พระเจ้าฟัยศ็อลที่ 2 แห่งอิรัก

พระเจ้าฟัยศ็อลที่ 2 แห่งอิรัก (อาหรับ: الملك فيصل الثان, Al-Malik Fayṣal Ath-thānī) พระนามเต็ม อัลมะลิก ฟัยศ็อล อัษษานี (2 พฤษภาคม พ.ศ. 2478 - 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2501) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์สุดท้ายแห่งราชอาณาจักรฮัชไมต์อิรัก ระหว่างปีพ.ศ. 2482 ถึงพ.ศ. 2501 เมื่อพระองค์ทรงถูกปลงพระชนม์พร้อมพระราชวงศ์อิรักในปฏิวัติ 14 กรกฎาคม การปลงพระชนม์หมู่พระเจ้าฟัยศ็อลและพระราชวงศ์ถือเป็นจุดสิ้นสุด 37 ปีแห่งระบอบกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮัชไมต์ในอิรัก ที่ซึ่งได้กลายมาเป็นสาธารณรัฐในปัจจุบัน

พระเจ้าฟัยศ็อลที่ 2 แห่งอิรัก

อัลมะลิก ฟัยศ็อล อัษษานี
(الملك فيصل الثاني‎)

พระเจ้าฟัยศ็อลที่ 2 แห่งอิรัก
เจ้าชายแห่งอิรัก
พระมหากษัตริย์แห่งอิรัก
ครองราชย์4 เมษายน พ.ศ. 2482 - 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2501
รัชสมัย19 ปี 101 วัน
ราชาภิเษก2 มิถุนายน พ.ศ. 2496
รัชกาลก่อนหน้าพระเจ้าฆอซีแห่งอิรัก
รัชกาลถัดไปไม่มี
ระบอบกษัตริย์ถูกล้มล้าง

มุฮัมมัด นะญีบ อัรรุบัยอี ดำรงเป็นประธานาธิบดี
ประสูติ2 พฤษภาคม พ.ศ. 2478
แบกแดด ประเทศอิรัก
สวรรคต14 กรกฎาคม พ.ศ. 2501
แบกแดด ประเทศอิรัก
(พระชนมายุ 23 พรรษา)
พระอัครมเหสีเจ้าหญิงซาบิฮา ฟาซิละ ฮานิม สุลต่าน
พระเจ้าฟัยศ็อลที่ 2 แห่งอิรัก
ราชวงศ์ฮัชไมต์ (ฮาชิม)
พระราชบิดาพระเจ้าฆอซีแห่งอิรัก
พระราชมารดาเจ้าหญิงอะลียะฮ์ บินต์ อะลีแห่งเฮแจซ

พระราชวงศ์และช่วงต้นพระชนม์ชีพ แก้

พระราชสมภพและช่วงต้นพระชนม์ชีพ แก้

 
พระเจ้าฟัยศ็อลที่ 2 แห่งอิรักขณะมีพระชนมายุ 5 พรรษา

เจ้าชายฟัยศ็อลเสด็จพระบรมราชสมภพวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2478 ณ แบกแดด ประเทศอิรัก เป็นพระราชโอรสเพียงพระองค์เดียวในพระเจ้าฆอซีแห่งอิรัก พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรฮัชไมต์อิรักพระองค์ที่สองกับ สมเด็จพระราชินีอะลียะฮ์แห่งอิรัก ซึ่งเป็นพระธิดาในพระเจ้าอะลีแห่งเฮแจซ แกรนด์ชะรีฟแห่งมักกะฮ์ ในวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2482 พระราชบิดาของเจ้าชายเสด็จสวรรคตหลังจากรถยนต์ปริศนาพุ่งชนรถพระที่นั่งขณะที่เจ้าชายมีพระชนมายุเพียง 3 ชันษา เจ้าชายฟัยศ็อลจึงครองราชสมบัติสืบต่อเป็น พระเจ้าฟัยศ็อลที่ 2 แห่งอิรัก บางคนเชื่อว่าพระเจ้าฆอซีทรงถูกลอบปลงพระชนม์ตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี นูรี อัสซะอีด ในพระราชพิธีฝังพระบรมศพ ฝูงชนได้ตะโกนร้องว่า

