกฤดูร้อน 2012
2. 1 สิงหาคม 2012 มิลเลนเนียมสเตเดียม, คาร์ดิฟฟ์, เวลส์   อุรุกวัย 1–0 1–0 โอลิมปิกฤดูร้อน 2012

ทีมชาติอังกฤษ แก้

International goals by date, venue, cap, opponent, score, result and competition
No. วันที่ สนาม นัดที่ คู่แข่งขัน ประตู ผล การแข่งขัน
1 22 มีนาคม 2013 Serravalle Stadium, ซานมารีโน 5   ซานมารีโน 7–0 8–0 ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก
2 11 ตุลาคม 2013 สนามกีฬาเวมบลีย์, อังกฤษ 7   มอนเตเนโกร 4–1 4–1 ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก
3 5 มีนาคม 2014 สนามกีฬาเวมบลีย์, อังกฤษ 10   เดนมาร์ก 1–0 1–0 เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร
4 30 พฤษภาคม 2014 สนามกีฬาเวมบลีย์, อังกฤษ 11   เปรู 1–0 3–0 เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร
5 14 มิถุนายน 2014 อาเรนาดาอามาโซเนีย, บราซิล 13   อิตาลี 1–1 1–2 ฟุตบอลโลก 2014
6 16 มิถุนายน 2016 Stade Bollaert-Delelis, Lens, France 19   เวลส์ 2–1 2–1 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016
7 8 ตุลาคม 2016 Wembley Stadium, London, England 23   มอลตา 2–0 2–0 ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก
8 11 พฤศจิกายน 2016 Wembley Stadium, London, England 25   สกอตแลนด์ 1–0 3–0 ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก

เกียรติประวัติ แก้

สโมสร แก้

เชลซี

ลิเวอร์พูล

รางวัลส่วนตัว แก้

  • ทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอ: 2013–14
  • นักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำเดือนของพรีเมียร์ลีก: สิงหาคม 2013, กุมภาพันธ์ 2014
  • UEFA Euro U-21 Team of the Tournament: 2011
  • นักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของแมนเชสเตอร์ซิตี: 2008–09
  • ผู้ทำประตูสูงสุดของลิเวอร์พูล: 2015–16
  • Premier League Goal of the Month: กันยายน 2018[89]
  • Standard Chartered Liverpool Player of the Month: สิงหาคม 2013[90], กุมภาพันธ์ 2014, กันยายน 2018[91]
  • ประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนของอีเอ สปอร์ตส์: สิงหาคม 2013[92], ตุลาคม 2013[93], มกราคม 2014, กันยายน 2018[94]

