แม่ชี จันทร์ ขนนกยูง หรือ คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง (19 มกราคม พ.ศ. 2452–10 กันยายน พ.ศ. 2543) เป็นแม่ชีผู้ก่อตั้งวัดพระธรรมกาย


จันทร์ ขนนกยูง
เกิดจันทร์ ขนนกยูง
19 มกราคม พ.ศ. 2452
อำเภอนครชัยศรี, จังหวัดนครปฐม, ประเทศไทย
เสียชีวิต10 กันยายน พ.ศ. 2543 (91 ปี)
รพ.เกษมราษฎร์ประชาชื่น, กรุงเทพมหานคร, ประเทศไทย
สาเหตุเสียชีวิตโรคชรา
อาชีพนักปฏิบัติธรรม, แม่ชี
ปีปฏิบัติงานพ.ศ. 2481–2543
มีชื่อเสียงจากผู้ก่อตั้งวัดพระธรรมกาย
บุพการี
  • พลอย (บิดา)
  • พัน (มารดา)

จันทร์เป็นบุตรชาวนา เมื่อเจริญวัยขึ้นได้ทำงานเป็นคนรับใช้และฝึกวิชชาธรรมกายกับพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ จนกระทั่งมีการอ้างว่า สามารถลงไปขอขมาบิดาซึ่งกำลังตกนรกอยู่ได้ พระมงคลเทพมุนียกย่องจันทร์ว่า "ลูกจันทร์นี้เป็นหนึ่งไม่มีสอง"[1] ต่อมา อุบาสิกาจันทร์ได้ถ่ายทอดวิชาธรรมกายให้แก่พระไชยบูลย์ ธมฺมชโย แล้วชวนกันก่อตั้งวัดพระธรรมกาย อุบาสิกาจันทร์ยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จหลายประการของวัดพระธรรมกายด้วย

ประวัติ

จันทร์เกิดเมื่อวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2452 ซึ่งตรงกับ วันพฤหัสบดี ขึ้น 10 ค่ำ เดือนยี่ ปีระกา ที่อำเภอนครไชยศรี จังหวัดนครปฐม นางเป็นบุตรคนที่ 5 ในจำนวนพี่น้องชายหญิงทั้งหมด 9 คน มีบิดาชื่อ พลอย มีมารดาชื่อ พัน ซึ่งประกอบอาชีพทำนา ฐานะของครอบครัวจัดอยู่ในระดับปานกลาง[2] มารดาของจันทร์มีฐานะดีกว่าบิดา ในสมัยเด็กมีความใกล้ชิดกับมารดามากกว่าบิดา มารดาเป็นคนใจดี ชอบทำขนมให้ลูก ๆ รับประทาน ส่วนบิดาเป็นคนติดสุรา จึงมักทะเลาะกับมารดาเสมอ

ด้วยเหตุที่บิดาติดสุรา เมื่อมึนเมามักบ่นพึมพำ มารดารู้สึกรำคาญ จึงตะโกนออกไปว่า "ไอ้นกกระจอก อาศัยรังเขาอยู่" เมื่อบิดาของจันทร์ได้ยินก็โกรธจัด จึงถามลูก ๆ ว่าได้ยินที่แม่ด่าว่าพ่อไหม จันทร์ไม่อยากให้บิดาและมารดาทะเลาะกันจึงกล่าวว่า มารดากล่าวเช่นนั้นคงไม่ได้หมายถึงบิดา ทำให้บิดาโกรธมากจึงแช่งว่าขอให้จันทร์หูหนวก 500 ชาติ ทำให้จันทร์กลัวมาก เพราะเชื่อว่าคำพูดของบิดามารดานั้นมีความศักดิ์สิทธิ์มาก หากแช่งลูกอย่างไรย่อมจะเป็นเช่นนั้น เมื่อจันทร์อายุได้ 13 ปี บิดาได้เสียชีวิตในวันที่จันทร์กำลังอยู่ในท้องนา ทำให้ไม่ได้มาขอขมาบิดาก่อนเสียชีวิต ซึ่งความรู้สึกกลัวนั้นยังคงติดอยู่ในใจของจันทร์ตลอดมา จนกระทั่งเวลาผ่านไปทำให้ได้ยินกิตติศัพท์ของหลวงพ่อวัดปากน้ำหรือที่รู้จักกันในอีกนามหนึ่งคือ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ว่า สามารถสอนสมาธิเพื่อไปเยี่ยมญาติที่เสียชีวิตแล้วได้ ไปนรก สวรรค์ และนิพพานได้ จึงเป็นแรงบันดาลใจให้จันทร์ปรารถนาที่จะศึกษาวิธีการนั่งสมาธิเพื่อไปขอขมาบิดาในปรโลกเพื่อให้ตนไม่ต้องหูหนวกในชาติต่อ ๆ ไป.