นูรี แกจะต้องชดใช้ด้วยพระโลหิตขององค์กษัตริย์ฆอซี

นูรีถูกสงสัยว่าเขาได้รับพระราชเสาวนีย์จากสมเด็จพระราชินีอะลียะฮ์ พระมเหสีของพระเจ้าฆอซีเองและเขาได้วางแผนกับเจ้าชายอับดัลอิละฮ์ พระอนุชาในพระราชินีเพื่อดำเนินการถอดถอนองค์กษัตริย์[1] เจ้าชายอับดัลอิละฮ์ ซึ่งเป็นพระราชมาตุลาของพระองค์ได้ดำรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จนกระทั่งพระเจ้าพระเจ้าฟัยศ็อลทรงบรรลุนิติภาวะในปีพ.ศ. 2496

พระเจ้าฟัยศ็อลที่ 2 ทรงกลายเป็นต้นแบบของตัวละครการ์ตูนของแอร์เชนักวาดการ์ตูนชาวเบลเยียม สำหรับตัวละครเจ้าชายอับดุลละฮ์แห่งคีเหม็ดในเรื่องการผจญภัยของตินติน[2] พระเจ้าฟัยศ็อลประชวรด้วยพระโรคหอบหืดมาตั้งแต่ประสูติ[3]

รัฐประหารพ.ศ. 2484 แก้

พระมหากษัตริย์มีพระชนม์ชีพช่วงวัยเยาว์เกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกันกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งอิรักได้เป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการกับจักรวรรดิอังกฤษและฝ่ายสัมพันธมิตร ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2484 พระมาตุลาของพระองค์ทรงถูกขับไล่ออกจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เพียงเวลาสั้นๆจากการที่กองทัพได้ก่อรัฐประหารที่ซึ่งต้องการให้อิรักเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ

 
พระเจ้าฟัยศ็อลที่ 2 แห่งอิรักทรงฉายพระรูปร่วมกับสมเด็จพระราชชนนีอะลียะฮ์และมกุฎราชกุมารอับดัลอิละฮ์ พระมาตุลาและผู้สำเร็จราชการ

การรัฐประหารนำโดยราชิด อะลี อัล-เกละนิโดยวางแผนจะลอบปลงพระชนม์ผู้สำเร็จราชการเพื่อยึดอำนาจในวันที่ 1 เมษายน แต่ในวันที่ 31 มีนาคม เจ้าชายอับดัลอิละฮ์ทรงทราบแผนการพระองค์จึงเสด็จลี้ภัยออกนอกประเทศ ราชิด อะลี อัล-เกละนิได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและดำเนินการกำจัดอิทธิพลของอังกฤษในอิรัก จากการรัฐประหารอิรัก พ.ศ. 2484ส่งผลให้เกิดสงครามอังกฤษ-อิรัก การสนับสนุนจากนาซีเยอรมนีที่ตกลงกันไว้ไม่ได้เกิดขึ้นจริง อย่างไรก็ตามเจ้าชายอับดัลอิละฮ์ได้กลับคืนสู่อำนาจโดยการรวมกลุ่มของกองทัพสัมพันธมิตรซึ่งประกอบด้วยกองทหารอาหรับจอร์แดน, กองทัพอากาศจอร์แดนและทหารอังกฤษหน่วยอื่นๆ อิรักได้ดำเนินสัมพันธไมตรีกับอังกฤษอีกครั้งและเข้าร่วมองค์การสหประชาชาติหลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่วนราชิด อะลี อัล-เกละนิหลังจากแพ้สงครามต้องลี้ภัยไปยังเปอร์เซีย ก่อนที่เขาจะหนีออกจากแบกแดด เขาได้ติดต่อกับมุลละ แอฟเฟนติ และแจ้งต่อเขาว่า เขาได้มอบบ้านของเขาเองให้เป็นที่พำนักที่ปลอดภัยสำหรับพระราชวงศ์โดยให้ทรงประทับจนกว่าความขัดแย้งจะสิ้นสุดลง ซึ่งเป็นที่สังเกตว่าราชิด อะลี อัล-เกละนิเป็นผู้จงรักภักดีต่อราชวงศ์อย่างยิ่ง

