นวนิยายเชิงสารคดี

นวนิยายเชิงสารคดี (อังกฤษ: Nonfiction novel) เป็นประเภท (genre) ของนวนิยายที่บรรยายเนื้อหาของเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงโดยใช้วิธีการเขียนแบบนวนิยาย ซึ่งเป็นประเภทที่จัดอย่างหลวม ๆ ว่าเป็นประเภทยืดหยุ่น

ประวัติ แก้

โดยทั่วไปแล้วเชื่อกันว่าประเภทการเขียนนี้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในงานเขียน “In Cold Blood” (ไทย: ฆาตกรเลือดเย็น) โดยทรูแมน คาโพตีในปี ค.ศ. 1965 แม้ว่าจะเป็นงานชิ้นสำคัญที่เป็นการเริ่มแนวเขียนอย่างเป็นทางการก็จริง แต่อิทธิพลของงานลักษณะนี้มีมาแล้วก่อนหน้านั้นเป็นเวลานาน

งานเขียนเชิงประวัติศาสตร์หรือชีวประวัติมักจะใช้วิธีการบรรยายเรื่องแบบการเขียนนวนิยายเพื่อบรรยายเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง นักวิชาการให้ความเห็นว่า “Operación Masacre” ที่เขียนโดยนักประพันธ์และนักหนังสือพิมพ์ชาวอาร์เจนตินาโรโดลโฟ วอลชในปี ค.ศ. 1957 เป็นงานเขียนประเภท “นวนิยายเชิงสารคดี” เล่มแรก[1][2]

คาโพตีให้ความเห็นว่างานเขียนประเภท “นวนิยายเชิงสารคดี” ควรเลี่ยงการใช้บุคคลที่หนึ่งเป็นผู้บรรยายเรื่อง และถ้าจะให้ดีจริงแล้วก็ไม่ควรจะพาดพิงแต่อย่างใดถึงผู้เขียนนวนิยาย หลังจากการพิมพ์ “In Cold Blood” แล้วนักประพันธ์หลายท่านก็พยายามทดสอบความคิดต้นฉบับที่ว่านี้ ที่สำคัญคือ ฮันเทอร์ เอส. ทอมสันในเรื่อง “Hell's Angels: The Strange and Terrible Saga of the Outlaw Motorcycle Gangs” (ไทย: เฮลแอนเจล: ตำนานอันประหลาดและเศร้าของกลุ่มมอเตอร์ไซเคิลนอกกฎหมาย) ที่เขียนในปี ค.ศ. 1966, นอร์มัน เมลเลอร์ ในเรื่อง “Armies of the Night” (ไทย: ประท้วงสงคราม) ที่เขียนในปี ค.ศ. 1968 และ ทอม วูล์ฟ ในเรื่อง “The Electric Kool-Aid Acid Test” ที่เขียนในปี ค.ศ. 1968 เช่นกัน

การเขียนของวูล์ฟที่เรียกว่า “การเขียนข่าวแนวใหม่” (New Journalism) เป็นการเขียนประเภทที่เชื่อมการเขียนนวนิยายกับการเขียนบรรยายแบบนักข่าว ซึ่งเช่นในงานเขียนของคาโพตีที่แทบจะไม่ให้ความสำคัญกับกระบวนการของการบรรยายเรื่อง (แต่วูล์ฟไม่เหมือนกับคาโพตีตรงที่บางครั้งจะใช้บุคคลที่หนึ่งในการบรรยายเรื่อง) แต่ฮันเทอร์ เอส. ทอมสันใช้วิธีการเขียนแบบที่เรียกว่า “การเขียนข่าวแนวกอนโซ” (Gonzo Journalism) ซึ่งละทิ้งวิธีการบรรยายเรื่องแบบที่คาโพตีใช้ ไปใช้การบรรยายผสมระหว่างประสบการณ์ส่วนตัวของตนเอง กับการสังเกตเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นการเขียนที่หันไปหาการเขียนแบบเดิมมากกว่า

งานเขียนของนอร์มัน เมลเลอร์Armies of the Night” ที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์อาจจะเป็นนวนิยายที่สำคัญที่สุดในบรรดางานเขียนประเภทนวนิยายเชิงสารคดี เมลเลอร์แบ่งการบรรยายเรื่องออกเป็นประวัติศาสตร์ และ นวนิยายที่เป็นการบรรยายถึงประสบการณ์ของตนเองในการร่วมการเดินขบวนประท้วงสงครามเวียดนามที่เพนตากอนในปี ค.ศ. 1967 โดยใช้บุคคลที่สามเป็นผู้บรรยายเรื่อง

ในคริสต์ทศวรรษ 1970 นักประพันธ์ก็เริ่มนำบทความเก่าที่เขียนเป็นตอน ๆ มาพิมพ์ใหม่โดยเพิ่มความกลมกลืนและการผสานเนื้อหา เช่นในงานเขียนของไมเคิล เฮอรร์ ในชื่อ “Dispatches” (ไทย: ผู้สื่อข่าว) ที่สะท้อนให้เห็นถึงบรรยากาศของการสื่อข่าวของนักหนังสือพิมพ์จากเวียดนาม

ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมานวนิยายเชิงสารคดีก็หมดความนิยมลง แต่งงานเขียนที่ใช้ลักษณะการเขียนของการขยายบทความเรียง, บทเขียนความทรงจำ และ ชีวประวัติ/อัตชีวประวัติก็อาจจะใช้เป็นพื้นฐานของการศึกษาการเขียนนวนิยายเชิงสารคดี เช่นงานเขียนของโจน ดิเดียนที่ไม่เคยบรรยายงานเขียนของตนเองว่าเป็นงานประเภท “นวนิยายเชิงสารคดี” แม้ว่าจะได้รับการสรรเสริญว่าเป็นงานที่อยู่ในประเภทนี้ ดิเดียนเรียกงานของตนเองว่าเป็นบทความยาวหรือบทความขยายความ

อ้างอิง แก้

  1. Waisbord, Silvio (2000). Watchdog Journalism in South America: News, Accountability, and Democracy. New York: Columbia University Press. p. 282 pages. ISBN 0231119755.
  2. Link, Daniel (2007). "Rethinking past present" (PDF). Review: Literature and Arts of the Americas. Routledge. 40 (75 (2)): 218–230. doi:10.1080/08905760701627711.

ดูเพิ่ม แก้

แหล่งข้อมูลอื่น แก้