เส้นทางธรรม

ปี พ.ศ. 2478 เมื่อจันทร์อายุได้ 26 ปี จึงตัดสินใจลามารดาและพี่น้อง เพื่อหาทางไปวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ โดยอ้างว่าจะไปหางานทำ ทุกคนจึงเข้าใจว่านางอยากได้เงินทอง จึงออกปากมอบทรัพย์สมบัติให้ แต่นางไม่รับ แต่กลับมอบทรัพย์สินส่วนของตน อันได้แก่ เงิน และ ที่ดินส่วนที่เป็นมรดกให้พี่น้อง แล้วลามารดาโดยนำเงินติดตัวไป 2 บาท

ในสมัยนั้นการเข้าไปอยู่ในวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เป็นเรื่องไม่ง่ายนักเพราะที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ มีพระและแม่ชีอยู่จำนวนมาก จันทร์จึงวางแผนไปทำงานรับใช้เลี๊ยบ สิกาญจนานันท์ เศรษฐินีย่านสะพานหัน ซึ่งเป็นโยมอุปัฏฐากคนสำคัญของวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และมักไปทำบุญที่วัดเป็นประจำ จันทร์ยอมทำงานรับใช้ทุกอย่างเพื่อให้เจ้านายไว้วางใจ (รับใช้เยี่ยงทาส) จนกระทั่งได้พบกับอาจารย์ผู้สอนธรรมปฏิบัติให้แก่เลี๊ยบ ซึ่งมีชื่อว่าทองสุก สำแดงปั้น ซึ่งในขณะนั้นเป็นแม่ค้าขายมะพร้าวกะทิและเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ทองสุกได้สอนธรรมปฏิบัติให้แก่จันทร์ จนกระทั่งจันทร์ได้เข้าถึงพระธรรมกาย และมีการอ้างว่า ทองสุกพาจันทร์ไปพบบิดาที่ยมโลกของมหานรกขุมที่ 5 (มหาโรรุวมหานรก) เพราะกรรมดื่มสุราเป็นอาจิณ จันทร์ยังอ้างด้วยว่า เมื่อขอขมาบิดาแล้ว จึงช่วยให้บิดาอาราธนาศีล 5 และนำบิดาให้พ้นจากยมโลก[3]

ออกบวช

ปี พ.ศ. 2481 เมื่อจันทร์อ้างว่าได้พบบิดาในนรกแล้ว จึงลาคุณนายเลี๊ยบไปบวชที่วัดปากน้ำ 1 เดือน โดยไปกับทองสุกซึ่งในขณะนั้นมีความสนิทสนมกันเป็นอย่างยิ่ง เมื่อจันทร์ได้พบกับหลวงพ่อวัดปากน้ำ ก็ได้เข้าศึกษาวิชาธรรมกายในโรงงานทำวิชชาตั้งแต่วันแรกที่พบกัน ซึ่งการจะผ่านเข้าไปปฏิบัติธรรมขั้นสูงในโรงงานทำวิชชานั้น เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนักต้องผ่านการทดสอบหลายอย่างก่อนที่จะได้เข้าไป[4] เมื่อได้เรียนรู้ธรรมปฏิบัติตามแนววิชชาธรรมกายมากขึ้น ทำให้จันทร์เกิดความซาบซึ้งในธรรมปฏิบัติอย่างยิ่ง จึงได้ชวนทองสุกโกนผมออกบวชเป็นอุบาสิกาในคืนก่อนวันครบกำหนด 1 เดือนที่ได้ลาคุณนายเลี๊ยบมาปฏิบัติธรรมนั่นเอง[4]

