มัดจำ (อังกฤษ: earnest) คือ เงินหรือทรัพย์สินอย่างอื่นอันมีค่าในตัวซึ่งให้ไว้เพื่อเป็นพยานหลักฐานว่าได้มีการทำสัญญากันขึ้นแล้ว และเพื่อเป็นประกันการปฏิบัติตามสัญญานั้น[1]

ลักษณะ แก้

มัดจำนั้นเป็นเพียงหลักประกันในการปฏิบัติตามสัญญา ไม่ใช่การชำระหนี้ ซึ่งแม้มีการวางมัดจำไว้ สัญญาก็อาจยังไม่เกิดขึ้นก็ได้ เช่น คู่สัญญาตกลงจะทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือสัญญา ตราบใดที่ยังไม่มีการทำหนังสือสัญญา แม้มีการวางมัดจำกันแล้ว ตราบนั้นสัญญาก็ยังไม่เกิด อนึ่ง ข้อตกลงในเรื่องมัดจำนั้น กฎหมายไม่ได้กำหนดแบบไว้ และมัดจำเป็นเพียงเครื่องประกอบสัญญาเท่านั้น ไม่ใช่สาระสำคัญของสัญญา

แต่เงินที่ลูกหนี้ชำระหนี้ไว้ล่วงหน้าตามสัญญา หรือที่เรียกโดยภาษาปากว่า "เงินดาวน์" กับทั้งเงินที่ใช้ชำระหนี้ในการปฏิบัติตามข้อกำหนดในสัญญา ตลอดจนหลักประกัน และประกันที่เป็นหนี้อุปกรณ์ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ไม่นับเป็นมัดจำ

"เมื่อเข้าทำสัญญา ถ้าได้ให้สิ่งใดไว้เป็นมัดจำ ท่านให้ถือว่าการที่ให้มัดจำนั้นย่อมเป็นพยานหลักฐานว่าสัญญานั้นได้ทำกันขึ้นแล้ว อนึ่ง มัดจำนี้ย่อมเป็นประกันการที่จะปฏิบัติตามสัญญานั้นด้วย"
ป.พ.พ. ม.377

ฎ.747/2544 ว่า คำว่า "มัดจำ" ตาม ป.พ.พ. ม.377 มีความหมายว่า จะต้องเป็นทรัพย์สินซึ่งได้ให้ไว้แก่กันเมื่อเข้าทำสัญญา ซึ่งอาจจะเป็นเงินหรือสิ่งมีค่าอื่นซึ่งมีค่าในตัวเอง สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยระบุว่า ในวันทำสัญญานี้ผู้จะซื้อได้รับเงินจำนวนหนึ่งล้านเจ็ดแสนแปดหมื่นแปดพันบาทเพื่อเป็นการวางมัดจำไว้กับผู้จะขาย โดยเงินมัดจำดังกล่าวจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คลงวันที่ล่วงหน้าสามฉบับ และโจทก์นำมาฟ้องขอให้ลงโทษตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 เพียงหนึ่งฉบับ เมื่อเช็คเป็นตราสารซึ่งผู้สั่งจ่ายสั่งธนาคารให้ใช้เงินเมื่อทวงถามให้แก่ผู้รับเงิน จึงเป็นทรัพย์สินตาม ป.พ.พ. ม.138 และเป็นสิ่งที่มีค่าในตัวเอง เพราะสามารถเรียกเก็บเงินหรือโอนเปลี่ยนมือได้ จึงส่งมอบให้แก่กันเป็นมัดจำได้แม้เช็คลงวันที่หลังจากวันทำสัญญา เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจำเลยจึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว

ฎ.9514/2544 ว่า แม้โจทก์จะได้วางเงินจำนวนห้าหมื่นห้าพันบาทในวันทำสัญญาเพื่อจะซื้อจะขายอาคารพร้อมที่ดินก็ตาม แต่เงินจำนวนดังกล่าวนี้ก็มิได้หมายความว่าจะเป็นเงินมัดจำไปเสียทั้งหมด ต้องขึ้นอยู่กับเจตนาของคู่กรณีเป็นสำคัญ เมื่อเจตนาของโจทก์และจำเลยปรากฏชัดแจ้งอยู่ในสัญญาแล้วว่าให้ถือเป็นเงินดาวน์ จึงต้องถือว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของราคาที่ดินพร้อมทาวน์เฮ้าส์ ส่วนเงินดาวน์ที่โจทก์ผ่อนชำระไปแล้วอีกอีกงวดจำนวนแปดหมื่นเจ็ดพันบาทนั้น ยิ่งเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เงินมัดจำ เพราะเป็นเงินที่ผ่อนชำระกันหลังจากทำสัญญาจะซื้อจะขายอาคารพร้อมที่ดินแล้ว ดังนั้น เมื่อโจทก์ผิดสัญญาจำเลยจะริบเงินเหล่านี้โดยอ้างว่าเป็นเงินมัดจำที่อาจริบ ตามกฎหมายไม่ได้