อ้างอิง แก้

  1. Hugman, Barry J., บ.ก. (2010). The PFA Footballers' Who's Who 2010–11. Edinburgh: Mainstream Publishing. p. 394. ISBN 978-1-84596-601-0.
  2. "แดเนียล สเตอร์ริดจ์". Barry Hugman's Footballers. สืบค้นเมื่อ 26 พฤษภาคม 2018.
  3. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Soccerway
  4. "Manchester United 2–1 Liverpool" BBC Sport. 13 January 2013. Retrieved 13 January 2013.
  5. "Manchester City 2–2 Liverpool" BBC Sport. 3 February 2013. Retrieved 3 February 2013.
  6. "Liverpool 5–0 Swansea" BBC Sport. 17 February 2013. Retrieved 17 February 2013.
  7. แมตช์คลาสสิก: นิวคาสเซิล แพ้ ลิเวอร์พูล 0-6 ปี 2013[ลิงก์เสีย]
  8. "Fulham 1–3 Liverpool" BBC Sport. 12 May 2013. Retrieved 13 May 2013.
  9. "Liverpool 1–0 Stoke" BBC Sport. 17 August 2013. Retrieved 17 August 2013.
  10. สเตอร์ริดจ์ และมิโญเล่ต์ ช่วยคว้าชัยเกมนัดแรกให้ลิเวอร์พูล[ลิงก์เสีย]
  11. "ชมภาพบรรยากาศการแข่งขันลิเวอร์พูล พบ แอสตันวิลลา". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-06-27.
  12. "จบเกม: แอสตันวิลลา 0 - ลิเวอร์พูล 1". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-06-28.
  13. "สเตอร์ริดจ์ซัลโวให้ลิเวอร์พูลเข้ารอบถ้วยแคปิตอล วัน". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-02-24.
  14. "ร็อดเจอร์สกับสเตอร์ริดจ์ควงคู่คว้ายอดเยี่ยมประจำเดือนสิงหาคม". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-04-13.
  15. "Liverpool 1–0 Man Utd" BBC Sport. 1 September 2013. Retrieved 1 September 2013.
  16. "สเตอร์ริดจ์ฉลองวันเกิดด้วยการล้มแมนฯ ยูไนเต็ด". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-02-24.
  17. "ภาพการแข่งขันลิเวอร์พูลเยือนซันเดอร์แลนด์". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-10-02. สืบค้นเมื่อ 2015-06-01.
  18. ซัวเรซ และสเตอร์ริดจ์ ควงคู่คว้าชัยเหนือซันเดอร์แลนด์[ลิงก์เสีย]
  19. คิงเคนนีชมเกมนัดลิเวอร์พูลยึดจ่าฝูง[ลิงก์เสีย]
  20. "เจอร์ราร์ด และสเตอร์ริดจ์ ช่วยให้ลิเวอร์พูลเก็บหนึ่งแต้ม". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-06-02.
  21. "Liverpool 4–1 West Bromwich Albion" BBC Sport. 26 October 2013. Retrieved 26 October 2013.
  22. "ซัวเรซกดแฮตทริกในชัยชนะเหนือเวสต์บรอมฯ". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-05-30.
  23. สเตอร์ริดจ์ยิงท้ายเกมช่วยแบ่งแต้มในเกมดาร์บี[ลิงก์เสีย]
  24. "ภาพการแข่งขันลิเวอร์พูลพบสโต๊ก ซิตี้". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-01-16. สืบค้นเมื่อ 2015-02-24.
  25. "ปฏิบัติการ SAS ช่วยเก็บชัยชนะถึงถิ่นสโต๊ก". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-01-15. สืบค้นเมื่อ 2015-02-24.
  26. "กัปตันยิงจุดโทษช่วยลิเวอร์พูลเสมอวิลลา". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-06-17.
  27. "โมเซสและสเตอร์ริดจ์ยิงบอร์นมัธร่วงเอฟเอ คัพ". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-06-11.
  28. "ภาพการแข่งขันลิเวอร์พูลพบเอฟเวอร์ตัน". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-02-24.
  29. "ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะเอฟเวอร์ตันสุดประทับใจ 4-0". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-03-03. สืบค้นเมื่อ 2015-02-24.
  30. "ลิเวอร์พูลบุกไปยันเสมอเวสต์บรอม". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-06-16.
  31. "ภาพการแข่งขันลิเวอร์พูลพบอาร์เซนอล". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-03-02. สืบค้นเมื่อ 2015-02-24.
  32. "ลิเวอร์พูลเปิดแอนฟิลด์ถล่มอาร์เซนอล 5-1". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-03-02. สืบค้นเมื่อ 2015-02-24.
  33. "เจอร์ราร์ดยิงจุดโทษเฉือนฟูแล่ม 3-2". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-06-15.
  34. "Liverpool 4–3 Swansea" BBC Sport. 23 February 2014. Retrieved 23 February 2014.
