ศาลเจ้ายาซูกูนิ

ศาลเจ้าชินโตในโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
(เปลี่ยนทางจาก ศาลเจ้ายะซุกุนิ)

ศาลเจ้ายาซูกูนิ (ญี่ปุ่น: やすくにじんじゃโรมาจิYasukuni JinJa) เป็นศาลเจ้าชินโตตั้งอยู่ที่เขตชิโยดะ กรุงโตเกียว สร้างขึ้นครั้งแรกในยุคเมจิ ปี พ.ศ. 2412 ตามความเชื่อของลัทธิชินโต มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นที่ระลึกถึงผู้เสียชีวิตในสงครามโบชิง ระหว่างกองกำลังฝ่ายรัฐบาลเอโดะกับฝ่ายราชสำนักเกียวโต หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยังถูกใช้เป็นที่สถิตของเหล่าดวงวิญญาณของทหารญี่ปุ่นที่สละชีพในสงคราม

ศาลเจ้ายาซูกูนิในปัจจุบัน
ในยุคแรกหรือโตเกียวโชกนชะ
รถจักรไอน้ำโมกุล C56 หมายเลข 725 (C56-31) (C5631)

ประวัติ แก้

ในยุคเมจิ เกิดสงครามกลางเมืองภายในประเทศญี่ปุ่น เรียกว่าสงครามโบชิง ซึ่งเป็นการสู้รบระหว่างฝ่ายรัฐบาลเอโดะและฝ่ายของผู้จงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิ สุดท้ายฝ่ายองค์จักรพรรดิเป็นผู้ชนะ สิ้นสุดยุคของโชกุนโทกูงาวะที่ปกครองญี่ปุ่นยาวนานกว่า 260 ปี มีผู้คนล้มตายจำนวนมาก องค์จักรพรรดิเมจิมีรับสั่งให้สร้างอนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์สงครามโบชิงและพระราชทานชื่อว่า โตเกียวโชกนชะ (ญี่ปุ่น: 東京招魂社โรมาจิTōkyō Shōkonsha) ต่อมา จักรพรรดิเมจิ ได้ทรงเปลี่ยนชื่อเป็นยาซูกูนิในปี พ.ศ. 2422 ซึ่งหมายถึง ประเทศที่สงบสุข

ตัวศาลในปัจจุบันสร้างขึ้นด้วยโครงสร้างเหล็กน้ำหนักรวมกว่า 100 ตัน หรือประมาณ 100,000 กิโลกรัม นับเป็นศาลเจ้าตามลัทธิชินโตที่ใหญ่ที่สุดของกรุงโตเกียว

ความเชื่อ แก้

ศาลเจ้ายาซูกูนิ นับเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อตามลัทธิชินโต ซึ่งเป็นเสมือนศาสนาพื้นเมืองของญี่ปุ่น มีอิทธิพลต่อแนวความคิดทางการเมืองและทางทหารของญี่ปุ่นเป็นอย่างสูง ในคัมภีร์ชินโตระบุว่าหมู่เกาะญี่ปุ่นได้ถูกสร้างขึ้นโดยเทพเจ้า พระจักรพรรดิองค์แรกของญี่ปุ่นสืบเชื้อสายมาจากเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ และชาวญี่ปุ่นก็ล้วนได้รับการคัดเลือกจากเทพเจ้า ประเทศญี่ปุ่นจึงเป็นเสมือนดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้า

ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ญี่ปุ่นได้พัฒนาประเทศให้เจริญเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ได้มีการแบ่งลัทธิชินโตออกเป็น 2 ส่วน คือ

  1. ชินโตแบบรัฐ (State Shinto) ซึ่งเป็นพิธีการแสดงถึงความรักชาติ ชาวญี่ปุ่นทุกคนไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด ต้องเข้าร่วมชินโตแห่งรัฐด้วย ศาลเจ้ายะซุกุนิ ได้ถูกจัดให้อยู่ในชินโตแห่งรัฐ
  2. ชินโตแบบนิกาย (Sectarian Shinto) ซึ่งถือเป็นศาสนาหนึ่งที่มีการบูชาเทพเจ้าประจำธรรมชาติ

ภายหลังจากที่ญี่ปุ่นได้ชัยชนะทางการทหารในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง มีการเผยแพร่ลัทธิความรักชาติครั้งใหญ่ และขยายแนวความคิดไปสู่การครอบครองโลก มีการนำเอาความเชื่อในชินโตแห่งรัฐมาเป็นอุดมการณ์สร้างลัทธิทางการทหารขึ้นในประเทศ ดังข้อความตอนหนึ่งว่า พระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นจะได้ทรงปกครองโลกทั้งฝ่ายอาณาจักรและศาสนจักร การครอบครองโลกนี้จะกระทำด้วยสันติวิธี แต่ถ้าวิธีดังกล่าวไร้ผล ก็มีเหตุผลทีเดียวที่จะกระทำด้วยการใช้กำลังอาวุธ[1]

