พระกษิติครรภโพธิสัตว์

พระกษิติครรภโพธิสัตว์ (อ่านว่า /พฺระ-กะ-สิ-ติ-คัน-โพ-ทิ-สัด/, สันสกฤต: क्षितिगर्भ; Kṣitigarbha; กฺษิติครฺภ) เป็นพระโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นที่นับถือในศาสนาพุทธนิกายมหายานในภูมิภาคเอเชียตะวันออก มักมีรูปลักษณ์เป็นพระภิกษุมหายาน นามของพระโพธิสัตว์องค์นี้อาจแปลได้ว่า "ขุมทรัพย์แห่งแผ่นดิน" ("Earth Treasury"), คลังแห่งแผ่นดิน ("Earth Store"), "บ่อเกิดแห่งแผ่นดิน"( "Earth Matrix"), หรือ "ครรภ์แห่งแผ่นดิน" ("Earth Womb")

พระกษิติครรภโพธิสัตว์
สันสกฤตक्षितिगर्भ (กฺษิติครฺภ)
จีนจีนตัวเต็ม: 地藏菩薩, 地藏王菩薩
จีนตัวย่อ: 地藏菩萨, 地藏王菩萨
พินอิน: Dìzàng Púsà, Dìzàng Wáng Púsà
เวด-ไจลส์: Ti Tsang Pu Sa, Ti Tsang Wang Pu Sa
(จีนกลาง) ตี้จ้างผูซ่า, ตี้จ้างหวังผูซ่า
(แต้จิ๋ว) ตี่จั่งผ่อสัก, ตี่จั่งอ๊วงผ่อสัก
ญี่ปุ่น地蔵 (จิโซ)
地蔵菩薩 (จิโซโบซัตสึ)
地蔵王菩薩 (จิโซโอโบซัตสึ)
เกาหลี지장 (ชีจัง)
지장보살 (ชีจังโบซัล)
มองโกเลียСайенинбу (ไซเยนิมโบ)
ทิเบตས་ཡི་སྙིང་པོ་ (ซายีญิงโป)
เวียดนามĐịa Tạng Vương (เดียะต่างเวือง)
Địa Tạng Vương Bồ tát (เดียะต่างเวืองโบต๊าด)
ข้อมูล
นับถือในมหายาน, วัชรยาน
พระลักษณะมหาปณิธาน
icon สถานีย่อยพระพุทธศาสนา

พระกษิติครรภโพธิสัตว์ได้รับมอบหมายจากพระศากยมุนีพุทธเจ้าให้เป็นผู้แสดงธรรมโปรดสัตว์ในกามภูมิ 6 ในช่วงที่พระองค์ปรินิพพานไปแล้วและพระศรีอริยเมตไตรยยังไม่ได้ลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า[1] พระกษิติครรภมีปณิธานสำคัญในการช่วยสัตวโลกทั้งหมดให้พ้นจากนรกภูมิ หากนรกยังไม่ว่างจากสัตว์นรกก็จะยังไม่ขอตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ด้วยเหตุดังกล่าว พระองค์จึงถือว่าเป็นพระโพธิสัตว์แห่งสัตว์ผู้ทุกข์ยากในอบายภูมิ มีนรกทั้งปวง เป็นต้น เช่นเดียวกับการเป็นผู้คุ้มครองเด็กทั้งหลาย และเทพอุปถัมภ์ของเด็กที่เสียชีวิตและทารกที่ตายจากการแท้งในวัฒนธรรมญี่ปุ่น

รูปลักษณ์ของพระโพธิสัตว์องค์นี้ ปกติมักทำเป็นรูปพระภิกษุมหายาน มีรัศมีเปล่งรอบพระเศียรซึ่งปลงพระเกศาแล้ว หัตถ์หนึ่งทรงจับไม้เท้าซึ่งใช้เปิดประตูนรก อีกหัตถ์หนึ่งทรงถือแก้วจินดามณี (แก้วสารพัดนึก) เพื่อประทานแสงสว่างท่ามกลางความมืด