  35. "สเตอร์ริดจ์ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนของพรีเมียร์ลีก". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-03-19. สืบค้นเมื่อ 2015-04-13.
  36. "ภาพการแข่งขันลิเวอร์พูลเยือนคาร์ดิฟฟ์". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-03-26. สืบค้นเมื่อ 2015-04-14.
  37. "แฮตทริกของซัวเรซช่วยให้ลิเวอร์พูลบุกชนะคาร์ดิฟฟ์ 6-3". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-03-26. สืบค้นเมื่อ 2015-04-14.
  38. ลิเวอร์พูลสู้เพื่อกลับขึ้นสู่อันดับที่ 2[ลิงก์เสีย]
  39. "ลิเวอร์พูลต่อสู้กลับมาเป็นผู้ชนะและคว้าตำแหน่งรองแชมป์". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2014-11-15.
  40. "5 สถิติอันน่าทึ่งของแดเนียล สเตอร์ริดจ์". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-07-04. สืบค้นเมื่อ 2014-05-28.
  41. "45 สถิติจากฤดูกาลที่น่าจดจำ". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2014-07-07.
  42. "ลูกยิงของสเตอร์ริดจ์ช่วยให้ลิเวอร์พูลเฉือนชนะทีมนักบุญ". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2014-08-23.
  43. "แดเนียล สเตอร์ริดจ์ เซ็นสัญญาระยะยาวกับสโมสรลิเวอร์พูล". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2014-10-04.
  44. สเตอร์ริดจ์ยิงในเกมที่หงส์แดงเอาชนะขุนค้อน[ลิงก์เสีย]
  45. ประตูชัยของลัลลานา ส่งลิเวอร์พูลผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ เอฟเอ คัพ[ลิงก์เสีย]
  46. "ประตูของเฮนเดอร์สัน และสเตอร์ริดจ์ ช่วยลิเวอร์พูลเก็บชัยเหนือเบิร์นลีย์". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-03-08.
  47. สเตอร์ริดจ์ยิงเบิ้ลให้ลิเวอร์พูลเอาชนะวิลลา[ลิงก์เสีย]
  48. "5 ข้อเท็จจริงจากเกมลิเวอร์พูลชนะแอสตันวิลลา 3-2". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-10-31. สืบค้นเมื่อ 2015-11-03.
  49. โอริกีกดแฮตทริก ในเกมหงส์แดงถล่มนักบุญ 6 ประตู[ลิงก์เสีย]
  50. "ลิเวอร์พูลบุกถล่มวิลลา 6-0". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-16. สืบค้นเมื่อ 2016-02-17.
  51. "5 ข้อเท็จจริงที่ได้จากเกมลิเวอร์พูลถล่มแอสตันวิลลา 6-0". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-18. สืบค้นเมื่อ 2016-02-17.
  52. "หงส์แดงฟอร์มเยี่ยม ยิงตุน 2 ประตูในเกมยูโรปา ลีก นัดแรกกับแมนฯ ยูไนเต็ด". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-13. สืบค้นเมื่อ 2016-03-13.
  53. นักบุญพลิกกลับมาชนะหงส์แดง 3-2[ลิงก์เสีย]
  54. "โอริกีเหมาสองประตู ในเกมชนะสโต๊ก 4-1". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-04-14. สืบค้นเมื่อ 2016-04-13.
  55. "สเตอร์ริดจ์ และเฟอร์มิโน่ ทำประตูให้ลิเวอร์พูลบุกชนะบอร์นมัธ". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-04-20. สืบค้นเมื่อ 2016-04-20.
  56. "ชัยชนะอันถล่มทลายของลิเวอร์พูลในเกมเมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-04-24. สืบค้นเมื่อ 2016-04-23.
  57. "ชมไฮไลต์ 50 ประตูของ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ กับลิเวอร์พูล". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-04-25. สืบค้นเมื่อ 2016-04-23.
  58. ลิเวอร์พูลถูกนิวคาสเซิลตามตีเสมอที่แอนฟิลด์[ลิงก์เสีย]
  59. "พลังของแอนฟิลด์ช่วยให้ลิเวอร์พูลผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศยูโรปา ลีก". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-05-09. สืบค้นเมื่อ 2016-05-08.
  60. ลิเวอร์พูลอกหักพ่ายเซบิยาในนัดชิงยูโรปา ลีก[ลิงก์เสีย]
  61. "ลิเวอร์พูลยิง 5 ประตู พร้อมผ่านเข้ารอบต่อไปในถ้วยลีกคัพ". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-08-28. สืบค้นเมื่อ 2016-08-25.
  62. "สเตอร์ริดจ์เหมาสองให้ลิเวอร์พูลตีตั๋วเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย อีเอฟแอล คัพ". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-10-27. สืบค้นเมื่อ 2016-10-27.
  63. ลิเวอร์พูลกลับมาถล่มสโต๊ก 4-1 ที่แอนฟิลด์[ลิงก์เสีย]