การก่อสร้างศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรมและวัดพระธรรมกาย

มีการอ้างว่า ก่อนที่หลวงพ่อสดจะถึงแก่มรณภาพ ได้มีคำสั่งให้จันทร์อยู่รอชายคนหนึ่งที่มาเกิดแล้วที่จังหวัดสิงห์บุรี เพื่อจะได้ถ่ายทอดวิชาธรรมกายให้แก่ชายคนนั้น เพื่อขยายพระพุทธศาสนาวิชาธรรมกายไปให้ทั่วโลก[5] ชายคนนั้นคือไชยบูลย์ สุทธิผล หรือต่อมาคือพระไชยบูลย์ ธมฺมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย

จันทร์ได้พบและสั่งสอนธรรมปฏิบัติให้แก่ไชยบูลย์ ซึ่งในขณะนั้นเป็นนิสิตคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่บ้านธรรมประสิทธิ์ บริเวณวัดปากน้ำภาษีเจริญ ต่อมาในปี พ.ศ. 2511 บ้านธรรมประสิทธิ์มีนิสิต นักศึกษา และสาธุชน มาปฏิบัติธรรมกับจันทร์ จนทำให้พื้นที่ดังกล่าวไม่อาจรองรับการปฏิบัติธรรมได้อีก ไชยบูลย์มีดำริร่วมกันกับจันทร์ที่จะสร้างวัดขึ้น เพื่อรองรับการเผยแผ่ธรรมปฏิบัติตามแนววิชชาธรรมกาย จึงคิดหาพื้นที่สร้างวัด จนกระทั่งพบที่ดินที่เหมาะสม จึงได้ติดต่อขอซื้อที่ดินจาก คุณหญิงประหยัด แพทยพงศาวิสุทธาธิบดี แต่เนื่องจากวันที่ไปเจรจาขอซื้อที่ดินนั้น ตรงกับวันเกิดของคุณหญิง คุณหญิงจึงยกที่ดินผืนดังกล่าวให้โดยไม่คิดมูลค่า มีจำนวนพื้นที่รวม 196 ไร่ 9 ตารางวา อยู่ ณ ตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี[6]

ในปี พ.ศ. 2512 เมื่อไชยบูลย์จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตามคำแนะนำของจันทร์ว่า ให้ศึกษาปริญญาทางโลกให้จบเสียก่อน จึงค่อยอุปสมบทเป็นภิกษุ ไชยบูลย์จึงอุปสมบทเป็นภิกษุที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ในวันที่ 27 สิงหาคม ซึ่งต่อมาวัดพระธรรมกายได้กำหนดให้วันดังกล่าวคือ "วันธรรมชัย"

การก่อสร้างศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรมได้สร้างอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งการก่อสร้างศาลาสำหรับปฏิบัติธรรมและกุฏิเสร็จสิ้นลงในปี พ.ศ. 2518 พระไชยบูลย์และจันทร์จึงย้ายจากบ้านธรรมประสิทธิ์มาอยู่ที่ศูนย์พุทธจักปฏิบัติธรรม จันทร์ได้ตั้งกฎระเบียบภายในวัดด้วยตนเองทั้งหมดโดยเฉพาะอย่างยิ่งความมีระเบียบและความสะอาด ซึ่งได้นำประสบการณ์เมื่อครั้งที่อยู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ มาใช้ และเนื่องจากวัดเพิ่งสร้างเสร็จใหม่ การเทศน์สอนให้ลึกซึ้งยังทำได้ไม่สะดวกนัก จันทร์จึงได้สั่งสอนญาติโยมด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สำคัญต่อการปฏิบัติธรรม ซึ่งก็คือ ความมีระเบียบ สะอาด เช่น การวางรองเท้า ไม้กวาด ผ้าขี้ริ้ว ถังขยะ โดยสอนว่าสิ่งเหล่านี้ทำไปเพื่อให้ใจของผู้ที่มาปฏิบัติธรรมนั้น ใส สะอาด สว่าง สงบ

