ฆุลาต (อาหรับ: غلاة‎, Ghulat) แปลว่า พวกสุดโต่ง พวกที่ออกนอกลู่นอกทาง มาจากคำว่า غلو‎ (Ghulu) ความสุดโต่ง, ความเกินเลย ในทางวิชาการหมายถึง พวกชีอะหฺที่ออกนอกลู่นอกทางศาสนาอิสลามมากหรือน้อย ด้วยการยกย่องอะลีย์และวงศ์วานของนบีจนเกินเลย เช่น เชื่อว่าพวกเขามีคุณสมบัติความเป็นพระเจ้า หรือเสมอเหมือนพระเจ้า ซึ่งเป็นความคิดที่ได้รับอิทธิพลมาจากศัตรูศาสนาอิสลาม ที่มีจุดประสงค์ที่จะทำลายล้างศาสนาอิสลาม โดยแฝงอยู่ใต้มัซฮับชีอะหฺ และเอาอะห์ลุลเบต(วงศ์วานของนบีมุฮัมมัด)เป็นกำบัง โดยเฉพาะในช่วงสามศตวรรษแรก หลังจากท่านศาสนทูตได้สิ้นชีวิต

อันที่จริงทัศนะและวรรณกรรมของพวกฆุลาตกระจัดกระจายและผสมผสานกับวรรณกรรมชีอะหฺสายอื่น ๆ รวมทั้งชีอะหฺอิษนาอะชะรียะหฺอีกด้วย จนแยกกันไม่ออก ว่าอันไหนของชีอะหฺสายกลาง อันไหนเป็นของชีอะหฺสุดโต่ง

ความเป็นมาของพวกฆุลาต แก้

พวกฆุลาตเริ่มมีตั้งแต่สมัยที่อะลีย์ บินอะบีฏอลิบ ยังมีชีวิตอยู่ ความขัดแย้งทางการเมืองหลังจากที่ท่านนบีเสียขีวิต ก่อให้เกิดความขัดแย้งกันในเรื่องผู้ที่จะเป็นตัวแทนท่านนบี หลังจากที่ท่าน พวกศัตรูที่ทีพ่ายแพ้ต่ออิสลามในสมัยนั้น ไม่มีทางเลือกอื่นที่ปลอดภัยที่สุด นอกจากจะเข้ารับนักถือศาสนาอิสลาม และซุกซ่อนความปฏิเสธไว้ในใจ แล้วเริ่มต้นวางแผนการเพื่อทำลายล้างรากฐานของศาสนาอิสลามด้วยการจู่โจมจากภายใน นั่นคือด้วยการบิดเบือนคำสั่งสอนของศาสนาอิสลามให้เสียรูปแบบ โดยวิธีที่แยบบลที่สุด ไม่ว่าโดยทางลับและเปิดเผย

พวกเขาได้ฉวยเอาความไม่ลงรอยในทัศนะผู้นำระหว่างอะลีย์ และคอลีฟะห์คนอื่น ๆ มาเป็นโอกาสที่จะปลุกระดมผู้คนให้ผู้คนแตกแยกกันเป็นหลายฝ่าย พวกเปอร์เซียที่พ่ายแพ้ต่อกองทัพอิสลามที่ประชิดเปอร์เซีย และพวกยิวและคริสเตียนในอาระเบีย จำใจเข้ารับศาสนาอิสลามเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายส่วย และเพื่อผลประโยชน์อื่น ๆ พวกเขาได้ซุกซ่อนความเชื่อของตน และสืบทอดให้แก่ลูกหลาน และได้เข้าร่วมมีบทบาทในการวางแผนการเพื่อทำล้ายล้างศาสนาอิสลาม โดยพวกเขาได้เลือกเอาพรรคของอะลีย์(ชีอะหฺอะลีย์)และวงศ์วานของนบีมุฮัมมัดเป็นฐานในการก่อวินาศกรรมด้านความคิด ความเชื่อแรกที่พวกเขาอุตริสร้างขึ้นมาก็คือ การอ้างว่า อะลีย์คืออัลลอหฺที่ได้ทรงอวตารลงมา โดยอ้างหลักฐานว่า ชื่อ อะลีย์ เป็นพระนามหนึ่งของอัลลอหฺ