ในระหว่างช่วงต้นพระชนม์ชีพ พระเจ้าฟัยศ็อลทรงได้รับการศึกษาที่พระราชวังร่วมกับเด็กชายชาวอิรักอื่นๆ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 พระองค์ทรงประทับร่วมกับพระมารดาในกรูฟ ล็อดที่หมู่บ้านวิงค์ฟิลด์ในบาร์กเชอร์ สหราชอาณาจักร เมื่อทรงเจริญพระชันษา พระองค์ทรงเข้าศึกษาที่โรงเรียนฮาร์โรลด์ร่วมกับพระญาติของพระองค์ สมเด็จพระราชาธิบดีฮุสเซนแห่งจอร์แดน ทั้งสองพระองค์เป็นพระสหายสนิทกันและมีการบันทึกว่าทรงวางแผนที่จะรวมทั้งสองราชอาณาจักรเข้าด้วยกัน เพื่อต่อต้านสิ่งที่ทั้งสองพระองค์เชื่อว่ากระทำการคุกคามลัทธิชาตินิยมแพน-อาหรับ

ในปีพ.ศ. 2495 พระเจ้าฟัยศ็อลเสด็จเยือนสหรัฐอเมริกา โดยทรงพบปะกับประธานาธิบดีแฮร์รี เอส. ทรูแมน, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศดีน อเคอสัน, นักแสดงเจมส์ เมสัน, นักเบสบอลแจ็คกี้ โรบินสัน และอีกหลายคน

การเร่งให้พระเจ้าฟัยศ็อลเสด็จสวรรคตเป็นการตัดสินพระทัยของพระมาตุลาซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการของพระเจ้าฟัยศ็อล(ภายหลังได้รับคำยืนยันโดยพระองค์) ที่ต้องการให้สหราชอาณาจักรสามารถรักษาบทบาทของตนอย่างต่อเนื่องในอิรัก โดยผ่านทางสนธิสัญญาอังกฤษ-อิรัก พ.ศ. 2491และหลังจากนั้นแผนแบกแดด ที่ลงนามในปีพ.ศ. 2498 ผู้คนจำนวนมากออกมาประท้วงอิทธิพลสัมพันธมิตรนี้ เป็นผลให้มีการปราบปรามและผู้เดินขบวนประท้วงหลายร้อยคนเสียชีวิตและนำไปสู่ความตกต่ำของกระแสความจงรักภักดีต่อพระราชวงศ์อิรัก

สิ้นสุดการสำเร็จราชการแทนพระองค์ แก้

 
พระเจ้าฟัยศ็อลที่ 2 แห่งอิรัก(ขวา)กับสมเด็จพระราชาธิบดีฮุสเซนแห่งจอร์แดน(ซ้าย) พระญาติและพระสหายสนิท ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 ขณะที่สมเด็จพระราชาธิบดีฮุสเซนเสด็จเยือนอิรัก ทั้งสองพระองค์ทรงฉลองพระองค์เครื่องแบบทหารเพื่อแสดงความเคารพต่อทั้งสองประเทศ

พระเจ้าฟัยศ็อลที่ 2 แห่งอิรักทรงบรรลุนิติภาวะในวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2496 พระองค์ทรงเริ่มปกครองด้วยประสบการณ์ที่ทรงมีเล็กน้อยและในระหว่างการเปลี่ยนสภาวะทรงการเมืองและสังคมของอิรัก ซึ่งถูกทำให้แย่ลงจากการพัฒนาลัทธิชาตินิยมแพน-อาหรับอย่างรวดเร็ว