สำหรับในประเทศไทยเอง หลวงจีนวิศวภัทร มณีปัทมเกตุ สือกว่างตู้ ชาวไทยผู้ออกบวชที่ภูเขาจิ่วหัวซาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ผู้ก่อตั้งมูลนิธิพุทธจักษุวิชชาลัย อารามวัตรมหายาน (大乘禪寺:佛眼弘法基金會:地藏道場) พุทธมณฑลสาย 6 ได้สร้างวัดหรือธรรมสถาน เพื่ออุทิศแด่องค์พระกษิติครรภโพธิสัตว์โดยเฉพาะ โดยสร้างองค์พระกษิติครรภ์ ด้วยหินแกรนิตแกะสลักสูงรวมฐาน 13.99 เมตร และพระกษิติครรภ์ 6 ปาง ที่มีคติมาจากปุณฑริกสมาธิสูตร (蓮華三昩經) ที่ว่าพระกษิติครรภ์นิรมาณกายไปโปรดสัตว์ทั้ง 6 ภูมิ พร้อมพญายมราชทั้ง 10 ซึ่งในสูตรฝ่ายมหายานกล่าวว่า เป็นพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์องค์สำคัญ 10 พระองค์ นิรมาณกายมาโปรดสัตว์ และปฏิมากรรมหินแกะสลักนายนิรยบาล เป็นหินแกะสลักสูงใหญ่กว่าคนอีกรวมทั้งสิ้น 25 องค์โดยช่างฝีมือจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามคติของพุทธมหายานแบบจีน และเผยแพร่กษิติครรภโพธิสัตว์มูลปณิธานสูตร (地藏本願經) และ กษิติครรภ์โพธิสัตว์ทศจักรสูตร (地藏十輪經) ซึ่งเป็นพระสูตรสำคัญของพระกษิติครรภ์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นกษิติครรภมณฑล ที่มีอยู่ไม่กี่แห่งในโลก

ภาพรวม แก้

พระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์เป็นหนึ่งในพระโพธิสัตว์ 4 พระองค์ ซึ่งเป็นที่นับถืออย่างยิ่งในศาสนาพุทธมหายานแถบเอเชียตะวันออก ร่วมกับพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ และพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์

จิตรกรรมฝาผนังสมัยก่อนราชวงศ์ถังของจีนที่ถ้ำผาม่อเกาและถ้ำผาหลงเหมิน ได้แสดงภาพของพระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์ไว้ตามความนิยมในลักษณะดั้งเดิมของพระโพธิสัตว์ หลังสมัยราชวงศ์ถัง รูปลักษณ์ของพระองค์ได้แพร่หลายมากขึ้นในลักษณะของพระภิกษุมหายานถือไม้เท้า หรือคฑาขักขระ หรือไม้ค้ำในการธุดงค์ของพระมหายานและลูกประคำ

พระนามเต็มของพระองค์ในภาษาจีนคือ "ต้าหยวนตี้จั้งผู่ซ่า" (จีนตัวย่อ: 大願地藏菩萨; จีนตัวเต็ม: 大願地藏菩薩; พินอิน: Dàyuàn Dìzàng Púsà) ซึ่งแปลว่า มหาปณิธานกษิติครรภโพธิสัตว์ นามดังกล่าวนี้แสดงถึงปณิธานของพระองค์ซึ่งปรากฏอยู่ในพระสูตรมหายานต่าง ๆ ระบุว่าจะทรงรับภาระในการสั่งสอนสรรพสัตว์ทั้งปวงที่ในอยู่ในกามภูมิทั้งหกในโลก อันได้แก่ สัตว์นรก, เปรต, อสูร, เดรัจฉาน, มนุษย์ และเทพ (หมายความถึงสวรรค์ฉกามาพจรทั้ง 6 ชั้น) ตลอดยุคระหว่างศาสนาของพระโคตมพุทธเจ้าและพระศรีอริยเมตไตรย ด้วยบทบาทที่สำคัญดังกล่าว ศาลาหรือวิหารซึ่งอุทิศแด่พระโพธิสัตว์พระองค์นี้จึงมักปรากฏอยู่เป็นศูนย์กลางของวัดพุทธมหายานฝ่ายตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในศาลาอนุสรณ์สถานหรือสุสานต่าง ๆ ซึ่งมนุษย์และหมู่สัตว์ไม่อาจหนีพ้นได้ ซึ่งบางอารามก็ประดิษฐานพระกษิติครรภ์อยู่ภายในโบสถ์ หรือวิหาร เคียงคู่กับพระศากยมุนีพุทธเจ้า และพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ก็มี ด้วยคติที่ว่า พระอริยเจ้าทั้ง 3 องค์นี้ คือพระผู้เป็นประธานโปรดสัตว์ในสหาโลกธาตุ หรือในจักรวาลนี้

