นาฏราช (สันสกฤต: नटराज, อักษรโรมัน: Naṭarāja) มีอีกชื่อว่า อาฏลฺวลฺลาน (ทมิฬ: ஆடல்வல்லான், อักษรโรมัน: Ādalvallāṉ)[2] เป็นรูปปั้นพระศิวะในฐานะเทพนักระบำแห่งจักรวาล การระบำของพระองค์มีชื่อเรียกว่า ตาณฑวะ[3][4] มีการบรรยายถึงท่าระบำและศิลปะในเอกสารทางศาสนาฮินดูหลายแห่ง เช่น Tevaram, Thiruvasagam ในภาษาทมิฬ และ Anshumadbhed agama กับ Uttarakamika agama ในภาษาสันสกฤตและครันถะ ระบำมูรติปรากฏในโบสถ์พราหมณ์หลักในลัทธิไศวะทั้งหมด[5] และเป็นสัญลักษณ์ทางประติมากรรมที่รู้จักกันดีในอินเดีย และนิยมใช้เป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมอินเดีย[6][7] โดยถือเป็นหนึ่งในภาพที่สวยงามที่สุดในศิลปะฮินดู[8][9]

ศิวนาฏราช
เทพแห่งการระบำ
รูปปั้นสัมฤทธิ์ของพระศิวะ เทพแห่งการระบำ สมัยราชวงศ์โจฬะในคริสต์ศตวรรษที่ 10 ปัจจุบันจัดแสดงที่Los Angeles County Museum of Art
ชื่ออื่นAdalvallaan, Koothan, Sabesan, Ambalavanan [1]
ส่วนเกี่ยวข้องพระศิวะ
สัญลักษณ์อัคนี
คัมภีร์Anshumadbhed agama
Uttarakamika agama

รูปประติมากรรมนี้ให้พระศิวะเป็นเทพแห่งการเต้นระบำและนาฏศิลป์[10] นอกจากนี้ยังมีภาพนูนของนาฏราชในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายแห่ง เช่น นครวัด และในเกาะบาหลี ประเทศกัมพูชา และเอเชียกลาง[10][11][12]

ศิวนาฏราชในศิลปะอินเดีย แก้

นาฏราช หรือพระศิวะในฐานะของบรมครูองค์แรกแห่งการร่ายรำ พระหัตถ์ขวาด้านบน ทรงถือกลองรูปร่างคล้ายๆ นาฬิกาทราย (เอวคอด) กลองเล็ก ๆ ใบนี้ให้จังหวะประกอบการฟ้อนรำของพระศิวะ และที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ เสียงกลองเป็นสัญลักษณ์แทนธาตุแรกที่ถือกำเนิดขึ้นในจักรวาล นั่นคือ กลองเป็นสัญลักษณ์แห่งการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ทั้งมวล

พระหัตถ์ซ้ายด้านบน ถืออัคนี อันเป็นสัญลักษณ์แห่งการทำลายล้าง โดยคำว่า ทำลายล้าง ในที่นี้ หมายถึง ล้างความชั่ว ล้างอวิชชา ให้หมดไป เพื่อเปิดทางการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ขึ้นมาใหม่ พระกรและพระหัตถ์คู่ซ้าย-ขวา ซึ่งแทนการสร้างสรรค์และการทำลายล้างนี้ กางออกไปในระดับเสมอกัน อันบ่งบอกถึงความหมายที่ว่า "มีเกิด ก็ย่อมมีดับ" นั่นเอง

พระหัตถ์ขวาด้านล่างแบออก เรียกว่า ปางอภัยมุทรา (abhaya pose) ซึ่งมีความหมายว่า "จงอย่าได้กลัวเลย" (do not fear) เพราะไม่มีภัยใด ๆ จะมากล้ำกลาย ท่านี้บ่งว่าพระศิวะเป็นผู้ปกป้องอีกด้วย

ส่วนพระกรซ้ายด้านล่างพาดขวางลำตัวระดับอก ในลักษณะคล้ายๆ งวงช้าง ซึ่งบางคนตีความว่า เป็นงวงของพระคเณศ เทพเจ้าแห่งความสำเร็จ และเป็นบุตรของพระศิวะอีกต่างหาก ปลายนิ้วของพระกรที่เป็นงวงช้างนี้ชี้ไปที่พระบาทซ้ายที่ยกขึ้น มาจากพื้น ก็ตีความกันว่า พระบาทที่ยกขึ้นมานี้บ่งบอกถึงการหลุดพ้นจากวัฏสงสาร