พระเจ้าฟัยศ็อลทรงเริ่มต้นด้วยการอาศัยคำแนะนำทางการเมืองจากพระมาตุลา มกุฎราชกุมารอับดัลอิละฮ์และพลเอกนูรี อัสซะอีด ซึ่งเป็นนักการเมืองที่มีประสบการณ์และเป็นนักชาตินิยมที่ดำรงเป็นนายกรัฐมนตรีหลายสมัย ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1960 พระองค์และคณะที่ปรึกษาทรงใช้ทรัพย์ของตนเองลงทุนในโครงการพัฒนาที่ซึ่งสร้างความบาดหมางกับกลุ่มชนชั้นกลางและชาวไร่อย่างรวดเร็ว พรรคคอมมิวนิสต์อิรักได้เพิ่มอิทธิพลขึ้น อย่างไรก็ตามการปกครองของพระองค์ดูเหมือนว่าจะปลอดภัย ความไม่พอใจที่เข้มข้นมากขึ้นต่อสถานะของอิรักยังเป็นแต่ใต้ผิวหน้า การที่สามารถขยายช่องว่างระหว่างคนรวยโดยกลุ่มคนที่มีอภิสิทธิ์ทางการเมือง, ผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและผู้สนับสนุนอำนาจในมือบุคคลเดียวอื่นๆและความยากจนของกรรมกรและชาวนาอื่นๆ เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลของพระเจ้าฟัยศ็อลอย่างรุนแรง ตั้งแต่ชนชั้นสูงควบคุมรัฐสภา นักปฏิรูปได้เล็งเห็นกระแสการปฏิวัติที่มีเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นไปตามที่พวกเขาคาดหวัง การปฏิวัติอียิปต์ พ.ศ. 2495เพื่อล้มล้างระบอบกษัตริย์อียิปต์ภายใต้ราชวงศ์มูฮัมหมัดอาลีโดยญะมาล อับดุนนาศิร เป็นการรับรองสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันในอิรัก

ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2501 ซีเรียประเทศเพื่อนบ้านของอิรักได้ร่วมมือกับนาศิรแห่งอียิปต์ในการก่อตั้งสหรัฐอาหรับรีพับบลิค ส่งผลให้ราชอาณาจักรฮัชไมต์อิรักและจอร์แดนสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งขึ้นเช่นเดียวกัน สองสัปดาห์ถัดมาในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ สันนิบาตนี้ได้รับการก่อตั้งอย่างเป็นทางการในชื่อ สหพันธรัฐอาหรับแห่งอิรักและจอร์แดน พระเจ้าฟัยศ็อลที่ 2 แห่งอิรักเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ที่อาวุโสที่สุดในราชวงศ์ จึงทรงได้รับเกียรติให้ดำรงเป็นพระประมุขของสหพันธรัฐ

หายนะและการสังหารหมู่พระราชวงศ์ แก้

รูปแบบของฝ่ายต่อต้าน แก้

 
มกุฎราชกุมารอับดัลอิละฮ์แห่งอิรักขณะเสด็จเยือนเมานต์เวอร์นอน สหรัฐอเมริกา ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชสมัยของพระนัดดา ต่อมาทรงถูกปลงพระชนม์พร้อมพระราชวงศ์ในการปฏิวัติ 14 กรกฎาคม

สถานการณ์ทางการเมืองของพระเจ้าฟัยศ็อลเริ่มเลวร้ายลงในปีพ.ศ. 2499 ด้วยการลุกฮือของประชาชนในเมืองนะจัฟและฮะวี ขณะที่กองทัพอิสราเอลโจมตีอียิปต์ในกรณีวิกฤติการณ์สุเอซ โดยการร่วมมือกับสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสซึ่งตอบโต้นโยบายชาตินิยมของญะมาล อับดุนนาศิรแห่งอียิปต์ ความนิยมที่ย่ำแย่ลงในแผนแบกแดดก็ดีหรือการปกครองของพระเจ้าฟัยศ็อลก็ดี ฝ่ายต่อต้านได้เริ่มการเคลื่อนไหว ในเดือนกุมภาพันธ์พ.ศ. 2500 ก่อตั้ง "ด่านหน้าสหภาพแห่งชาติ" (Front of National Union) ดำเนินการร่วมกันกับกลุมประชาธิปไตยแห่งชาติ, กลุ่มอิสรภาพ, คอมมิวนิสต์และพรรคบาธ กลุ่มดำเนินการที่เหมือนกันได้ดำเนินการแทรกแซงอย่างใกล้ชิดภายในเจ้าหน้าที่อิรัก ด้วยการก่อตั้ง "คณะเสนาธิการทหารอิสระสูงสุด" (Supreme Committee of Free Officers) คณะรัฐบาลของพระเจ้าฟัยศ็อลได้พยายามรักษาความจงรักภักดีในกองทัพโดยผ่านทางสวัสดิการต่างๆ แต่วิธีนี้ให้ผลที่ไม่ยั่งยืนมากเมื่อกองทัพเห็นด้วยกับพวกต่อต้านระบอบกษัตริย์