กำเนิด แก้

 
พระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์, วัด Hsiang-Te, ไต้หวัน

กำเนิดของพระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์มีการกล่าวถึงเป็น 2 นัย นัยหนึ่งกล่าวว่าชาติกำเนิดเดิมของพระองค์เป็นธิดาพราหมณ์ อีกนัยหนึ่งเล่าเป็นเชิงตำนานว่าในสมัยราชวงศ์ถัง พระองค์ได้นิรมานกายเกิดเป็นราชกุมารแห่งอาณาจักรซิลลา ซึ่งภายหลังได้ออกผนวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา

ธิดาพราหมณ์ แก้

เรื่องราวของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ปรากฏครั้งแรกในพระสูตรมหายานชื่อ "กษิติครรภโพธิสัตวมูลปณิธานสูตร" (จีนตัวย่อ: 地藏菩萨本愿经; จีนตัวเต็ม: 地藏菩薩本願經; พินอิน: Dìzàng Púsà Běnyuàn Jīng แต้จิ๋วเรียกว่า "ตี่จั่งอ๊วงพู่สักบึ้งง่วนเก็ง") หนึ่งในพระสูตรมหายานอันเป็นที่นิยมนับถือมากที่สุด พระสูตรนี้กล่าวว่าพระโคตมพุทธเจ้าครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์ตรัสเล่าก่อนจะจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตของพระองค์มาสู่ครรภ์ของพระนางสิริมหามายา[2] แต่นักปราชญ์ส่วนมากเชื่อว่าถูกรวบรวมขึ้นในประเทศจีน[3] เนื้อความของพระสูตรกล่าวถึงการบำเพ็ญกตัญญุตาธรรมของพระกษิติครรภโพธิสัตว์เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นมนุษย์ ซึ่งนำไปสู่การตั้งมหาปณิธานเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งมวล

สมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่า พระปัทมอิศวรราชาพุทธเจ้า กาลสมัยนั้น พระกษิติครรภโพธิสัตว์ทรงถือกำเนิดเป็นบุตรีในสกุลพราหมณ์ครอบครัวหนึ่ง บิดาชื่อ "ชีรชิณณพราหมณ์" มารดาชื่อ "ยัฏฐีลีพราหมณี" บิดาได้ถึงแก่กรรมก่อนมารดา จึงทำให้อาศัยอยู่กับมารดาตลอดมา พระองค์ซึ่งเสวยพระชาติเป็นพราหมณี เป็นผู้มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป เป็นคนใจดีมีเมตตา อยู่ในศีลในธรรม ส่วนมารดานั้นกลับประพฤติตรงข้ามกับบุตรี ไม่นับถือพระรัตนตรัย ไม่เชื่อเรื่องกรรมและนรกสวรรค์ แม้ว่าพราหมณีบุตรีจะชักชวนหรือโน้มน้าวจิตใจอย่างไร เพราะนางยัฏฐีลีพราหมณีมีมิจฉาทิฐิรุนแรง

