เดอ ฮาวิลแลนด์ คอเม็ท

เดอ ฮาวิลแลนด์ คอเม็ท (อังกฤษ: de Havilland Comet) เป็นเครื่องบินเจ็ทโดยสารรุ่นแรกของโลก ผลิตและพัฒนาโดยบริษัท เดอ ฮาวิลแลนด์ จำกัด ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ที่สหราชอาณาจักร ขึ้นบินครั้งแรกใน พ.ศ. 2492 เป็นสัญลักษณ์ของความก้าวหน้าทางการบินของสหราชอาณาจักร

เดอ ฮาวิลแลนด์ คอเม็ท

เครื่องบินเจ็ท สามารถบินได้สูงกว่า 10 กิโลเมตร และบินได้เร็วเกือบ 1000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ต่างจากเครื่องบินใบพัดรุ่นแรกหรือเรือเหาะที่ไม่สามารถบินสูงและเร็วได้เท่านั้น จึงเป็นการเปิดศักราชใหม่ของเครื่องบินที่รวดเร็ว ข้ามน้ำข้ามทะเลได้ในไม่กี่ชั่วโมง จึงได้รับความนิยมสูง มีการนำไปใช้ในหลายวงการ ในหลายประเทศ

แต่ทว่า หลังจากนั้นก็ได้มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับคอเม็ท คือ การระเบิดกลางอากาศ ซึ่งภายหลังได้มีการตรวจพบว่า มีสาเหตุมาจากการออกแบบที่ไม่สามารถทนต่อแรงดันอากาศได้มากพอ คอเม็ทจึงเริ่มถูกปลดออก

เครื่องบินรุ่นคอเม็ท ขึ้นบินครั้งแรกในวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2492 เมื่อทดสอบแล้วว่าบินได้จริง ก็ถูกสั่งซื้อจากสายการบินจำนวนมาก เช่น จาก British Overseas Airways Corporation หรือ BOAC และเปิดบริการแก่ประชาชนจริงใน พ.ศ. 2495

อุบัติเหตุ แก้

ในช่วงแรก มันได้รับความนิยมสูงมาก แต่ต่อมา ในวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2497 เครื่องบินคอเม็ทของสายการบิน BOAC เที่ยวบินที่ 781 ระเบิดกลางอากาศ มีผู้เสียชีวิต 35 คน และในวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2497 คอเม็ทอีกลำของสายการบิน South African Airways เที่ยวบินที่ 201 ระเบิดกลางอากาศอีกครั้ง มีผู้เสียชีวิต 21 คน จากการตรวจสอบพบว่า เครื่องคอเม็ทไม่ได้ระเบิดเพราะเครื่องยนต์ แต่เป็นการแตกเป็นเสี่ยงๆ บนอากาศ

จากการสืบหาสาเหตุ พบว่า เกิดจาก ความแตกต่างของความดันอากาศภายในกับภายนอกเครื่องบิน (การบินที่ระดับความสูงกว่า 10 กิโลเมตร ซึ่งมีความดันอากาศต่ำกว่าความดันที่มนุษย์จะอาศัยอยู่ได้ จึงต้องมีการปรับความดันอากาศภายในเครื่องบินให้เพียงพอ จึงเกิดเป็นความแตกต่างระหว่างภายในและภายนอก) ซึ่งความแตกต่างของความดันอากาศ จะคอยดันตัวเองออกนอกตัวเครื่อง ซึ่งจะทำให้เครื่องบินทุกเที่ยวบินมีการขยายตัวเล็กน้อยขณะบิน และหดตัวกลับเมื่อใกล้พื้น การขยายและหดตัวหลายๆ ครั้ง ทำให้เหล็กเสื่อมสภาพ และแตกออกจากกันเมื่ออยู่กลางอากาศ

จากอุบติเหตุดังกล่าว ทำให้เครื่องบินเจ็ทในรุ่นต่อๆ มา มีการเปลี่ยนโครงสร้างไป มีการตอกหมุดเป็นตารางรอบตัวเครื่องยึดไว้กับโครงเหล็ก เพื่อให้เหล็กไม่มีการขยายตัวหรือหดตัวมาก และหากเกิดการฉีกขาดก็จะฉีกเฉพาะในช่องนั้นๆ ไม่แตกทั้งตัวเครื่อง