ปฏิวัติ 14 กรกฎาคมและการปลงพระชนม์หมู่พระราชวงศ์อิรัก แก้

ในฤดูร้อน พ.ศ. 2501 สมเด็จพระราชาธิบดีฮุสเซนแห่งจอร์แดนส่งขอความช่วยเหลือทางการทหารกับอิรักในช่วงวิกฤตการณ์เลบานอน พ.ศ. 2501 ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น กองทหารภายใต้การบังคับบัญชาของพลเอกอิบด์ อัล-คะริม กอซิมได้กำหนดเดินทัพไปที่จอร์แดนแต่ได้หันกลับมาที่กรุงแบกแดด ซึ่งได้กระทำการรัฐประหารปฏิวัติในวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2501 ในระหว่างการปฏิวัติ 14 กรกฎาคม กองทัพนำโดยพันเอกอับดุล ซะลาม อะริฟและพลเอกอิบด์ อัล-คะริม กอซิมได้เข้ายึดกรุงแบกแดดภายใต้การช่วยเหลือของพันเอกอิบด์ อัล-ละทิฟ อัล-ดะร์ระจี ในช่วงเช้าตรู่กองกำลังของอะริฟได้เข้ายึดสถานีโทรทัศน์ต่างๆ และได้แถลงการณ์คณะปฏิวัติครั้งแรกความว่า "....ล้มล้างจักรวรรดินิยมและกลุ่มพรรคพวกในคณะเจ้าหน้าที่ ประกาศสาธารณรัฐใหม่และจุดจบยุคสมัยเก่า.... ประกาศสภาชั่วคราวแห่งสามสมัชชาเพื่อรับรองอำนาจประธานาธิบดีและสัญญาว่าจะจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ต่อไป"[4]

จากนั้นอะรีฟได้ส่งกองทหารสองกอง กองแรกมุ่งหน้าไปยังพระราชวังอัล-ราฮับเพื่อกราบทูลพระเจ้าฟัยศ็อลและมกุฎราชกุมารอับดัลอิละฮ์ให้ทรงทราบถึงการปฏิวัติ อีกกองหนึ่งมุ่งหน้าไปยังทำเนียบนายกรัฐมนตรีนูรี อัสซะอีด เมื่อกองทัพมาถึงพระราชวัง พระเจ้าฟัยศ็อลมีพระบัญชาให้ทหารกรมวังวางอาวุธเพื่อไม่ให้ชาวอิรักต้องหลั่งเลือด และพระองค์ทรงยอมจำนนต่อฝ่ายต่อต้านด้วยพระองค์เอง แม้ว่าไม่มีรายงานใดๆถึงจำนวนกองกำลังที่บุกเข้าไปในพระราชวัง

 
พลเอกอิบด์ อัล-คะริม กอซิม ผู้นำการปฏิวัติ 14 กรกฎาคมและเป็นผู้สั่งปลงพระชนม์พระบรมวงศานุวงศ์