ญี่ปุ่นแผ่ขยายอำนาจทางการทหารในประเทศแถบเอเชียกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งในที่สุดญี่ปุ่นประสบกับความพ่ายแพ้สงครามในปี พ.ศ. 2488 ความเชื่อตามลัทธิชินโตถูกล้มล้างอย่างสิ้นเชิงโดยฝ่ายสัมพันธมิตร องค์จักรพรรดิโชวะแห่งญี่ปุ่นมีรับสั่งว่า สายใยแห่งความผูกพันระหว่างเรากับประชาชนของเรา มิอาจจะขึ้นอยู่กับเพียงตำนานและเทพนิยายเท่านั้น จะต้องไม่มีการกล่าวอ้างต่อไปอีกถึงแนวความเชื่อผิด ๆ ที่ว่าพระจักรพรรดิคือเทพเจ้า และชนชาติญี่ปุ่นสูงส่งกว่าชนชาติอื่นและถูกกำหนดมาให้ปกครองโลก พระจักรพรรดิมิใช่เทพเจ้า

เมื่อสหรัฐเข้ามามีบทบาทสำคัญในการจัดการภายในของประเทศญี่ปุ่น ได้กำหนดให้ทางการญี่ปุ่นเลือกว่าศาลเจ้าแห่งนี้เป็นของรัฐหรือจะให้เป็นอิสระจากรัฐ ซึ่งญี่ปุ่นเลือกที่จะให้เป็นอิสระจากรัฐบาล หลังจากนั้นศาลเจ้ายาซูกูนิถูกใช้เพื่อเป็นที่สถิตให้แก่เหล่าดวงวิญญาณของทหารญี่ปุ่นที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 2 กว่า 2,466,000 คนด้วย ภายในศาลมีป้ายชื่อทหารที่เสียชีวิตระหว่างสงคราม บางคนมีชื่อเป็นอาชญากรสงครามรวมอยู่ด้วยกว่า 12 คน รวมทั้งนายฮิเดกิ โทโจ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นผู้บัญชาการให้กองทัพญี่ปุ่นโจมตีอ่าวเพิร์ล ฮาร์เบอร์ ของสหรัฐอเมริกา ก็ได้รับการอัญเชิญดวงวิญญาณให้มาที่สถิตอยู่ในศาลเจ้าแห่งนี้ด้วยเช่นกัน[2]

ในเวลากว่า 100 ปี ตั้งแต่ยุคเมจิ ยุคไทโช ยุคโชวะ องค์จักรพรรดิญี่ปุ่นเสด็จเยือนศาลเจ้ายาซูกูนิ รวมทั้งสิ้น 77 ครั้ง ไม่รวมการเสด็จเยือนขององค์จักรพรรดินี มกุฎราชกุมาร ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ ต่างก็เสด็จเยือนศาลเจ้าแห่งนี้เช่นกัน นอกจากนี้เหล่าญาติของทหารที่เสียชีวิตในสงครามต่างก็มาเยือนศาลเจ้าแห่งนี้เป็นประจำ ซึ่งแต่ละปีจะมีการจัดสักการะปีละ 2 ครั้ง คือช่วงวันที่ 21 - 23 เมษายน และ 17 - 20 ตุลาคม ของทุกปี[1]

ความขัดแย้ง แก้

ศาลเจ้ายาซูกูนิเป็นสัญลักษณ์แห่งความโหดร้ายของสงครามในสายตาของชาวเอเชียตะวันออกอย่างจีนและเกาหลีใต้ เป็นประเด็นความขัดแย้งระหว่างประเทศมาโดยตลอด และตกเป็นข่าวดังภายหลังจากจุนอิจิโร โคอิซูมิ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นในขณะนั้นเดินทางไปสักการะศาลเจ้า ซึ่งถือเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกในรอบหลายปีของญี่ปุ่นที่เดินทางไปสักการะ แม้การกระทำดังกล่าวสร้างความไม่พอใจแก่ประเทศจีนและเกาหลีใต้เป็นอย่างมาก แต่จุนอิจิโรก็ยังคงปฏิบัติเช่นเดิมตลอดวาระของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกว่า 6 ปี มีเพียงปีเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้ไปเนื่องจากการประชุมเอเชีย-แอฟริกา[2] [3]

การท่องเที่ยว แก้

ในด้านการท่องเที่ยวศาลเจ้ายาซูกูนิ เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางเข้าชม และมีการจัดงานฉลองเกือบทั้งปี[4]

อ้างอิง แก้

  1. 1.0 1.1 ยะซุกุนิ
  2. 2.0 2.1 ศาลเจ้าต้องห้าม 'ยะซุกุนิ'[ลิงก์เสีย]
  3. "ยาสุกุนิ ศาลเจ้าประเด็นความขัดแย้ง". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-05-29. สืบค้นเมื่อ 2011-12-25.
  4. Festivals (Matsuri Rituals)

แหล่งข้อมูลอื่น แก้

35°41′39″N 139°44′35″E / 35.694167°N 139.743056°E / 35.694167; 139.743056