รุ่นของคอเม็ท แก้

คอเม็ท แบ่งออกเป็น 4 รุ่น ดังนี้

คอเม็ท 1 แก้

 
เดอ ฮาวิลแลนด์ คอเม็ท 1

รุ่นแรกของคอเม็ท มีหน้าต่างเป็นรูปสี่เหลี่ยม ซึ่งอุบัติเหตุสะเทือนขวัญทั้ง 2 ครั้ง เกิดกับคอเม็ทรุ่นแรกนี้เอง ต่อมาภายหลังพบว่าหน้าต่างทรงเหลี่ยมเป็นจุดอ่อนที่ทำให้คอเม็ทแตกออกกลางอากาศ เพราะแรงกดอากาศจะดันบริเวณขอบเหลี่ยมมากกว่า ภายหลังจึงได้มีการออกรุ่น 1A โดยมีการแก้ไขหน้าต่างเป็นทรงรี ช่วยกระจายแรงเครียดที่เกิดกับเหล็ก

คอเม็ท 2 แก้

 
เดอ ฮาวิลแลนด์ คอเม็ท 2

รุ่นที่2 มีปีกที่ใหญ่ขึ้น ใช้เครื่องยนต์ที่ทรงพลังขึ้น เปิดใช้ครั้งแรกโดยสายการบิน BOAC โดยคอเม็ทรุ่น 2 มักถูกใช้ในเส้นทางแอตแลนติกตอนใต้ เริ่มให้บริการครั้งแรกใน พ.ศ. 2496 ซึ่งก็มีประวัติค่อนข้างดี

คอเม็ท 3 แก้

 
เดอ ฮาวิลแลนด์ คอเม็ท 3

รุ่นที่ 3 ได้รับการพัฒนาขึ้นในด้านความจุเชื้อเพลิงและพิสัยการบิน ออกให้บริการครั้งแรกใน พ.ศ. 2497 ซึ่งเป็นปีเดียวกับอุบัติเหตุ BOAC 781 และ South African Airways 201 เกิดขึ้น ทำให้มีการยกเลิกการสั่งซื้อคอเม็ท จนเหลือเพียง 2 ลำที่ผลิตขึ้นได้

คอเม็ท 4 แก้

 
เดอ ฮาวิลแลนด์ คอเม็ท 4

รุ่นที่ 4 ออกให้บริการครั้งแรกใน พ.ศ. 2501 นับว่าพัฒนามาไกลมากจากรุ่นที่ 1 เทียบขนาดกันแล้ว ลำตัวเครื่องของรุ่นที่ 4 ยาวกว่ารุ่นแรกถึง 5.64 เมตร และบรรทุกผู้โดยสารได้มากที่สุดถึง 81 คน เมื่อเทียบกับรุ่นที่ 1 ซึ่งบรรทุกได้ไม่เกิน 44 คน นอกจากนี้ ยังมีพิสัยการบินที่ไกลขึ้น ความเร็วสูงขึ้น บรรทุกได้หนักขึ้น ระบบความปลอดภัยที่ดีขึ้นมาก และทางบริษัทฯ ก็มีแผนที่จะผลิตคอเม็ทรุ่นที่ 5 ต่อไป

กระนั้น ก็ไม่สามารถลบภาพพจน์สยองของอุบัติเหตุที่เกิดกับคอเม็ท 1 ในสายตาสังคมได้ ชื่อเสียงของคอเม็ทตกต่ำลงตามลำดับ ยอดการสั่งซื้อลดลง โปรเจกต์คอเม็ทรุ่นที่ 5 ถูกยกเลิก แล้วก็ไม่มีการผลิตเครื่องบินในชื่อ "คอเม็ท" อีกเลย คอเม็ท 4 กลายเป็นรุ่นสุดท้ายของคอเม็ท แต่ต้นแบบของคอเม็ทได้ถูกพัฒนาเป็นเครื่องบินในชื่อใหม่ "Hawker Siddeley Nimrod"