ส่วนพระบาทขวานั้นเหยียบอยู่บนอสูรมูลาคนี ซึ่งเป็นตัวแทนของอวิชชา เมื่ออวิชชาถูก 'เหยียบ' ไม่ให้โผล่ขึ้นมาบดบังความจริง ความรู้แจ้ง (วิชชา) ก็จะปรากฏขึ้นนั่นเอง

วงกลม ๆ ที่ล้อมพระศิวะอยู่ก็คือ ขอบเขตแห่งการร่ายรำ อันเป็นตัวแทนของจักรวาลทั้งมวล โดยมีขอบด้านนอกเป็นเปลวไฟ และมีขอบด้านในเป็นน้ำในมหาสมุทร พระศิวะในปางนาฏราชนี้ยังแสดงคู่ตรงกันข้ามกันเช่น กลอง = สร้าง vs ไฟ = ทำลาย แม้พระศิวะจะร่ายรำ ขยับมือ ขยับเท้าและแขนขาอย่างต่อเนื่อง แต่พระพักตร์กลับสงบนิ่งเฉย เหมือนไร้ความรู้สึก ซึ่งเป็นเสมือนการสอนว่า การเกิด-ดับของสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่โดยตลอด พระเกศาของพระศิวะยาวสยาย ปลิวสะบัดยื่นออกไปทั้งซ้ายขวา เป็นสัญลักษณ์แทนผู้ละทิ้งชีวิตทางโลก แต่ก็มีพระแม่คงคาและพระจันทร์เสี้ยวอันเป็นสัญญลักษณ์แห่งเทพสตรีประดับอยู่ด้วย

ศิวนาฏราชในศิลปขอม แก้

ปราสาทหินในศิลปขอม ทับหน้าของปรางค์ประธานจะแกะสลักเป็นรูปพระศิวนาฏราช หรือ พระอิศวรทรงฟ้อนรำ ซึ่งจัดเป็นประติมากรรมที่สำคัญที่สุดในศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกาย ในศิลปขอมนั้นภาพพระศิวนาฏราชจะเป็นภาพสลักนูนต่ำทั้งสิ้น ไม่เป็นประติมากรรมชนิดลอยตัว ส่วนทับหลังของปราสาทจะเป็นรูปพระนารายณ์บรรทมสินธิ์

ศิวนาฏราชกับศิลปการแสดง แก้

นาฏศิลป์ แก้

ภาพการร่ายรำของพระศิวะนับว่ามีบทบาทสำคัญในคติความเชื่อของผู้ที่นับถือศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย ตามตำนานระบุว่าการร่ายรำของพระศิวะเป็นที่เลื่องลือและยกย่องของเหล่าเทพทั้งมวลถึงความสวยงามและน่ายำเกรงในที ในจังหวะลีลาอันเป็นสัญลักษณ์แห่งการเนรมิตสร้างสรรค์

การร่ายรำนี้ภายหลังพระภรตมุนีได้ทราบ จึงขอร้องให้พระคเณศไปกราบบังคมทูลให้พระศิวะซึ่งเป็นพระราชบิดาร่ายรำอีกครั้งเพื่อจะได้จารึกท่าการร่ายรำนี้เป็นบทนาฏยศาสตร์สืบไป พระศิวะท่านจึงได้ร่ายรำให้ชมอีกและได้เรียกเหล่าเทพเทวดาทั้งปวงมาชมพระองค์ร่ายรำอีกครั้ง

บางตำนานกล่าวว่าพญาอนันตนาคราชได้ชมการร่ายรำนี้เมื่อองค์พระอิศวรท่านร่ายรำหลังจากปราบฤๅษีผู้ฝ่าฝืนเทวบัญญ้ติ และปรารถนาจะได้ชมอีก องค์พระนารายณ์ได้ประทานคำแนะนำให้ไปบำเพ็ญตบะที่เชิงเขาไกรลาสเพื่อบูชาองค์พระศิวะ ด้วยอำนาจแห่งการบูชานี้ องค์พระศิวะจึงโปรดประทานพรให้ และถามในสิ่งที่พญาอนันตนาคราชปรารถนา พญานาคราชจึงกราบทูลว่าอยากจะได้เห็นองค์พระศิวะร่ายรำอีกสักครั้ง พระศิวะก็โปรดประทานดังปรารถนา และได้เสด็จลงมาร่ายรำยังมนุษยโลก ซึ่งเชื่อกันว่าสถานที่นั้นคือ วิหาร จิทัมพรัม ในรัฐทมิฬนาฑู ประเทศอินเดีย