ในเวลา 8.00 น. หัวหน้ากองทหาร อับดุล ซัททาร์ ซะบาอะ อัล-อิโบซี ได้นำกองทัพปฏิวัติเข้าทำร้ายข้าราชสำนักในพระราชวัง มีคำสั่งกราบทูลพระบรมวงศานุวงศ์ได้แก่ พระเจ้าฟัยศ็อล, มกุฎราชกุมารอับดัลอิละฮ์, เจ้าหญิงฮิยาม (พระชายาในมกุฎราชกุมารและเป็นพระมาตุจฉาในกษัตริย์), สมเด็จพระราชินีนาฟิสซา บินต์ อัลอิละฮ์ (พระมารดาในสมเด็จพระราชชนนีอะลียะฮ์และมกุฎราชกุมารอับดัลอิละฮ์ และเป็นพระอัยยิกาในกษัตริย์), เจ้าหญิงคะดิยะห์ อับดิยะห์ (พระเชษฐภคินีในสมเด็จพระราชชนนีอะลียะฮ์และมกุฎราชกุมารอับดัลอิละฮ์ และเป็นพระมาตุจฉาในกษัตริย์) และข้าราชบริพารจำนวนหนึ่งให้เสด็จลงมายังลานสนามในพระราชวังพร้อมๆกัน จากนั้นมีคำสั่งให้ทุกพระองค์หันพระองค์เข้ากับกำแพง ที่ซึ่งทุกพระองค์ถูกกราดยิงด้วยปืนกลในทันที ร่างของทั้งห้าพระองค์ร่วงลงพื้นสนามพร้อมกับร่างของข้าราชบริพาร พระเจ้าฟัยศ็อลยังไม่สวรรคตในทันทีหลังการระดมยิงครั้งแรก ทรงถูกนำพระองค์ส่งโรงพยาบาลโดยผู้จงรักภักดีแต่ก็เสด็จสวรรคตระหว่างทาง สิริพระชนมายุ 23 พรรษา เจ้าหญิงฮิยามทรงรอดพระชนม์ชีพจากการปลงพระชนม์หมู่มาได้แต่ก็ทรงพระประชวรอย่างสาหัสจากการระดมยิงและทรงถูกผู้จงรักภักดีพาพระองค์เสด็จออกนอกประเทศ พระศพของมกุฎราชกุมารอับดัลอิละฮ์ถูกลากไปตามถนนและถูกตัดเป็นชิ้นๆ ข่าวการปลงพระชนม์หมู่เกี่ยวกับมกุฎราชกุมารอับดัลอิละฮ์ได้มีการรายงานว่า "ประชาชนนักปฏิวัติโยนพระศพของมกุฎราชกุมารอับดัลอิละฮ์ลงบนถนนดั่งเช่นสุนัขและฉีกพระศพออกเป็นชิ้นๆ จากนั้นพวกเขาก็ทำการเผาพระศพ"[5] ถือเป็นจุดสิ้นสุดระบอบกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรฮัชไมต์อิรักและเป็นโศกนาฏกรรมของระบอบกษัตริย์ 37 ปีในอิรัก

นายกรัฐมนตรีนูรี อัสซะอีดก็ถูกสังหารด้วยเช่นกัน ซึ่งหลังจากที่นูรีทราบข่าวการปลงพระชนม์พระบรมวงศานุวงศ์ เขาได้พยายามหลบหนี พลเอกอิบด์ อัล-คะริม กอซิมได้ประกาศมอบรางวัลจำนวน 10,000 ดินาร์แก่ทหารที่สามารถจับตัวนูรีได้[6]และได้มีการค้นหาตัวครั้งใหญ่ ในวันที่ 15 กรกฎาคม นูรีได้ถูกจับตัวได้ที่เขตอัล-บัทตาวินในแบกแดดซึ่งพยายามหนีโดยปลอมตัวเป็นผู้หญิงสวมใส่อาบายา (ชุดคลุมยาวของสตรีอิสลาม) นูรีและผู้ติดตามได้ถูกยิงถึงแก่อสัญกรรมทันที ม็อบหัวรุนแรงได้ทำการไล่ล่าสังหารชาวต่างชาติทุกคนทั่งแบกแดด จนพลเอก กอซิมต้องประกาศเคอร์ฟิว

ระบอบกษัตริย์ถูกล้มล้างอย่างเป็นทางการ และประเทศถูกเข้าควบคุมแบบไตรภาคีภายใต้ "สภาปกครอง" ประกอบด้วยผู้แทนอิรักจากสามกลุ่มชาติพันธุ์หลัก ความไม่เสถียรภาพทางการเมืองระยะยาวได้ทวีความรุนแรงขึ้นและถึงจุดสูงสุดเนื่องจากชัยชนะของพรรคบาธในปีพ.ศ. 2511 ที่ซึ่งเป็นการก้าวขึ้นสู่อำนาจของซัดดัม ฮุสเซน