ประวัติศาสตร์ได้ระบุว่าอิมามอะลีย์ บินอะบีฏอลิบได้ตระหนักถึงความเลวร้ายของแผนการของพวกสับปลับเหล่านี้ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้จัดการอย่างเฉียบขาดกับพวกนี้ ด้วยการสั่งให้พวกเขากระโดดจากเชิงกำแพงลงไปในหลุมที่สุมไฟ เพื่อให้ตายทั้งเป็น และเพื่อไม่ให้คนอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง กระนั้นก็ตาม ก็ยังไม่สามารถที่จะลบล้างแผนร้ายของพวกโซโรอัสเตอร์ชาวเปอร์เซียและพวกอื่น ๆ อีกหลายสิบล้าน ที่ตกอยู่ภายใต้อาณาจักรอิสลามที่กว้างใหญ่ไพศาล

แผนการร้ายด้วยการแอบอ้างว่าอิมามอะลีย์เป็นพระเจ้าในอดีตมีหลายสาย ล้วนแล้วแต่แอบอ้างว่าเป็นชีอะหฺ รักอะหฺลุลเบตทั้งสิ้น เช่น พวกฆุรอบียะหฺ พวกบาซิฆียะหฺ พวกยะอฺฟูรียะหฺ เช่น พวกซัมมียะหฺ พวกที่ยังคงหลงเหลือจนถึงปัจจุบันก็คือ พวกชีอะหฺอะละวียะหฺ

ความเชื่อของพวกฆุลาต แก้

พวกฆุลาตแต่ละสายอาจจะมีความเชื่อที่แตกต่างกัน แต่มีความเชื่อที่เหมือนกันคือยกย่องอะลีย์ จนเกินเลยไป อีกทั้งยังตัดตอนเปลี่ยนแปลงกฎบัญญัติศาสนา

นุศ็อยรียะหฺ แก้

ลัทธินุศ็อยรียะหฺ หรือที่เรียกว่าอะละวียะหฺหลังจากที่ชามตกภายใต้อาณานิคมของฝรั่งเศสโดยอ้างว่าเป็นพรรคพวกของอะลีย์ บินอะบีฏอลิบ พวกนุศ็อยรียะหฺเป็นพวกที่ตามนุศ็อยรฺ บินอับดิลลาหฺ ลูกศิษย์ของอิมามฮาดี อิมามชีอะหฺที่ 11 ทว่าหลักความเชื่อของพวกนี้มีความคล้ายคลึงกับพวกชีอะหฺอิสมาอีลียะหฺ จนดูเหมือนว่าได้แตกสาขาออกจากลัทธิอิสมาอีลียะหฺ แล้วมาตั้งตนเป็นอิสระทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะว่าลัทธินี้ได้รับอิทธิพลจากพวกชีอะหฺอิสมาอีลียะหฺ ซึ่งมีอิทธิพลในภูมิภาคนี้เป็นเวลานาน อย่างไรก็ตามลัทธินี้ยังได้เก็บเอาความเชื่อของศาสนาอื่นในภูมิภาคนี้มาผสมผสาน

ความเชื่อของพวกนุศ็อยรียะหฺที่ขัดแย้งกับอิสลามอย่างรุนแรงมีเช่น

1. บทบัญญัติอิสลามแบ่งออกเป็นสองประเภทคือซอหิร (ภายนอก) และบาฏิน (ภายใน) ที่เป็นแก่นก็คือสิ่งที่อยู่ภายใน ด้วยเหตุนี้กฎบัญญัติภาคบังคับทั่วไป เช่น การนมาซ ถูกกำหนดให้แก่คนทั่วไป พวกนุศ็อยรียะหฺไม่จำเป็นต้องนมาซเพราะถือว่าเป็นผู้ที่เข้าใจศาสนาอย่างถ่องแท้แล้ว และบริสุทธิ์แล้ว

2. อะลีย์ บินอะบีฏอลิบคืออัลลอหฺที่ได้ทรงอวตารลงมา (เลียนแบบฮินดู)