ต่อมานางยัฏฐีลีพราหมณีได้ถึงแก่กรรมลงแล้วไปตกนรกอเวจี นางพราหมณีบุตรีรู้แน่ว่ามารดาคงไม่ไปสู่สุคติ นางอยากช่วยเหลือมารดา จึงได้ขายมีค่าทั้งหมดที่มี นำเงินทั้งหมดไปซื้อดอกไม้ธูปเทียน และเครื่องสักการบูชาต่าง ๆ ไปสักการบูชาตามวัดวาอารามต่าง ๆ และนำไปบริจาคทานแก่คนยากจน และสัตว์ที่อดอยากหิวโหย เพื่อเป็นการอุทิศบุญกุศลให้แก่มารดาที่ล่วงลับไปแล้ว นอกจากนี้นางพราหมณีบุตรี ยังเป็นผู้ถือศีล บำเพ็ญเพียรภาวนา บุญกุศลได้ดลบันดาลให้วิญญาณของนางออกจากร่างไปสู่ยังมหาสมุทรน้ำเดิอด และมีอสูรกายตัวใหญ่น่ากลัวกำลังไล่จับมนุษย์ที่ลอยคออยู่ในน้ำจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน เพื่อฉีกกินเป็นอาหาร น่ากลัวมากจนนางไม่กล้าหันไปมองด้วยความกลัวและสงสารมนุษย์เหล่านั้น เทพอสูรบอกนางว่ายัฏฐีลีพราหมณี ได้เคยตกลงมาในดินแดนนรกภูมินี้ แต่เนื่องจากนางได้รับบุญกุศลอันนางบำเพ็ญกุศลมาให้จึงพ้นจากแดนนรกไปสู่สุคติแล้ว พร้อมกับยกมือพนมพร้อมกับก้มลงแล้วจากไป เมื่อนางได้ทราบดังนั้น นางจึงมีความยินดีและหมดห่วงในตัวมารดา แต่นางกลับเกิดความสงสารบรรดามนุษย์ที่ตกนรกและได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสเหล่านั้น จึงเกิดความเมตตาอันแรงกล้าที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ในนรกเหล่านั้น นางพราหมณีบุตรีจึงอธิษฐานต่อหน้าพระพุทธรูป ขอถือศีลภาวนา บำเพ็ญทานบารมี เพื่อโปรดสรรพสัตว์ในนรกอเวจีตลอดจนถึงอนาคต ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง อย่าได้เบื่อหน่ายต่อการบำเพ็ญกุศลกรรมดังกล่าว ด้วยเหตุที่ทรงบำเพ็ญบารมีเช่นนี้ เมื่อนางถึงแก่กรรม ได้กลับชาติมาเกิดเป็นบุรุษ และบำเพ็ญเพียรสร้างบารมี จนสำเร็จมรรคผลกลายเป็นพระโพธิสัตว์พระนามว่าพระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์

ภิกษุจากซิลลา แก้

 
พระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์ ในฐานะพระโพธิสัตว์เจ้านรกภูมิ, ราวต้นพุทธศตวรรษที่ 23 (ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18)
 
ประติมากรรมจิโซ (พระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์), วัดมิบุเดะระ, เกียวโต, ญี่ปุ่น
 
พระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์ ศิลปะเกาหลี
 
ประติมากรรม ในวัดโฮรีว

อีกตำนานหนึ่งกล่าวว่า พระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์ได้ปรากฏตัวขึ้นในประเทศจีนสมัยโบราณ และเลือกโพธิมัณฑะ (ที่ตรัสรู้) ที่ภูเขาจิ่วหัวซัน ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทางพุทธศาสนาในประเทศจีน

ในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก รัชกาลจักรพรรดิฮั่นหมิง ศาสนาพุทธซึ่งกำลังรุ่งเรืองและจะเจริญอย่างถึงที่สุดในสมัยราชวงศ์ถัง ได้แพร่หลายไปสู่ดินแดนเกาหลี ในยุคนั้นพระสงฆ์และบัณฑิตทั้งปวงจากเกาหลีจะศึกษาพุทธศาสนาโดยการเดินทางไปศึกษาที่จีนเป็นหลัก หนึ่งในจำนวนผู้แสวงบุญเหล่านั้นเป็นอดีตมกุฎราชกุมารแห่งซินลอก๊ก (อาณาจักรซิลลา) ผู้มีนามว่า "กิมเคียวกัก" (ฮันจา: 金喬覺 อ่านเป็นภาษาจีนกลางได้ว่า "Jin Qiaojue") ซึ่งได้ผนวชเป็นภิกษุในฉายา "จีจาง" (เป็นการออกเสียงอย่างเกาหลีของคำว่า "ตี้จ้าง")[4] วันมรผณภาพดับขันธ์ของท่านคือวันที่ 30 เดือนเจ็ดจีน ซึ่งต่อมาได้ถือเป็นวันสำหรับการสมโภชพระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์