  64. "ลิเวอร์พูลเก็บได้เพียงแต้มเดียว หลังถูกซันเดอร์แลนด์ตามตีเสมอ". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-04-30. สืบค้นเมื่อ 2017-01-04.
  65. "ลิเวอร์พูลบุกทุบเวสต์แฮมพร้อมเก็บคลีนชีต". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-05-17. สืบค้นเมื่อ 2017-05-16.
  66. "ลิเวอร์พูลถล่มอาร์เซนอลขาดลอยที่แอนฟิลด์". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-08-30. สืบค้นเมื่อ 2017-08-28.
  67. ลิเวอร์พูลถล่มฮัดเดอร์สฟิลด์ที่แอนฟิลด์[ลิงก์เสีย]
  68. ลิเวอร์พูลเก็บชัยพร้อมรั้งจ่าฝูงกลุ่ม อี แชมเปียนส์ลีก[ลิงก์เสีย]
  69. Match Report: หงส์แดงถล่มขุนค้อน 4-0 คว้าสามแต้มแรกของฤดูกาล 2018-19
  70. Match Report: เฟอร์มิโน่ซัดช่วงทดเวลาให้ลิเวอร์พูลพลิกชนะในแชมเปียนส์ลีก!!!
  71. Match Report: ลิเวอร์พูลพ่ายเชลซี ตกรอบคาราบาว คัพ
  72. Match Report: สเตอร์ริดจ์ช่วยลิเวอร์พูลตีเสมอเชลซี 1-1
  73. สเตอร์ริดจ์คว้ารางวัลประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนของพรีเมียร์ลีก
  74. Match Report: ลิเวอร์พูลคว้าถ้วยแชมเปียนส์ลีกหลังชนะสเปอร์ส 2-0
  75. ข้อมูลของ Daniel Sturridge ที่ ซ็อกเกอร์เวย์
  76. "Games played by Daniel Sturridge in 2006/2007". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 7 April 2016.
  77. "Games played by Daniel Sturridge in 2007/2008". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 7 April 2016.
  78. "Games played by Daniel Sturridge in 2008/2009". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 7 April 2016.
  79. "Games played by Daniel Sturridge in 2009/2010". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 7 April 2016.
  80. 80.0 80.1 "Games played by Daniel Sturridge in 2010/2011". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 7 April 2016.
  81. "Games played by Daniel Sturridge in 2011/2012". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 7 April 2016.
  82. 82.0 82.1 "Games played by Daniel Sturridge in 2012/2013". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 7 April 2016.
  83. "Games played by Daniel Sturridge in 2013/2014". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 7 April 2016.
  84. "Games played by Daniel Sturridge in 2014/2015". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 7 April 2016.
  85. "Games played by Daniel Sturridge in 2015/2016". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 12 November 2016.
  86. "Games played by Daniel Sturridge in 2016/2017". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 20 July 2017.
  87. 87.0 87.1 "Games played by Daniel Sturridge in 2017/2018". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 4 October 2017. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "sb1718" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน
  88. แดเนียล สเตอร์ริดจ์ ที่ National-Football-Teams.com
  89. "Sturridge wins Premier League Goal of the Month". Liverpool FC. สืบค้นเมื่อ 2018-10-23.
  90. "ประกาศรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนของลิเวอร์พูล". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-09-19. สืบค้นเมื่อ 2015-03-13.
  91. สเตอร์ริดจ์คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ประจำเดือนกันยายน (วิดีโอ)
  92. "ลิเวอร์พูลประกาศประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนสิงหาคม". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-04-13.
  93. "ประกาศผลการโหวตประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนตุลาคม". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-03-13.
  94. ลูกยิงสุดสวยใส่เชลซีของสเตอร์ริดจ์ คว้าประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนของลิเวอร์พูล (วิดีโอ)

แหล่งข้อมูลอื่น แก้