3. เชื่อในตรีเอกานุภาพ (Trinity) (เลียนแบบศาสนาคริสต์) ยกย่องบุคคลสามคน นั่นคือ อะลีย์ อัลมะอฺบูด (อะลีย์อันเป็นที่สักการบูชา) มุฮัมมัด อัลมะฮฺมูด (นบีมุฮัมมัดอันเป็นที่สรรเสริญ) และ ซัลมาน อัลฟาริสีย์ อัลบาบ (ซัลมาน แห่งเปอร์เซียเป็นประตู) ทั้งสามคนนี้ล้วนแล้วแต่เป็นอวตารของอัลลอหฺ ทว่าอะลีย์เป็นอวตารที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยเหตุผลทางการเมือง พวกนุศ็อยรียะหฺจะยอมรับว่าพวกเขาเป็นชีอะหฺอิมามียะหฺอิษนาอะชะรีะหฺ พวกนุศ็อยรียะหฺรุ่นใหม่ได้เดินทางไปศึกษาศาสนาอิสลามที่กุม ทว่าในภาคปฏิบัติพวกเขาก็ยังซุกซ่อนความคิดบาฏินีย์(ความเชื่อภายใน)อยู่

ปัจจุบันมีประชากรชาวนุศ็อยรียะหฺในซีเรีย 1.35 ล้าน ในเลบานอน 100,000 คน และในตุรกี 1 ล้านคน

อาเลวี แก้

ลัทธิอาเลวีในตุรกีเป็นลัทธิชีอะหฺที่แตกต่างกับพวกอะละวียะหฺในซีเรีย แม้จะมาจากรากศัพท์เดียวกัน ปัจจุบันมีประชากรอาเลวีในตุรกีราว 15 ล้านคน

ความเชื่อของพวกอาเลวีที่ขัดแย้งกับอิสลามอย่างรุนแรงมีเช่น

1. นบีมุฮัมมัดและอิมามอะลีย์เป็นตัวแทนของอัลลอหฺพระเจ้า

2. อิมามชีอะหฺอีกสิบเอ็ดคนเป็นเงาของอิมามอะลีย์ที่ปรากฏตัวในแต่ละยุค

3. กฎบัญญัติที่ผิดเพี้ยนไปจากกฎบัญญัติอิสลาม เช่น ห้ามหย่าภารยาของตน และห้ามแต่งงานกับหญิงที่ถูกหย่า ไม่มีการจ่ายซะกาตแบบอิสลาม มีเฉพาะการบริจาคทาน

4. เยี่ยมสุสานของนักบุญในลัทธิ หรือเยี่ยมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ตามป่าเขาลำเนาไพร

5. ไม่มีมัสยิด และไม่มีการนมาซ มีแต่การชุมนุมเพื่อร้องเพลง เล่นดนตรี และเต้นรำ

6. เฉลิมฉลองวันโนรุส(วันขึ้นปีใหม่ของเปอร์เซีย)ในวันที่ 21 มีนาคม เฉลิมฉลองวันคิฎรฺ ในวันที่ 6 พฤษภาคม (ตรงกับวันนักบุญเซนต์จอร์จของชาวคริสต์) และถือศีลอดในเดือนมุฮัรรอม 12 วัน พอถึงวันอาชูรออ์จะแก้บวชด้วยการกินอาหาร 12 อย่าง

ที่กล่าวมาเป็นแค่สองตัวอย่างของพวกชีอะหฺฆุลาตที่ยังมีอยู่ในสมัยปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีพวกฆุลาตที่สูญหายไปกับกาลเวลา เช่นพวกฆุรอบียะหฺที่เชื่อว่า ญิบรีลทำผิดหน้าที่ เพราะนำสาส์นอิสลามจากอัลลอหฺมามอบให้แก่มุฮัมมัด ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วต้องมอบให้แก่อะลีย์ เป็นต้น บางพวกก็เชื่อว่า อิมามฮุเซนยังไม่ได้สิ้นชีพ ทว่าถูกยกขึ้นฟ้าเหมือนนบีอีซา

ดูเพิ่ม แก้

สยามิค สารานุกรมอิสลาม