อุปนิสัยของพระภิกษุจีจางนั้นชอบความสงบและการบำเพ็ญสมาธิ จึงได้ออกเดินทางแสวงหาสถานที่สงบวิเวกตามป่าเขา จนกระทั่งมาถึงภูเขาจิ่วหัวซันในเขตมณฑลอันฮุยในปัจจุบัน ท่านจึงถือเอาปากถ้ำแห่งหนึ่งใกล้ที่ราบกลางหุบเขานั้นเป็นที่พำนักและบำเพ็ญสมณธรรม

ตามตำนานกล่าวว่า วันหนึ่งพระจีจางถูกงูกัดที่เท้าขณะที่บำเพ็ญสมาธิอยู่ แต่ท่านก็ยังนั่งนิ่งอยู่กับที่จนกระทั่งงูนั้นจากไป ครู่ต่อมามีหญิงคนหนึ่งปรากฏกายขึ้นและได้ถวายยาถอนพิษแก่พระภิกษุองค์นั้น และบันดาลน้ำพุขึ้นถวายแทนตัวลูกของนางซึ่งได้กระทำสิ่งไม่สมควรต่อท่านก่อนจะหายลับไป อีกไม่กี่ปีต่อมา บัณฑิตคนหนึ่งพร้อมด้วยมิตรสหายและครอบครัวได้เดินทางมาเยือนเขาจิ่วหัวซัน จึงได้พบกับพระภิกษุจีจาง ซึ่งปราศจากอาหารในบาตรและมีผมยาวเนื่องจากไม่ได้โกน คณะของบัณฑิตนั้นจึงร่วมมือกับหมิ่นกงซึ่งเป็นคหบดีเจ้าของที่ดินในแถบนั้นสร้างวัดขึ้นถวายแก่ท่าน เมื่อหมิ่นกงแจ้งความประสงค์จะถวายที่ดินตามแต่ท่านต้องการ พระจีจางจึงกล่าวว่าต้องการที่ดินเพียงเท่าผืนผ้ากาสาวพัสตร์ และได้โยนผ้ากาสาวพัสตร์นั้นขึ้นฟ้า ร่มเงาดำของผ้าทั้งผืนแผ่ปกคลุมทั่วภูเขาทั้งลูก หมิ่นกงจึงได้ถวายภูเขาทั้งลูกด้วยความศรัทธา และปวารณาตัวเป็นอุปัฏฐากของพระจีจางนับตั้งแต่นั้น ต่อมาบุตรชายคนหนึ่งของหมิ่นกงซึ่งศรัทธาท่านมากเช่นกันได้ขอบวชชื่อว่า "พระเต้าหมิง"

พระจีจางจำพรรษาอยู่ที่วัดเขาจิ่งหัวซันจนกระทั่งอายุได้ 99 ปี ท่านจึงเรียกภิกษุทุกรูปมาชุมนุมเพื่ออำลา และได้นั่งบำเพ็ญสมาธิอย่างสงบจนกระทั่งละสังขารในที่สุด สามปีให้หลังจากการละสังขาร สุสานของท่านได้ถูกเปิดออกและพบว่าร่างกายของท่านไม่เน่าเปื่อย คนทั้งหลายจึงเกิดความศรัทธาว่าท่านเป็นชาติหนึ่งของพระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์นับแต่นั้นเป็นต้นมา

สรีระของพระจีจางที่ไม่เน่าเปื่อยยังคงถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีอยู่ที่วัดซึ่งท่านได้สร้างไว้บนเจ้าจิ่วหัวซันจนถึงทุกวันนี้