ประมาณปี พ.ศ. 2528 เมื่อมีผู้เข้ามาปฏิบัติธรรมมากจนพื้นที่วัด 196 ไร่ ไม่อาจรองรับได้ มูลนิธิธรรมกายจึงได้ซื้อที่ดินเนื้อที่ 2,000 ไร่เศษ จากกองมรดกของ ม.ร.ว. สุวพันธุ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เพื่อจัดสร้างเป็นศูนย์กลางแห่งการปฏิบัติธรรม

ประธานงานบุญกฐินสามัคคี

ปี พ.ศ. 2531 จันทร์ได้ขอพระไชยบูลย์เป็นประธานกฐินครั้งแรกในชีวิด ซึ่งในครั้งนั้นได้ทำการทอดกฐินสามัคคี ณ สภาธรรมกายสากลหลังคาจาก วัดพระธรรมกาย ในวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2531 และได้มีการทอดกฐิน ที่วัดพระธรรมกายเรียกว่า กฐินคุณยาย โดยการนำชื่อจันทร์มาเป็นประธานกฐิน ต่อมา ได้มีการทอดกฐินเนื่องในการระลึกถึงนางอีกครั้ง ในปี พ.ศ. 2553 และมีการสร้างอาคารเพื่อระลึกนึกถึงนางในโอกาสครบรอบ 100 ปีของอายุนาง ชื่อว่า อาคาร 100 ปี คุณยายอาจารย์จันทร์ ขนนกยูง

ชีวิตบั้นปลาย

ปีพ.ศ. 2537-2541 สุขภาพของจันทร์อ่อนแอลงมาก ไม่สามารถออกมาต้อนรับและสอนศิษยานุศิษย์ได้ เช้ามืดของวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2543 จันทร์เสียชีวิตด้วยโรคชรา ณ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ประชาชื่น กรุงเทพฯ

หลังจากการเสียชีวิตของจันทร์ พระไชยบูลย์มีดำริให้สวดอภิธรรมติดต่อกันเป็นเวลา 500 วัน ณ บ้านแก้วเรือนทอง ซึ่งต่อมาคือพื้นที่ของ โรงเรียนอนุบาลผันในฝันวิทยา ที่อยู่ด้านเหนือของสภาธรรมกายสากล

พระไชยบูลย์ได้เลือกวันฌาปนกิจศพของจันทร์ คือวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2545 เป็นวันที่เดียวกับที่หลวงพ่อสดและทองสุกได้มรณภาพ ซึ่งในเวลาต่อมาทางวัดพระธรรมกายได้กำหนดให้วันที่ 3 กุมภาพันธ์ ของทุกปี คือ วันมหาปูชนียาจารย์

ในงานฌาปนกิจศพจันทร์ พระไชยบูลย์จัดพิธีอย่างยิ่งใหญ่ โดยถวายหนังสือฎีกาที่พระไชยบูลย์ขณะมีสมณศักดิ์เป็นพระเทพญาณมหามุนีลงชื่อเองเพื่อนิมนต์พระภิกษุสงฆ์ทั่วเมืองไทยจาก 30,000 วัดทั่วประเทศไทยมางานร่วมกับศิษยานุศิษย์กว่า 200,000 คน