ท่าฟ้อนรำทั้ง 108 ท่าขององค์พระศิวะนี้เป็นท่าพื้นฐานสำหรับวิชานาฏยศาสตร์ อันเป็นท่ารำต้นแบบของชาวอินเดีย และแพร่หลายมาถึงเขมร และไทย ผู้รับอิทธิพลด้านวัฒนธรรมของอินเดียสืบต่อมา ผู้ที่นับถือศาสนาฮินดูนั้นเชื่อว่าจังหวะการร่ายรำของพระศิวะอาจบันดาลให้เกิดผลดีและผลร้ายแก่โลกได้ ฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องอ้อนวอนให้พระองค์ฟ้อนรำในจังหวะที่พอดี โลกจึงจะร่มเย็นเป็นสุข หากพระองค์โกรธกริ้วด้วยการร่ายรำในจังหวะที่รุนแรงแล้วก็ย่อมจะนำมาซึ่งภัยพิบัติแก่โลกนานัปการ

ดุริยางคศิลป์ แก้

กลองในพระหัตถ์ของพระศิวะในปางศิวะนาฏราชนี้ เป็นกลองสองหน้า เอวตรงกลางคอด มีลูกตุ้มยึดกับสายสำหรับใช้กระทบหน้ากลองทั้ง 2 ข้าง กลองนี้เรียกว่ากลอง ทมรุ ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีเพียงชิ้นเดียวที่องค์พระศิวะท่านเลือกใช้ประกอบการร่ายรำอันยิ่งใหญ่นี้ ผู้ประกอบพิธีในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ได้นำเอากลองนี้มาใช้ในการประกอบพิธีมงคล และพัฒนามาเป็นเครื่องดนตรีที่เรียกว่า "บัณเฑาะว์" ในปัจจุบัน คำว่าบัณเฑาะว์มาจากคำบาลีว่า "ปณวะ" หรือ "ตาณฑวะ" ในภาษาสันสกฤต

อ้างอิง แก้

  1. "கூத்தன் சபேசன் அம்பலவாணன் நடராஜன்Sagarva Bharath Foundation". 20 July 2020.
  2. Rajarajan, R. K. K. (January 2018). "If this is Citambaram-Nataraja, then where is Tillai-Kūttaṉ? An Introspective Reading of Tēvāram Hymns". In Pedarapu Chenna Reddy, ed. History, Culture and Archaeological Studies Recent Trends, Commemoration Volume to Prof. M.L.K. Murthy, Vol. II, Delhi: B.R. Publishing Corporation, Pp. 613-634, PLS. 54.1-6. (ภาษาอังกฤษ).
  3. Archana Verma (2011). Performance and Culture: Narrative, Image and Enactment in India. Cambridge Scholars Publishing. pp. 19–26. ISBN 978-1-4438-2832-1.
  4. Encyclopædia Britannica (2015)
  5. T. A. Gopinatha Rao (1997). Elements of Hindu Iconography. Motilal Banarsidass. pp. 223–224. ISBN 978-81-208-0877-5.
  6. Gomathi Narayanan (1986), SHIVA NATARAJA AS A SYMBOL OF PARADOX, Journal of South Asian Literature, Vol. 21, No. 2, pages 208-216
  7. Anna Libera Dallapiccola (2007). Indian Art in Detail. Harvard University Press. p. 28. ISBN 978-0-674-02691-9.
  8. David Smith (2003). The Dance of Siva: Religion, Art and Poetry in South India. Cambridge University Press. pp. 1–2. ISBN 978-0-521-52865-8.
  9. Frank Burch Brown (2014). The Oxford Handbook of Religion and Arts. Oxford University Press. pp. 489–490. ISBN 978-0-19-517667-4.
  10. 10.0 10.1 Saroj Panthey (1987). Iconography of Śiva in Pahāṛī Paintings. Mittal Publications. pp. 59–60, 88. ISBN 978-81-7099-016-1.
  11. Banerjee, P. (1969). "A Siva Icon from Piandjikent". Artibus Asiae. 31 (1): 73–80. doi:10.2307/3249451. JSTOR 3249451.
  12. Mahadev Chakravarti (1986). The Concept of Rudra-Śiva Through the Ages. Motilal Banarsidass. p. 178 with footnotes. ISBN 978-81-208-0053-3.

แหล่งข้อมูลอื่น แก้