พระคู่หมั้น แก้

 
พระเจ้าฟัยศ็อลที่ 2 แห่งอิรัก(ซ้าย)กับเจ้าหญิงซาบิฮา ฟาซิละ ฮานิม สุลต่าน แห่งอิรัก พระคู่หมั้น(ขวา)

พระเจ้าฟัยศ็อลที่ 2 แห่งอิรักทรงหมั้นครั้งแรกกับเจ้าหญิงคียะเม็ท ฮะนิม เชื้อสายของราชวงศ์มัมลูกในอิรัก ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2501 การหมั้นถูกยกเลิกในอีกสามเดือนต่อมา

พระเจ้าฟัยศ็อลทรงสู่ขอเจ้าหญิงชาห์นาซ ปาห์ลาวี พระราชธิดาในพระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวีแห่งอิหร่านกับเจ้าหญิงเฟาซียะห์แห่งอียิปต์ แต่เจ้าหญิงชาห์นาซทรงปฏิเสธพระเจ้าฟัยศ็อล ในช่วงก่อนที่จะพระองค์สวรรคต ทรงหมั้นหมายและจะอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงซาบิฮา ฟาซิละ ฮานิม สุลต่าน พระธิดาเพียงพระองค์เดียวในเจ้าชายมุฮัมหมัด อะลี อิบราฮิม เบเยเฟนดิแห่งอียิปต์กับเจ้าหญิงซะห์ระ ฮันซะดี สุลต่าน

พระอิศริยยศทางทหาร แก้

พระองค์มีพระอิศริยยศทางทหารดังนี้[7]

ดูเพิ่ม แก้

เชิงอรรถ แก้

  1. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-09-29. สืบค้นเมื่อ 2012-09-03.
  2. Michael Farr, Tintin: The Complete Companion, John Murray, 2001.
  3. S9.com เก็บถาวร 2021-05-06 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Retrieved on 14 July 2008.
  4. Ibid
  5. "Revolt in Baghdad". Time Magazine. 21 July 1958. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-01-20. สืบค้นเมื่อ 27 July 2009.
  6. Ibid, page 157
  7. Royal Ark

อ้างอิง แก้

  • Khadduri, Majid. Independent Iraq, 1932–1958. 2nd ed. Oxford University Press, 1960.
  • Lawrence, T. E. Seven Pillars of Wisdom. Retrieved 14 July 2008
  • Longrigg, Stephen H. Iraq, 1900 to 1950. Oxford University Press, 1953.
  • Morris, James. The Hashemite Kings. London, 1959.

อ่านเพิ่มเติม แก้

  • Khadduri, Majid. Independent Iraq, 1932–1958. 2nd ed. Oxford University Press, 1960.
  • Lawrence, T. E. Seven Pillars of Wisdom. Retrieved 14 July 2008
  • Longrigg, Stephen H. Iraq, 1900 to 1950. Oxford University Press, 1953.
  • Morris, James. The Hashemite Kings. London, 1959.
  • De Gaury, Gerald. Three kings in Baghdad, 1921-1958 (Hutchinson, 1961).

แหล่งข้อมูลอื่น แก้

ก่อนหน้า พระเจ้าฟัยศ็อลที่ 2 แห่งอิรัก ถัดไป
พระเจ้าฆอซีแห่งอิรัก    
พระมหากษัตริย์แห่งอิรัก
(4 เมษายน พ.ศ. 2482 - 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2501)
  ระบอบกษัตริย์ถูกล้มล้างในปฏิวัติ 14 กรกฎาคม
มุฮัมมัด นะญีบ อัรรุบัยอี ดำรงเป็นประธานาธิบดี
ระบอบกษัตริย์ถูกล้มล้างในปฏิวัติ 14 กรกฎาคม    
ผู้อ้างสิทธิในราชบัลลังก์อิรัก
(14 กรกฎาคม พ.ศ. 2501)
  เจ้าชายซะอีด บิน ฮุซัยน์
หรือ
ชะรีฟ อะลี บิน อัลฮุซัยน์