ประติมานวิทยา แก้

ในธรรมเนียมศาสนาพุทธ แก้

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แก้

ในศาสนาพุทธฝ่ายเถรวาท มีเรื่องราวที่คล้ายคลึงและเทียบกันได้กับตำนานของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ คือเรื่องพระมาลัย (แต่พระมาลัย ไม่ใช่พระกษิติครรภ์) ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยและประเทศลาว เนื้อหาของเรื่องนี้กล่าวถึงพระมาลัยซึ่งเป็นพระอรหันต์ชาวลังกา สำเร็จฤทธิ์อภิญญาญานต่างๆ จากการบำเพ็ญสมาธิ และได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สืบทอคความเป็นเลิศทางฤทธิ์ต่อจากพระมหาโมคคัลลานะ ผู้เป็นอัครสาวกฝ่ายซ้าย ตำนานเล่าว่าท่านได้อาศัยฤทธิ์เดชของท่านท่องไปยังนรกเพื่อเทศนาโปรดสัตว์นรกทั้งปวงให้บรรเทาจากทุกขเวทนา และได้รับรู้ถึงมูลเหตุและผลกรรมที่ต้องมาเสวยทุกข์เวทนาในนรกขุมต่างๆ ของสัตว์นรกเหล่านั้น นอกจากนี้ท่านยังได้ขึ้นไปยังสวรรค์เพื่อบูชาเจดีย์พระจุฬามณีและสนทนากับเหล่าเทวดาถึงเหตุและผลแห่งบุญที่ตนได้กระทำ ก่อนจะนำสิ่งที่ได้พบเห็นทั้งหมดมาประกาศให้ชาวโลกรับรู้และตั้งใจบำเพ็ญความดีสืบต่อไป

มนตร์ แก้

ในนิกายชินงน และนิกายย่อยอื่นๆ ของศาสนาพุทธสายวัชรยาน มนตร์ของพระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์ปรากฏอยู่ใน คัมภีร์เล่มอื่นๆ หลากหลายบท หนึ่งในนั้น คือ มหาไวโรจนสูตร มีใจความดังนี้ "นมะ สมนฺตพุทฺธานํ ห ห ห สุตนุ สวาหา" (namaḥ samantabuddhānāṃ, ha ha ha, sutanu svāhā) [5]

ผู้นับถือศาสนาพุทธในจีน บูชาพระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์ด้วยมนตร์ 南無地藏王菩薩 ซึ่งสำเนียงจีนกลางออกเสียงว่า "นาโมตี้จั้งหวังผู่ซา" แต้จิ๋วออกเสียงว่า "นาโมตี่จั่งอ๊วงผ่อสัก" ส่วนในประเทศเกาหลีก็ใช้มนตร์อย่างเดียวกัน แต่ออกเสียงว่า "นาโมจีจางโบซัล"

พระนามของพระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์ใช้ว่า "โอม กฺษิติครฺภ โพธิสตฺตฺวาย" (oṃ kṣitigarbha bodhisattva yaḥ) และยังมีมนตร์แห่งการขมาบาปว่า "โอม ปรมัลทนิ สวาหา" ในภาษาจีนออกเสียงว่า "งัน ปอ ลา หมก เลง ทอ นิง ซอ พอ ฮอ"

อ้างอิง แก้

  1. "พระกษิติครรภ์มหาโพธิสัตว์". มหาปัทมะ. 10 ตุลาคม 2552. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-05-09. สืบค้นเมื่อ 17 เมษายน 2556. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  2. Ksitigarbha Sutra - Chapter One: Miracles In The Palace Of The Trayastrimsas Heaven: เก็บถาวร 2009-06-15 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน - "Thus have I heard. Once the Buddha was abiding in Trayastrimsas Heaven in order to expound the Dharma to his mother."
  3. Jizo Bodhisattva: Guardian of Children, Travelers, and Other Voyagers ที่ Google Books page 193
  4. "释地藏金乔觉考". Fo365.cn. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-12-09. สืบค้นเมื่อ 2012-01-16.
  5. Giebel, Rolf. The Vairocanābhisaṃbodhi Sutra. Berkeley: Numata Center, 2005
  • หนังสือ "เบญจมหาโพธิสัตว์ และกฤษดาภินิหาร กวนอิม" ตำนานการกำเนิดนิกายมหายานและพระโพธิสัตว์สำคัญ -- คุณสัมพันธ์ ก้องสมุทร (บรรณาธิการ)
  • กษิติครรภโพธิสัตว์ มูลปณิธานสูตร โดย หลวงจีนวิศวภัทร
  • Clip ประวัติพระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์ โดยหลวงจีนวิศวภัทร

บรรณานุกรม แก้

แหล่งข้อมูลอื่น แก้