ฎ.1336/2545 ว่า โจทก์ชำระเงินดาวน์จำนวนสามแสนบาท อันเป็นส่วนหนึ่งของเงินจำนวนหนึ่งล้านสองแสนบาท ให้แก่จำเลยในวันทำสัญญา โดยมิใช่เป็นการให้ไว้เพื่อเป็นประกันการปฏิบัติตามสัญญา จึงต้องถือเป็นส่วนหนึ่งของราคาที่โจทก์ชำระล่วงหน้า มิใช่มัดจำที่จำเลยจะริบได้

การปฏิบัติต่อมัดจำ แก้

"มัดจำนั้น ถ้า มิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น ท่านให้เป็นไปดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(1) ให้ส่งคืน หรือจัดเอาเป็นการใช้เงินบางส่วนในเมื่อชำระหนี้

(2) ให้ริบ ถ้าฝ่ายที่วางมัดจำละเลยไม่ชำระหนี้ หรือการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งฝ่ายนั้นต้องรับผิดชอบ หรือถ้ามีการเลิกสัญญาเพราะความผิดของฝ่ายนั้น

(3) ให้ส่งคืน ถ้าฝ่ายที่รับมัดจำละเลยไม่ชำระหนี้ หรือการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งฝ่ายนี้ต้องรับผิดชอบ"
ป.พ.พ. ม.378

มัดจำนั้นจะมีผลต่อเมื่อมีการมอบให้แก่กันแล้วในวันที่ทำสัญญากันเท่านั้น เช่น แม้ในสัญญาจะระบุว่า คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งมอบบ้านพร้อมที่ดินของตนให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นค่ามัดจำในการซื้อรถยนต์ แต่ในเมื่อยังไม่มีการส่งมอบบ้านพร้อมที่ดินให้กันจริง ๆ บ้านพร้อมที่ดินดังกล่าวจึงไม่ใช่มัดจำ แม้ฝ่ายแรกจะผิดสัญญา ฝ่ายหลังก็ไม่อาจริบบ้านพร้อมที่ดินนั้นไปได้เพราะไม่ใช่มัดจำดังที่กล่าว

ตามกฎหมายไทยแล้ว ป.พ.พ. ม.378 ว่า ถ้ามิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น มัดจำนั้นต้องจัดการดังต่อไปนี้ คือ

1. ให้ฝ่ายที่รับมัดจำส่งมัดจำคืนแก่ฝ่ายที่วางมัดจำ หรือให้หักบางส่วนออกเพื่อชำระหนี้ได้

2. ในกรณีที่ฝ่ายที่วางมัดจำละเลยไม่ชำระหนี้ หรือการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งฝ่ายนี้ต้องรับผิดชอบ หรือถ้ามีการเลิกสัญญาเพราะความผิดของฝ่ายนี้ ให้ฝ่ายที่รับมัดจำสามารถริบมัดจำทั้งหมดได้

3. ในกรณีที่ฝ่ายที่รับมัดจำละเลยไม่ชำระหนี้ หรือการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งฝ่ายนี้ต้องรับผิดชอบ ฝ่ายนี้ต้องคืนมัดจำทั้งหมดให้แก่ฝ่ายที่วางมัดจำ

สำหรับมัดจำที่เป็นเงินนั้น เมื่อคืนต้องคืนพร้อมดอกเบี้ยด้วย[2]

ฎ.1056/2541 ว่า แม้สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์และจำเลยจะระบุว่า โจทก์มอบบ้านและที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยเป็นค่ามัดจำในการซื้อบ้านและที่ดินของจำเลย แต่ในทางพฤตินัย เมื่อโจทก์ยังมิได้ส่งมอบบ้านดังกล่าวให้แก่จำเลย บ้านและที่ดินพิพาทจึงไม่ใช่มัดจำ ดังนี้ แม้โจทก์จะผิดสัญญาจำเลยก็ไม่อาจริบบ้านและที่ดินพิพาทได้

ฎ.7705/2544 ว่า โจทก์กับจำเลยทำสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาท จำเลยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามแผ่นปลิวโฆษณาเชิญชวนให้ซื้อรถยนต์ของจำเลยที่ระบุว่า "รับโทรศัพท์มือถือฟรีพร้อมประกันภัยชั้นหนึ่ง" ซึ่งข้อความตามแผ่นปลิวโฆษณาดังกล่าวถือว่าเป็นเงื่อนไขในข้อเสนอขายที่จำเลยกำหนดขึ้น จำเลยจึงต้องส่งมอบโทรศัพท์มือถือและทำสัญญาประกันภัยชั้นหนึ่งให้ ทั้งต้องดำเนินการเพื่อให้โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทด้วยตามเงื่อนไขในข้อเสนอขาย เมื่อจำเลยละเลยไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้อง ทั้งต่อมายังนำรถยนต์พิพาทกลับคืนไปไว้ในความครอบครองของตนเอง การกระทำของจำเลยจึงเป็นการผิดสัญญาต่อโจทก์ และต่อมาโจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญา และดำเนินการฟ้องคดี จึงถือได้ว่าสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทเลิกกันโดยปริยาย อันมีผลให้คู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิมตาม ป.พ.พ. ม.391 ว.1 และจำเลยต้องส่งคืนเงินมัดจำแก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. ม.378

เชิงอรรถ แก้

อ้างอิง แก้

  1. ราชบัณฑิตยสถาน, 2551 : ออนไลน์.
  2. สุชาติ รุ่งทรัพยธรรม, 2547 : 90.