ภายหลังการฌาปนกิจศพ มีการอ้างว่ากระดูกของจันทร์เปลี่ยนเป็นรัตนชาติ[7] คือเป็นทอง ทับทิม และ แก้ว จึงบรรจุไว้ภายในมหารัตนธาตุเจดีย์ ประดิษฐาน ณ บ้านแก้วเรือนทองคุณยายฯ หรือโรงเรียนอนุบาลฝ้นในฝันวิทยา ซึ่งปัจจุบันได้ถูกรื้อถอนไปในเดือนพฤษภาคม 2553 ส่วนอัฐิของจันทร์นั้นย้ายไปไว้ที่วิหารคุณยายฯ (ทรงปิรามิด) ในวันวิสาขบูชาที่ 4 มิถุนายน 2555 แต่บ้านแก้วเรือนทองคุณยายฯ ห้องกระจกที่เคยเป็นที่บรรจุรัตนอัฐิธาตุฯ นั้น ยังคงไว้เหมือนเดิม

อนุสรณ์

สำหรับอนุสรณ์ที่พระไชยบูลย์ได้มีดำริให้ก่อสร้างขึ้นโดยอาศัยปัจจัยจากศิษยานุศิษย์ ได้แก่

  1. หอฉัน: หอฉันที่วัดพระธรรมกาย ได้ตั้งชื่อตามผู้ให้กำเนิดวัดพระธรรมกายว่า "หอฉันคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง" หรือ เรียกโดยย่อว่า "หอฉันคุณยาย" สามารถรองรับพระภิกษุได้มากถึง 6,000 รูป โดยในแต่ละวัน จะมีสาธุชนมาร่วมกันถวายภัตตาหารและน้ำปานะแด่พระภิกษุสามเณร จำนวนกว่า 1,200 รูป ซึ่งประจำอยู่ ณ วัดพระธรรมกาย หอฉันมีพื้นที่กว้างขวางนี้ มักใช้เป็นสถานที่ต้อนรับพระภิกษุสามเณรอาคันตุกะ และยังเป็นที่รวมตัวกันของพระภิกษุสงฆ์เพื่อการสวดมนต์ การประชุม พร้อมทั้งเป็นสถานที่สำหรับสาธุชนในการถวายภัตตาหาร และสิ่งจำเป็นอื่น ๆ ที่เหมาะสมต่อนักบวช เช่น ผ้าไตรจีวร คิลานเภสัช เครื่องอุปโภค ผ้าห่ม ดอกไม้ ดอกบัว พวงมาลัย และอื่น ๆ
  2. มหาวิหารคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง: สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่ผู้สถาปนาวัดพระธรรมกาย โดยเหล่าศิษยานุศิษย์ของจันทร์ ทั้งพระภิกษุและสาธุชน ร่วมกันประกอบพิธีตอกเสาเข็มต้นแรก สถาปนามหาวิหารฯ เมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2545 มหาวิหารฯ เสร็จสมบูรณ์ในเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2546 ทั้งพระภิกษุและสาธุชน ร่วมกันประกอบพิธีอัญเชิญรูปเหมือนทองคำของจันทร์ไปประดิษฐาน ณ ศูนย์กลางของมหาวิหารฯ ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2548 มหาวิหารฯ เป็นสถาปัตยกรรมทรงพีระมิดหกเหลี่ยมสีทอง มหาวิหารฯ ตั้งอยู่ท่ามกลางสระน้ำและแมกไม้อันร่มรื่นภายในวัดพระธรรมกาย มหาวิหารฯ มีพื้นที่ใช้ประโยชน์ 2 ชั้น โดยที่ชั้นที่ 1 ได้จัดให้เป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับผลงานที่จันทร์ได้สร้างและอุทิศไว้ในพระพุทธศาสนา และจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของจันทร์ เพื่อบ่งบอกถึงความเรียบง่าย สมถะในการใช้ชีวิตของผู้ที่รักการปฏิบัติธรรม การเป็นผู้สอนธรรมะ และผู้สถาปนาวัดพระธรรมกาย ส่วนชั้นที่ 2 สร้างไว้สำหรับเป็นห้องปฏิบัติธรรม โดยมีรูปหล่อทองคำแท้ของอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ตั้งอยู่ ณ กลางห้องปฏิบัติธรรม[8]
  3. อาคารร้อยปีคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง: ในปี พ.ศ. 2552 พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (พระไชยบูลย์) ได้ดำริให้สร้างอาคารเพื่อเป็นอนุสรณ์และบูชาธรรมแก่จันทร์ อีกหลังหนึ่งทดแทนพื้นที่ที่เคยเป็นสภาธรรมกายสากลหลังคาจากที่ได้เคยใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรมตั้งแต่ครั้งสร้างวัดพระธรรมกายได้ไม่นานนัก ทั้งนี้เพื่อใช้เป็นอาคารสำนักงานใหญ่ของวัด เป็นโรงเรียนพระปริยัติธรรม เป็นห้องปฏิบัติธรรมของพุทธบริษัทสี่ขนาดใหญ่ เป็นห้องประชุมทางด้านวิชาการทางพระพุทธศาสนาระดับนานาชาติ โดยมีเจตจำนงให้เป็นฐานที่ตั้งด้านวิชาการในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่วโลกและวิธีปฏิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงพระธรรมกายภายใน โดยให้ชื่ออาคารหลังนี้ว่า "อาคารร้อยปี คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง" โดยมีการระดมทุนร่วมปัจจัยสร้างโดยการทอดกฐินสามัคคี ซึ่งให้ชื่อว่า "กฐินบรมจักรพรรดิ์" ในเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เสียงวิพากษ์

มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับจันทร์ ขนนกยูง ที่สังคมเห็นว่าเป็นเรื่องหลอกลวง เช่น เรื่องเล่าจากวัดพระธรรมกายว่า จันทร์ ขนนกยูงเหาะขึ้นอากาศไปปัดระเบิดปรมาณูในสงครามโลกครั้งที่สอง ให้พ้นจากประเทศไทยไปตกที่เมืองฮิโระชิมะและนะงะซะกิ ประเทศญี่ปุ่นแทน และทำให้ผู้คนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก [9] ได้มีการอภิปรายเรื่องเล่านี้ในบริการเครือข่ายสังคมและกระทู้อินเทอร์เน็ต เช่นเว็บพันทิป.คอม โดยมีการคำนวณแรงที่ต้องใช้ในการปัดระเบิดอย่างคร่าว ๆ และแสดงให้เห็นว่าการปัดระเบิดเป็นไปไม่ได้ในทางวิทยาศาสตร์[ต้องการอ้างอิง]

อ้างอิง

  1. ลูกจันทร์นี้ หนึ่งไม่มีสอง, ลูกจันทร์นี้ หนึ่งไม่มีสอง
  2. FLASH ประวัติคุณยายอาจารย์ฯ
  3. เข้าสู้เส้นทางธรรม[ลิงก์เสีย], เข้าสู่เส้นทางธรรม
  4. 4.0 4.1 ออกบวช[ลิงก์เสีย], ออกบวชที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
  5. สร้างวัดพระธรรมกาย[ลิงก์เสีย], การก่อสร้างศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรมและวัดพระธรรมกาย
  6. พระจันทร์วันเพ็ญ 1. กรุงเทพมหานคร : วัชระออฟเซ็ท, 2544.
  7. สุนิดา นาคเสน. อยู่กับยาย. กรุงเทพมหานคร : ศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์, 2545.
  8. มหาวิหารคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง
  9. ประภาศรี บุญสุข, คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูงผู้ให้กำเนิดวัดธรรมกาย พิมพ์ครั้งที่ 2 (ฉบับปรับปรุง) หน้า 55-56 ISBN 9748962083 หรือหนังสือออนไลน์
  • อารีพันธุ์ ตรีอนุสรณ์. คืนที่พระจันทร์หายไป. กรุงเทพมหานคร : ศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์, 2544.

แหล่งข้อมูลอื่น